25 มิถุนายน 2568

GAC AION ประกาศเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง "AION UT"


AION ประกาศเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง "AION UT"ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะครบครันเพื่อส่งมอบประสบการณ์ใหม่และเปิดบทใหม่ของวงการยานยนต์ไฟฟ้าในตลาดไทย
พบกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ของ AION UT รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดจาก GAC Group บริษัทผู้ผลิตยานยนต์ระดับโลก โดย AION UT ถือเป็นแบรนด์ยานยนต์พลังงานใหม่ชั้นนำจากประเทศจีน ภายใต้แนวคิด “Let’s Play” ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ผู้รักอิสระ ชอบความสนุก และมองหานวัตกรรมล้ำสมัยเพื่อยกระดับทุกการเดินทาง”

AION UT มาพร้อมดีไซน์ “Futuristic Minimalism” แรงบันดาลใจจากเมืองมิลาน ผสานศิลปะเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย พร้อมกำหนดมาตรฐานใหม่แห่งยนตรกรรมไฟฟ้าระดับพรีเมี่ยมเสริมด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ระดับ L2 และฟังก์ชันความปลอดภัยที่ครบครัน อีกทั้งยังรองรับการชาร์จเร็วจาก 30%-80% ในเวลาเพียง 24 นาทีและวิ่งได้ไกลถึง 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จ (มาตรฐาน NEDC)

ราคาเปิดตัว AION UT ทรง Hatchback 5 ประตูในครั้งนี้ เปิดตัวด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ 

● AION UT รุ่น 420 Standard ราคาจำหน่าย 519,900 บาท (ราคาพิเศษ 499,900 บาท)* 

● AION UT รุ่น 500 Premium ราคาจำหน่าย 669,900 (ราคาพิเศษ 649,900 บาท)*

*จำหน่ายในราคาพิเศษตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 กรกฎาคม พ.ศ.2568

● AION UT มอบการอัปเกรดใหม่ให้ลูกค้าโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่เพิ่มคุณค่าและตอบโจทย์การใช้งานจริง

โดยคุณหลุยส์ หลิว (Mr. LOUIS LIU) ตำแหน่ง Vice President of AION Automobile Sales (Thailand) กล่าวว่า

เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง AION ด้วยการอัปเกรดฟีเจอร์สำคัญให้กับ AION UT ทั้งรุ่น Standard และ Premium โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าสูงสุดในการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้แก่ 6 การอัปเกรดสำคัญสำหรับ AION UT รุ่น 420 Standard:

1.ระยะทางขับขี่เพิ่มขึ้นจาก 400 กม. เป็น 420 กม.

ช่วยให้ลูกค้าในพื้นที่นอกเขตกรุงเทพฯ เดินทางได้เพิ่มขึ้นอีก 1 วันโดยไม่ต้องชาร์จ และสำหรับลูกค้าในเมืองก็สามารถขับขี่ทั้งสัปดาห์ด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว

2.ระบบป้องกันการหนีบของกระจกไฟฟ้าจากเดิมมีเฉพาะคู่หน้า ปรับเพิ่มให้ครบ 4 บานสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหลัง เพิ่มความปลอดภัยให้ทั้งครอบครัว

3-4. ที่พิงศีรษะตรงกลางและที่เท้าแขนพร้อมที่วางแก้วในเบาะหลัง เพื่อเสริมความสะดวกสบายให้ผู้โดยสารตอนหลัง

5.V2L Output Power เพิ่มจาก 2.2 kW เป็น 3.3 kWเพื่อให้ใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิดพร้อมกัน เช่น เตาอบ ตู้เย็น พัดลม เหมาะสำหรับกิจกรรมแคมป์ปิ้ง

6.DC Fast Charging เพิ่มจาก 60 kW เป็น 70 kW ทำให้ชาร์จได้ไวขึ้นและประหยัดเวลาได้มากขึ้น


4 การอัปเกรดหลักสำหรับ AION UT รุ่น 500 Premium:

1.สมรรถนะดีขึ้นอย่างชัดเจนอัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. เร็วขึ้นจาก 8.3 วินาที เหลือ 7.3 วินาที ความเร็วสูงสุดเพิ่มจาก 150 กม./ชม. เป็น 160 กม./ชม.

2.แท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สายเร็วขึ้นจาก 20W เป็น 50W ทำให้ชาร์จได้รวดเร็วมากขึ้น

3.V2L Output Power เพิ่มเป็น 3.3 kW เพื่อให้ใช้งานไฟฟ้าได้หลากหลายมากขึ้น

4.DC Fast Charging เพิ่มเป็น 80 kW ชาร์จได้เร็วกว่า ช่วยลดเวลารอที่สถานีชาร์จ

พิเศษ! สิทธิประโยชน์รวม 9 รายการ* สำหรับลูกค้าที่จองรถช่วงเปิดตัว

นอกจากการอัปเกรดฟีเจอร์แล้ว เรายังมอบสิทธิพิเศษเพิ่มเติมให้กับลูกค้า AION UT เพื่อสร้างความมั่นใจ และความสะดวกสบายในการเริ่มต้นใช้งาน ดังนี้:

1.ข้อเสนอพิเศษ ดาวน์เริ่มต้นเพียง 8,888 บาท ผ่อนรายวันต่ำสุดเพียง 180 บาท

2.รับประกันแบตเตอรี่ และชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบรวม 8 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) , รับประกันตัวรถยนต์ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)

3.ฟรีอินเทอร์เน็ตบนรถยนต์ 2GB ต่อเดือน นาน 2 ปี สำหรับระบบความบันเทิงภายในรถ

4.บริการอัปเกรดระบบซอฟต์แวร์ OTA บนรถยนต์ตลอดอายุการใช้งาน

5.บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรี 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 8 ปี

6.ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งนาน 1 ปีพร้อมบริการจดทะเบียนครบวงจร

7.ฟรีตรวจเช็คระยะครั้งแรก

8.ฟรีแพ็กเกจของตกแต่ง: ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์และพรมปูพื้น

9.โปรโมชันพิเศษสำหรับอุปกรณ์ตกแต่งแท้และอุปกรณ์เสริม ส่วนลดสูงสุดถึง 6,000 บาท เช่น Wall Charger พร้อมบริการติดตั้ง, อุปกรณ์ V2L, ปืนชาร์จพกพาแบบ EU, ชุดสเกิร์ตรถยนต์ และอื่น ๆ (สิทธิประโยชน์นี้มีจำนวนจำกัด สำหรับผู้ที่จองภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2568 เท่านั้น)


การเป็นตัวแทนของความทันสมัยและเทคโนโลยีของ AION UT ในงาน Bangkok Motor Show ปีนี้ เราสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาได้ ติดอันดับที่ 2 ในหมวดแบรนด์พลังงานใหม่ และอันดับที่ 3 ในบรรดาแบรนด์รถยนต์ทั้งหมด ด้วยยอดสั่งจอง AION UT ถึง 4,568 คัน!

การเปิดตัว AION UT ถือเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์ One GAC 2.0 ซึ่งได้ขับเคลื่อนโครงการในประเทศไทยในทุกด้านไม่ว่าจะเป็น ทั้งผลิตภัณฑ์ การผลิต ช่องทางจำหน่าย บริการ และระบบพลังงาน & โมบิลิตี้ เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีกว่าในด้านผลิตภัณฑ์ AION UT เป็นโมเดลกลยุทธ์ระดับโลกใหม่ของ GAC ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกของโลกในประเทศไทย และจะมีผลิตภัณฑ์ระดับโลกเพิ่มเติมในอนาคต เรามอบคุณค่าหลัก 3 ประการ คือ

เทคโนโลยี: คุณค่าผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า เพื่อประสบการณ์ที่ดีกว่าการเพลิดเพลินในไลฟ์สไตล์: มีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขคุณภาพระดับชั้นยอด: เรานำมาซึ่งคุณค่าที่ยั่งยืนเกินความคาดหมายในด้านการผลิต เราจะเปิดตัวโมเดลดาวรุ่ง 2-3 รุ่นต่อปี ทั้ง EV และ Hybrid พร้อมส่งเสริมการผลิตในท้องถิ่น โดยร่วมมือกับซัพพลายเออร์ท้องถิ่น อัตราการใช้ชิ้นส่วนท้องถิ่นปัจจุบันอยู่ที่ 51% และจะเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ ในด้านช่องทางจำหน่าย ภายในปี 2025 เราจะจัดตั้งตัวแทนจำหน่ายมาตรฐาน ONE GAC จำนวน 80 แห่ง เพื่อให้ครอบคลุมตลาดสำคัญทั้งหมด เรากำลังเร่งการนำมาตรฐานการขายและบริการระดับโลก (GSSW) มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของตัวแทนจำหน่ายและคุณภาพการบริการ

ในด้านบริการ ในปีนี้จะมีการสร้างศูนย์บริการพรีเมียมมาตรฐาน 5 ดาวจำนวน 50 แห่ง พร้อมอะไหล่ในสต็อกท้องถิ่นกว่า 6,000 รายการ (มีพร้อมใช้ 90% สำหรับกรณีเร่งด่วน) บริการจัดส่งภายใน 24 ชั่วโมงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ 2 วันสำหรับต่างจังหวัด มีช่างเทคนิคที่ได้รับการรับรองกว่า 300 คน พร้อมสนับสนุนศูนย์บริการแบตเตอรี่แห่งแรกของ GAC ซึ่งเป็นแห่งเดียวในประเทศไทยที่สามารถซ่อมแซมชุดแบตเตอรี่ โมดูล และเซลล์ในทุกระดับได้

ในด้านระบบพลังงานและโมบิลิตี้ GAC เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายเดียวจากจีนที่มีระบบนิเวศพลังงานครบวงจรในต่างประเทศ โดยดำเนินการสถานีชาร์จ 58 แห่งแล้ว ผ่านแผน "ร้อยเมือง พันเครื่องชาร์จ" และ "ร้อยร้านพลังงานแสงอาทิตย์" ร่วมกับพาร์ทเนอร์และเรายังสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้าน EV อีกด้วย

AION UT คือนิยามใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อคนรุ่นใหม่ที่มีสไตล์สะท้อนตัวตนอย่างแท้จริง มาพร้อมดีไซน์ที่โดดเด่นทันสมัย ภายใต้แนวคิด "Futuristic Minimalism" ซึ่งผสานระหว่างความล้ำยุคและความเรียบง่ายอย่างลงตัว ไฟหน้าแบบ Matrix LED ที่คมชัด พร้อมเส้นสายของตัวรถที่เฉียบคม ช่วยเสริมบุคลิกให้ดูสปอร์ตและโฉบเฉี่ยว เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

โดย AION UT มาพร้อม 4 จุดเด่น ที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ของวงการยานยนต์ไฟฟ้าดังนี้
จุดเด่นที่ 1 : UTmost Design Milan Design Aesthetics แรงบันดาลใจจากเมืองมิลาน ผสานศิลปะเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย เปลี่ยนทุกการเดินทางให้มีสไตล์เหนือระดับ พร้อมกำหนดมาตรฐานใหม่แห่งยนตรกรรมไฟฟ้าระดับพรีเมี่ยม

Winky Headlight  แรงบันดาลใจจากดวงตาที่เปล่งประกายและสง่างาม เส้นสายที่โค้งไหลลื่นสะท้อนความล้ำสมัย เสมือนดวงตาที่มีชีวิต มอบเอกลักษณ์เฉพาะตัวและความมีชีวิตชีวาให้กับทุกเส้นทาง

Matrix Cube Light ไฟเลี้ยวหน้าและไฟท้ายทรงคิวบิก โชว์ดีไซน์ที่ผสานเทคโนโลยีกับแฟชั่นได้อย่างลงตัว โดดเด่นสะกดทุกสายตา

จุดเด่นที่ 2 : UTmost Comfort

Playground Cabin Comfort Spaceห้องโดยสารแถวหลังมีพื้นที่กว้างถึง 1,385 มม. พร้อมพื้นที่วางขาที่สะดวกสบายมากขึ้นถึง 905 มม.รองรับผู้โดยสาร 3 คนได้สบายๆ กว้างขวางเกินคาดหมาย

Transformable Seat สนุกกับการปรับเปลี่ยนพื้นที่ห้องโดยสารทั้งแถวหน้าและแถวหลังได้ตามความต้องการ หรือเลือกเปลี่ยนห้องโดยสารให้เป็นเตียงขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย ผสานความสนุกสนานเข้ากับประโยชน์ใช้สอยสูงสุด

Butterfly-shaped Seat สัมผัสประสบการณ์ความสบายด้วยเบาะรูปทรงผีเสื้อ โอบรับทุกสัมผัสได้อย่างนุ่มนวล อ่อนโยน ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ ให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย

จุดเด่นที่ 3 : UTmost Tech

L2 Intelligent Driving

ระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

- ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา

- เซนเซอร์กะระยะ ด้านหน้า 4 จุด / ด้านหลัง 4 จุด

- ระบบ AUTOHOLD

- ระบบเบรกมือไฟฟ้า (EPB)

- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (BSD)

- ระบบเตือนการเปิดประตู (DOW)

- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)

- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหลังเข้าใกล้ (RAW)

- ปิดเครื่องและปลดล็อคด้วยสัมผัสเดียวหลังจากการชน

- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชัน Stop & Go (ACC with Stop & Go)

- ระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ICA)

- ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (FCW)

- ระบบเตือนการชนด้านหลัง (RCW)

- ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB)

- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ (TJA)

- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)

- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA)

- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน และช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน (ELKA)

Voice Control

ระบบสั่งการด้วยเสียง รองรับ 2 ภาษา (ไทย / อังกฤษ) รับคำสั่งได้ทั้งจากผู้โดยสารแถวหน้าและแถวหลัง เพื่อความสะดวกสูงสุด



จุดเด่นที่ 4 : UTmost Safety
Global Safety Standard ออกแบบตัวถังให้มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ด้วยโครงสร้างเหล็กกล้าความแข็งแรงสูง คิดเป็น 71% ของตัวถัง พร้อมหลังคาที่สามารถรองรับแรงกดได้ถึง 7 ตัน

Magazine Battery 2.0 แบตเตอรี่ล้ำสมัยมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ทนทานต่อการบิดตัว 180 องศา โดยไม่เกิดประกายไฟหรือความร้อนสะสม

Long Driving Range
AION UT ขับสบาย เดินทางระยะไกลไร้กังวล พัทยา-โคราช ไป-กลับได้แบบไม่ต้องชาร์จระหว่างทาง มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ดังนี้

- AION UT Standard ระยะทางวิ่งสูงสุด 420 กม. มาพร้อม Magazine Battery 2.0 ขนาด 50.27 kWh

- AION UT Premium ระยะทางวิ่งสูงสุด 500 กม. มาพร้อม Magazine Battery 2.0 ขนาด 60 kWh
Fast Chargeรองรับการชาร์จเร็วจาก 30%-80% ในเวลาเพียง 24 นาที

ภายในห้องโดยสารของ AION UT ได้รับการออกแบบอย่างประณีต เพื่อตอบสนองทั้งด้านความสะดวกสบายและเทคโนโลยีที่ครบครัน โดยมาพร้อมแผงหน้าปัดแบบ Full Digital ขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมหน้าจอ Infotainment ขนาด 14.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน เบาะนั่งคู่หน้ามาพร้อมระบบระบายอากาศ และฟังก์ชันปรับไฟฟ้า และระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (ในรุ่น Premium) เพื่อความสะดวกสบายสูงสุดของผู้ขับและผู้โดยสาร

22 มิถุนายน 2568

𝐁𝐈𝐆𝐁𝐄𝐀𝐑 𝐄𝐀𝐓𝐄𝐑𝐘 ร้านสเต็กสลัดและอาหารไทยฟิวชั่น ย่านนนทบุรี

รีวิวนี้  เอาใจสายรักสุขภาพ ที่บอกได้เลยว่าใครที่ได้ไปเยือนต้องติดใจทุกราย ร้านสวยบรรยากาศดี ร้านอาหารในฟาร์มที่ให้บริการสเต็ก สลัด และอาหารไทยฟิวชั่น  ร้านนี้ที่เน้นผักสดจากฟาร์มของตัวเอง ในส่วนของคาเฟ่บรรยากาศสุดกรีนดีไซน์สวย มุมถ่ายรูปสุดปัง ต้องห้ามพลาดไปดูกันเลยดีกว่า 



นอกจาก 𝐁𝐈𝐆𝐁𝐄𝐀𝐑 𝐄𝐀𝐓𝐄𝐑𝐘  จะมีความร่มรื่น ดีไซน์สวย อาหาร เครื่องดื่มอร่อยแล้วยังทางร้านเก็บผักกันสด ๆ จากฟาร์มหน้าบ้านที่เป็นฟาร์มปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ มาทำเป็นเมนูอาหารจานเด็ดเพื่อคนรักสุขภาพ มั่นใจได้ว่าปลอดสารพิษ เมนูส่วนใหญ่ของที่นี่ จะเป็นอาหารฟิวชั่น ไทย ยุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะสลัด สเต็ก พาสต้า ซุป ซี่โครง อาหารไทย อาหารใต้ ใครชอบแบบไหนก็จัดได้เลย! โดยเฉพาะสลัดผักกับน้ำเมล่อนนี่คือเดอะเบส! บอกเลย หอมหวาน อร่อย สดใหม่ สดใหม่ทุกจานอย่างแน่นอน นอกจากเมนูข้างต้นแล้ว ทางร้านยังมีเมนูแนะนำอร่อย ๆ อีกมากมาย รวมถึงทางร้านยังมีของหวาน และกาแฟอีกด้วยนะ ครบจบในร้านเดียว คุ้มค่าที่จะไปลองกันให้ได้นะคะ



ร้านบิ๊กแบร์ อยู่ริมถนนชัยพฤกษ์ ย่านบางบัวทอง ตัวร้านหาไม่ยาก ทางเข้าร้านเด่นด้วยเสาสูงเหมือนต้นไม้สีเขียว มีน้องหมีปีนต้นไม้สูงๆ สองต้น  อยากให้คุณพาคนที่รักมาทานอาหารอร่อย วัตถุดิบคุณภาพดี สดจากฟาร์มด้านหน้า มาสูดอากาศบริสุทธิ์ สดชื่นให้เต็มปอดรับโอโซนธรรมชาติยามบ่าย ท่ามกลางธรรมชาติ เหมือนนั่งริมน้ำตกกลางป่าเขา สบายหายเหนื่อย เอาเป็นว่ามาให้ธรรมชาติโอบกอดมาสัมผัสชีวิตที่เรียบง่ายสบายๆ ที่ 𝐁𝐈𝐆𝐁𝐄𝐀𝐑 𝐄𝐀𝐓𝐄𝐑𝐘


พิกัดความอร่อย ร้าน 𝐁𝐈𝐆𝐁𝐄𝐀𝐑 𝐄𝐀𝐓𝐄𝐑𝐘
สเต็กสลัด และอาหารไทยฟิวชั่น ตั้งอยู่ในย่านนนทบุรี
ถนนชัยพฤกษ์ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี
เปิดทุกวัน เวลา 10.00 - 21.00 น. 📞 ติดต่อ : 090-089-9992

📍: Google map : 🐻𝐁𝐈𝐆𝐁𝐄𝐀𝐑  𝐄𝐀𝐓𝐄𝐑𝐘 🐻

https://goo.gl/maps/LqNGguATJvXk4nMs7

Line@ :@bigbearthailand
คลิกแอดไลน์ https://lin.ee/fSbn7IR

IG : bigbear_eatery
FB : bigbear_eatery

#bigbear #bigbeareatery #bigbearcafeandeatery
#รักใครให้พามา #รักใครให้พาไปทาน #น้ำตกในสวน
#ร้านอาหาร #ร้านอาหารนนทบุรี #toptotravel

21 มิถุนายน 2568

แม่ครูลำดวน นันทะสุธา ศิลปินโอทอป ผ้าทอลายขิดไหม จังหวัดหนองบัวลำภู


งาน OTOP Midyear 2025 ของดีของเด็ดจาก 4 ภาค ของกิน ของใช้ คุณภาพคัดสรรค์ทั่วฟ้าเมืองไทย โอทอป ศิลปิน ,โอทอปขึ้นเครื่อง, โอทอป 5 ดาว ,โอทอปชวนชิม ,โอทอป นาทีทองพบกับMini คอนเสิร์ต ศิลปิน มามอบความสุข อาคารชาเลนเจอร์ 1 – 3 อิมแพ็คเมืองทองธานี 7 – 15 มิถุนายน 68 เวลา 10.00-21.00 น.



วันนี้ ทีมงานมีโอกาสพบศิลปิน OTOP ในงาน OTOP Mid Year 2025 ในโซนศิลปินโอทอป นางลำดวน นันทะสุธา ผ้าขิดไหมบ้านกุดแห่ จังหวัดหนองบัวลำภู ผ้าขิดไหมเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ มีคุณค่าทางศิลปะและมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนในชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ชวนคนไทยและนักท่องเที่มาร่วมกันสนับสนุนสินค้าภูมิปัญญาจากชุมชน เพื่อต่อลมหายใจให้กับงานศิลปหัตถกรรมของไทยกัน ผ้าขิดไหม คือ ผ้าทอลายขิดที่ทอด้วยเส้นไหม โดยมีลวดลายที่เกิดจากการใช้เทคนิคการทอแบบ "ขิด" ลายขิดที่ปรากฏบนผ้ามีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความเชื่อต่างๆ เช่น ลายดอกไม้ ลายสัตว์ ซึ่งเป็นการสะกิดหรือยกเส้นด้ายยืนขึ้นแล้วสอดเส้นด้ายพุ่งพิเศษเข้าไป เพื่อสร้างลวดลายต่างๆ บนผืนผ้า ผ้าขิดไหมจึงเป็นผ้าที่มีความสวยงาม มีลวดลายที่โดดเด่น และมีความมันวาว 



นางลำดวน นันทะสุธา ประธานกลุ่มทอผ้าขิดไหมบ้านโพธิค้ำ บอกว่า ผ้าลายขิดในภาคอีสานอยากให้เศรษฐกิจในหมู่บ้านดีขึ้น คนในหมู่บ้านมีรายได้เสริมจากการทำไร่ทำนา ไม่ต้องจากบ้านไปทำงานกรุงเทพฯ หรือในต่างจังหวัดที่อยู่ห่างไกลครอบครัว และยังเป็นการช่วยอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมการทอผ้าขิดไหมของชาวชุมชนชนบทให้คงอยู่สืบไป

โดยลายผ้าขิดไหม พบได้มากในภาคอีสาน เกิดจากแนวคิดของ ครู ลำดวน นันทะสุธา ประธานกลุ่มทอผ้าไหมบ้านกุด แห่ จนทำให้ลายผ้าขิดไหมบ้านกุดแห่ ได้รับรางวัล ชนะเลิศจากแนวความคิดที่นำคำขวัญจังหวัด หนองบัวลำภู “ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อุทยานแห่งชาติภูเก้าภูพานคำ แผ่นดินธรรม หลวงปู่ขาว เด่นสกาวถ้ำเอราวัณ นครเขื่อนขันธ์ กาบแก้วบัวบาน” มาประยุกต์เป็นลายผ้าแบบใหม่ ที่มีความแปลกใหม่ ซึ่งประกอบด้วย ลายดอก พิกุล ลายหัวนาค ลายผีเสื้อ ผ้าขิดไหมสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย

ครู ลำดวน นันทะสุธา  เล่าถึง การทอผ้าขิดเป็นการทอโดยการใช้ไม้เขี่ย หรือสะกิดเส้นด้ายยืน เพื่อเปิดช่องให้สอดเส้นด้ายพุ่งพิเศษเข้าไปสร้างลวดลาย ลวดลายที่ได้มีสัมผัสได้ถึงความนูนลอยออกมาจากผืนผ้า  การฝึกให้กับคนในหมู่บ้านที่สนใจประกอบเป็นอาชีพเสริม ต่อมาสอนให้กับคนที่สนใจที่จะทำเป็นอาชีพ ตลอดจนเป็นห้องเรียนนอกสถานที่สำหรับโรงเรียนในเขตพื้นที่ อ.นากลาง ที่ต้องการให้นักเรียนได้ศึกษาเกี่ยวกับการทอผ้าที่นับวันจะหมดไปจากสังคมชนบท ซึ่งนอกจากจะสอนการทอผ้าแล้วยังสอนให้ออกแบบลวดลายผ้าทั้งลายโบราณและลายประยุกต์สมัยใหม่ เพื่อสร้างความหลากหลายของผ้าไหม จากการที่กลุ่มได้เป็นสมาชิกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษ ทำให้เป็นที่รู้จักและมีตลาดรองรับมากขึ้น

"ผ้าชิดไหมเป็นผ้าที่มีความละเอียดอ่อนศิลปินเป็นผู้ทำผลงานซึ่งจัดได้ว่าเป็นงานปรานีตศิลปิผลิตจากเส้นไทยเกรดเอที่สวยงามแล้วนำมาประยุกต์เป็นลวดลายต่างๆโบราณจนมาถึงร่วมสมัยปัจจุจุบันแต่ละลายก็จะมีที่มาทุกชิ้นงานและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง




ผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม ประกอบด้วย ผ้าขิดไหม ผ้าไหมมัดหมี่ ผ้าไหมพื้นเรียบ ผ้าไหมหางกระรอก ผ้าโสร่งไหม ผ้าลายลูกแก้ว ผลงานที่โดดเด่น คือ ได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในการประกวดผ้าขิดไหม ได้รับโล่สตรีดีเด่น จากอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ได้รับโล่ผู้นำสตรีดีเด่นของจังหวัดอุดรธานี ได้รับโล่ผลิตภัณฑ์ดีเด่นประเภทผ้าขิดไหม ได้รับโล่เกียรติบัตรจากการประกวดผ้าลายดอกบัว จากผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู



ครูลำดวน นันทะสุธา
087 2198231

19 มิถุนายน 2568

เปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ Honeywell

บริษัท Secure Connection ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ Honeywell อย่างเป็นทางการในตลาดประเทศไทย






กรุงเทพมหานคร โรงแรมโนโวเทล สยามสแควร์ วันที่ 19 มิถุนายน 2568 –  บริษัท Secure Connection Limited ผู้ผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำจากฮ่องกง ประกาศขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยผลิตภัณฑ์ครบวงจรภายใต้ลิขสิทธิ์ของ Honeywell โดย Secure Connection เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าจาก Honeywell International Inc. แต่เพียงผู้เดียว สำหรับการผลิต การตลาด การจัดจำหน่ายและการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ได้แก่ เครื่องฟอกอากาศ ผลิตภัณฑ์เสียงสำหรับบ้านและบุคคลทั่วไป อุปกรณ์เสริมสำหรับมือถือและไอที รวมถึงระบบโครงสร้างสายสัญญาณ และสำหรับประเทศไทย คุณพงศ์ภูวัท วงศ์วัชรรักษ์ ดำรงตำแหน่ง Country Manager Thailand ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการในประเทศไทย

นายโมฮิต อนันต์ ซีอีโอของ Secure Connection Limited กล่าวถึงความสำคัญของการขยายตลาดครั้งนี้ว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง ด้วยเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เรามั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ Honeywell จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี การเข้าสู่ตลาดครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรทางธุรกิจชั้นนำของไทยได้แก่ บริษัท อินแกรม ไมโคร(ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท มาซูม่า (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท โคแอน จำกัด และบริษัท ซี.เอส.ไอ. อินเตอร์เทรด จำกัด ในฐานะผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และ บริษัท ออว์ซั่ม มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ในฐานะพันธมิตรในช่องทาง E-Commerce"

ทั้งห้าบริษัทล้วนเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชั้นนำของไทย ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของผลิตภัณฑ์ Honeywell ในตลาดเมืองไทย โดยทั้ง Secure Connection และพันธมิตรต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค

ผลิตภัณฑ์ Honeywell ใดบ้างที่ทาง Secure Connection มุ่งเน้นทำตลาดในประเทศไทย นายโมฮิต กล่าวว่าเราจะมุ่งเน้นการพัฒนาและส่งเสริมผลิตภัณฑ์หลักของ Honeywell ได้แก่ เครื่องฟอกอากาศ อุปกรณ์เครื่องเสียงสำหรับบ้านและบุคคล อุปกรณ์เสริมสำหรับโทรศัพท์มือถือและไอที รวมถึงระบบสายสัญญาณโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยในด้านสุขภาพ ความบันเทิง การเชื่อมต่อ และโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล



“Secure Connection มีแผนขยายเครือข่ายการจัดจำหน่ายและบริการหลังการขายผ่านความร่วมมือกับร้านค้าปลีกรายใหญ่และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์บริการในกรุงเทพฯ และหัวเมืองสำคัญ เสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดประเทศไทย และดำเนินโครงการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นในแบรนด์อย่างยั่งยืน

เรามีแผนจัดตั้งศูนย์รับประกันสินค้าในกรุงเทพฯและหัวเมืองหลัก ผ่านทางตัวแทนจำหน่าย พร้อมพัฒนาทีมช่างเทคนิคมืออาชีพ และรวมถึงมีศูนย์รับฟังข้อเสนอแนะจากลูกค้าที่สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วจากช่องทางโซเชียลมีเดียของเราทั้งหมด โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของ Honeywell ที่จำหน่ายในประเทศไทยได้รับการดูแลด้วยมาตรฐานบริการหลังการขายที่มีคุณภาพ โปร่งใส และสม่ำเสมอ”




นายโมฮิต ยังกล่าวถึงการปิดยอดขายในไตรมาส 4 หลังสิ้นปี 2568 ในไทยว่า ตนยังตอบตัวเลขไม่ได้ สำหรับยอดขายในปี 2568 นี้ ทั้งนี้ตนหวังว่าประชาชนและผู้บริโภคชาวไทยจะเปิดใจและยอมรับในผลิตภัณฑ์และสินค้าของ Honeywell ซึ่งถ้าประชาชนชาวไทยให้การยอมรับมากขึ้นเท่าไร เราก็จะไม่หยุดพัฒนาสินค้า และพยายามหาสินค้าใหม่ๆมาตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคชาวไทยที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อผลักดันให้เป็นแบรนด์ชั้นนำในไทย  และถ้าเป็นเช่นนั้น เป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่เราต้องการ 19 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ คงจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน

“เราฟันธงไม่ได้ว่า สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ตัวไหนของ Honeywell ที่จะก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ที่ทำรายได้หลักให้เรา เพราะเท่าที่ทำตลาดหรือวางจำหน่ายในแต่ละประเทศ สัดส่วนการจำหน่ายสินค้าแต่ละ Product จะเกาะกลุ่มอยู่ที่ 25-35 % ไม่เคยมีสินค้าตัวไหนที่สามารถทำยอดขายได้โดดเด่นสูงถึง 65 %เลย สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดของ Honeywell เราจะเน้นทั้งออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไป”

คุณพรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินแกรม ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว "เรามีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือในครั้งนี้กับ Secure Connection ด้วยเป้าหมายและแนวทางที่สอดประสานกัน เรามั่นใจว่าการนำเสนอผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Honeywell จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดไทยได้อย่างแท้จริง"

คุณศรัล ดุรงค์เดช กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาซูม่า (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่า "การร่วมมือกับ Secure Connection ถือเป็นก้าวสำคัญของเราในการส่งมอบนวัตกรรมใหม่ๆ ภายใต้แบรนด์ Honeywell ให้กับผู้บริโภคในประเทศไทย เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม"

คุณลักษณ์วัตร์ เหรียญเจริญสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคแอน จำกัด กล่าว"เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับบริษัท Secure Connection ความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกันของเราจะช่วยส่งเสริมการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตจาก Honeywell ซึ่งมีความทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยที่เปลี่ยน แปลงไปอย่างต่อเนื่อง"

คุณจินห์ณิภา ศิริกุลประดิษฐ กรรมการบริษัท บริษัท ซี.เอส.ไอ.อินเตอร์เทรด จำกัด กล่าว "เรารู้สึกยินดีที่ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Secure Connection ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกันในการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงภายใต้แบรนด์ Honeywell ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงของผู้บริโภคไทยในยุคปัจจุบัน"

คุณเจษฎา ภวภูตานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออว์ซั่ม มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าว "ความร่วมมือครั้งนี้กับ Secure Connection เป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ Honeywell สู่ตลาดไทย ด้วยความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคและความเชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่ายเรามั่นใจว่าจะสามารถสร้างความพึงพอใจและคุณค่าให้แก่ลูกค้าได้อย่างยั่งยืน"


การขยายตลาดครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของ Secure Connection ในการขับเคลื่อนแผนการเติบโตระดับโลกโดยแสดงถึงความมุ่งมั่นในการค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ พร้อมกับการลงทุนเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในตลาดเมืองไทย

18 มิถุนายน 2568

“พิชัย” เปิดงาน “Crafts Bangkok 2025”

“พิชัย” เปิดงาน “Crafts Bangkok 2025” หนุน SACIT ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางหัตถกรรมแห่งอาเซียน จุดประกายคนรุ่นใหม่ สู่ตลาดโลก


กระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ SACIT เดินหน้ายกระดับศิลปหัตถกรรมไทยสู่เวทีสากล เปิดตัวงาน “Crafts Bangkok 2025” อย่างยิ่งใหญ่ มุ่งผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางหัตถกรรมแห่งอาเซียน ผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับดีไซน์ร่วมสมัยและนวัตกรรม สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ สร้างรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน “Crafts Bangkok 2025” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยในงานมี Mr.Melihcan Ersen อุปทูตสถานทูตตุรกีประจำประเทศไทย Ms. Soohyun Kim Regional Director (UNESCO) นายวรวงศ์ รามางกูร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ดร.เสรี นนทสูติ ประธานกรรมการ SACIT  ผศ.ดร.อนุชา ทีรคานนท์ ผู้อำนวยการ SACIT และผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วม



นายพิชัย กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการพัฒนา “Soft Power” ของไทย โดยเฉพาะงานศิลปหัตถกรรมซึ่งมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มสูง และเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ความเป็นไทยอย่างลึกซึ้ง

 “SACIT ทำได้ดีมาก งานหัตถกรรมควรเป็นสิ่งที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน มีความร่วมสมัย และน่าภาคภูมิใจเหมือนสินค้าแบรนด์เนมระดับโลก เราต้องการเห็นผลิตภัณฑ์แบบ ‘Louis Vuitton แห่งไทย’ ที่สามารถมอบเป็นของขวัญให้แขกบ้านแขกเมืองได้ ขอชื่นชมการพัฒนาของ SACIT ที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงจากรากฐานท้องถิ่นสู่ระดับสากล  ซึ่งกระทรวงพาณิชย์พร้อมสนับสนุนเต็มที่ นี่คือภาพลักษณ์ของประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา และการพัฒนาที่ต้องแตกต่าง มีเอกลักษณ์ และมีมูลค่า” นายพิชัย กล่าว




โดยงาน “Crafts Bangkok 2025” จัดขึ้นโดยสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)หรือ SACIT ได้ผลักดันให้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 นับเป็นอีกหนึ่งงานแสดงสินค้าที่รวบรวมผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทย จากทั่วทุกภูมิภาคของไทย จะช่วยสร้างการรับรู้ ความตระหนักในคุณค่าและภูมิปัญญางานหัตถกรรมไทย กระตุ้นให้เกิดไอเดียสร้างสรรค์ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ สู่การพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อนุชา ทีรคานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย กล่าวถึง  การจัดงาน Crafts Bangkok 2025 ภายใต้แนวคิด “Weaving Past to the Future” การถักทออดีตสู่อนาคต ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของ SACIT ในการยกระดับงานศิลปหัตถกรรมไทยให้ก้าวสู่ความเป็นสากล โดยการผสมผสานดีไซน์และการปรับองค์ประกอบใหม่ๆ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์การใช้งานของคนรุ่นใหม่ อีกทั้งยังพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการจับมือเดินเคียงข้างจากชุมชนสู่เมือง จากฝีมือสู่แบรนด์ จากท้องถิ่นสู่สากล เสมือนนักปั้นดาวแห่งหัตถศิลป์ไทย เพื่อให้ผลงานจากภูมิปัญญาไทยเหล่านี้ ยังคงอยู่และเติบโต เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน ท่ามกลางโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง

สำหรับไฮไลต์และกิจกรรมภายในงาน Crafts Bangkok 2025 ผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสประสบการณ์ อันน่าประทับใจกับเสน่ห์แห่งหัตถศิลป์ไทยที่หลากหลาย จากผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทย มากกว่า 320 คูหา โดยแบ่งออกเป็นโซนกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้

1. Silpacheep : ส่วนจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

2. SACIT Craft Space : ส่วนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทยร่วมสมัย มากกว่า 300 คูหา ผู้เข้าชมงานจะได้เลือกซื้องานศิลปหัตถกรรมที่มีคุณภาพจากผู้ผลิตทั่วประเทศไทย โดยแบ่งออกเป็น 3 โซน ดังนี้

• Meet the masters : งานฝีมือชั้นครู สะท้อนให้เห็นถึงทักษะฝีมือ แห่งมรดกภูมิปัญญา ตั้งแต่ต้นกำเนิดจนถึงการประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน

• Be conscious : งานฝีมือที่สะท้อนความยั่งยืนผสานความคิดสร้างสรรรค์ ผ่านคลื่นลูกใหม่ของงานฝีมือ สะท้อนศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของความคิดสร้างสรรค์

• Trendy look : งานฝีมือแห่งอนาคต สะท้อนเสน่ห์ของงานฝีมือที่เชื่อมต่อคนหลาย Generation ร้อยเรียงแก่นแท้ของงานฝีมือดั้งเดิมเข้ากับนวัตกรรม

3. SACIT Studio : พื้นที่แห่งการสร้างแรงบันดาลใจแบ่งเป็น 3 ส่วน 

• สร้างแรงบันดาลใจกับผลงานการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมไทย SACIT Concept 2025 

• ชื่นชมงานศิลปหัตถกรรมไทยกับช่างฝีมือรุ่นใหม่ New Young Craft 2025 ที่สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทยด้วยทักษะและภูมิปัญญาดั้งเดิมมาผสมผสานกับแนวคิดและนวัตกรรม

• ร่วมพูดคุยกับชุมชนที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และสืบทอดองค์ความรู้ด้านงานหัตถกรรมไทยจากรุ่นสู่รุ่น 

4. The Craft Connect : ส่วนจัดแสดงเมืองสร้างสรรค์ (Creative City) ของ UNESCO ทั้ง 7 ประเภทเมืองสร้างสรรค์ของไทย ที่มีกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม                   ของเมือง, การจัดแสดงงานศิลปหัตถกรรมจากประเทศตุรกีเป็นต้น

5. Weaving Past to the Future : พื้นที่่รวบรวมผลิตภัณฑ์ และเรื่องราวของช่างฝีมือไทยที่ฝึกฝนพัฒนาผลิตภัณฑ์งานศิลปหัตถกรรม สู่ชิ้นงานคุณภาพ

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมพิเศษภายในงานเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการงานศิลปหัตถกรรมไทย อีกมากมาย อาทิ กิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านงานศิลปหัตถกรรมไทยจากกลุ่ม New Young Craft 2025, กิจกรรมลุ้นรับของรางวัลทั้งในรูปแบบ On Ground และ Online, กิจกรรมจำหน่ายสินค้าผ่าน Social Media รวมถึงกิจกรรมร่วมสนุกและความบันเทิงจากศิลปิน และกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ตลอดการจัดงาน ทั้งนี้ SACIT คาดหวังว่าตลอดการจัดงานจะมีเงินสะพัดภายในงานมากกว่า 100 ล้านบาท และมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 30,000 ราย อีกทั้ง จะเป็นการสร้างโอกาสให้แก่ผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทย สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ ไปสู่ตลาดโลก ผลักดันมูลค่าการส่งออกงานหัตถกรรมไทยให้เติบโตในตลาดสากลต่อไป






ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกันสนับสนุนงานศิลปหัตถกรรมร่วมสมัยฝีมือคนไทย ที่คงคุณค่าในอัตลักษณ์ความเป็นไทย ภายในงาน Crafts Bangkok 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 22 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ ฮอลล์ 5 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์