ก.คุณธรรม ล้มกระดานลาออก
ความพยายามที่จะดันราคากลางการประมูลรถเมล์ เอ็นจีวี. 489 คัน ของ ขสมก.ให้ขึ้นไปเกินกว่า 4,000 ล้านบาท ก็เพราะราคาเดิม 3.3 พันล้านบาท เป็นราคาที่ไม่สามารถจัดสรรค์เงินทอนกว่า 600 ล้านบาทตามความปรารถนาของกลุ่มคนบางกลุ่มได้ ทั้งผู้บริหาร ขสมก.ไล่ไปจนถึงระดับ ก.คมนาคม พร้อมใจขานรับกันเป็นทีมโดยหาเหตุว่า ราคา 3.3 พันล้านบาท ไม่มีผู้เข้าร่วมประมูลรายใดให้ความสนใจ เพราะเป็นราคาที่ต่ำเกิน
นายสุนทร ชูแก้ว ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทเบสทริน เปิดประเด็นไว้แล้วว่า ขสมก.หรือใครก็ตามที่กำลังใช้ความพยายามผลักดันราคากลางจาก 3.3 พันล้านเป็น 4 พันกว่าล้าน ขอเรียนว่าราคาที่เบสทรินชนะเป็นราคาที่รวมภาษีต่างๆ และค่าธรรมเนียมครบถ้วนแล้วไม่มีความจำเป็นต้องซื้อแพงไปมากกว่านี้
นอกจากไม่มีใครฟังแล้ว….ขสมก.ยังเดินหน้าโดยนายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานคณะกรรมการบริหารองค์การ (บอร์ด) ขสมก.ออกมาฟันธงราคากลางรถเมล์เอ็นจีวีรอบใหม่ 4,020 ล้านบาท เปิดประมูลกลางเดือนตุลาคม พร้อมส่งมอบล็อตแรก 20 คันก่อนปีใหม่ ขณะที่มีกระแสข่าวออกมาว่า มีเอกชนรายหนึ่งนำเข้ารถบัสมีลักษณะตรงตามสเป็คและสีตามที่ ขสมก.กำหนดไว้เป๊ะ จำนวน 2 เที่ยวขน เที่ยวละ 16 คันรวม 32 คัน รถบัสปริศนาหน้าตาตรงตามสเป็ค ขสมก.จำนวนนี้คือรถ 20 คันแรกที่ ขสมก. ตั้งใจเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนผู้เข้าร่วมประมูลรายหนึ่ง เพราะใน ทีโออาร์. ขสมก.กำหนดส่งมอบรถโดยสาร จำนวน 20 คัน ภายในระยะเวลา 40 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา ซึ่งพอมีผู้ท้วงติง ขสมก. ได้ตัดข้อความในส่วนนี้ออก แต่ขสมก.กลับเพิ่มเกณฑ์การพิจารณาความสามารถในการส่งมอบรถโดยสารไว้ในข้อ 6 โดยตั้งเป็นเกณฑ์การให้คะแนนสำหรับบริษัทฯที่สามารถนำส่งมอบรถได้เร็วกว่ารายอื่น
สรุปคือ….ยังงัย ขสมก.ก็ต้องช่วยเอกชนรายนี้ให้ได้ ว่างั้นเถอะ…!!!
เมื่อมาถึงจุดนี้…จุดที่ ขสมก.ดื้อตาใส คงต้องย้อนไปเมื่อครั้งที่นางปราณี ศุกระศร นั่งรักษาการผู้อำนวยการ ขสมก.ได้ใช้ทุกวิถีทางที่จะลงนามสัญญาซื้อขายรถโดยสารเอ็นจีวี. 489คันกับเอกชนรายนี้ให้ได้เช่นกันท่ามกลางเสียงทักท้วงจากหลายฝ่าย แม้แต่เสียงคัดค้านจากคณะกรรมการที่ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งขี้นและคาดหวังมากเพื่อแก้ไขป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐนั่นก็คือ “คณะกรรมการคุณธรรม” ทำหน้าที่สังเกตการณ์โครงการจัดซื้อจัดจ้างทุกโครงการของรัฐบาล
ในครั้งนั้น ขสมก.พยายามดันทุรังที่จะลงนามแต่ไม่สำเร็จ เนื่องเพราะมีผู้สังเกตการณ์คุณธรรม 2 ท่านประกาศลาออกไม่ขอร่วมสังฆกรรมลงนามในสัญญาจัดซื้อรถโดยสาร เอ็นจีวี. 489 คัน
ภายหลังมีมติบอร์ด ขสมก.ให้มีการเซ็นสัญญาซื้อขายกับกลุ่มกิจการร่วมค้า JVCC ที่มีบริษัท ช.ทวีดอลลาเซียนจำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชนะประมูลในวันที่ 17 สิงหาคม 2558เหตุการณ์ครั้งนั้นสกู๊ปหน้า 1 ขอลำดับปัญหาที่เกิดขึ้นว่า ทำไมจึงไม่มีการเซ็นสัญญาซื้อขายเกิดขึ้น
2 มิถุนายน 2558 นายนพนันท์ วรรณเทพสกุล และนายอรุณ ลีธนาโชค 2 ผู้สังเกตการณ์โครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี จำนวน 489 คัน ส่งรายงานไปยัง ศ.เมธี ครองแก้ว ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายมาตรการป้องกันการทุจริต (ป.ป.ช.) เพื่อเรียกเอกสารมาตรวจสอบ
2 มิถุนายน 2558 นายนพนันท์ วรรณเทพสกุล และนายอรุณ ลีธนาโชค 2 ผู้สังเกตการณ์โครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี จำนวน 489 คัน ส่งรายงานไปยัง ศ.เมธี ครองแก้ว ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายมาตรการป้องกันการทุจริต (ป.ป.ช.) เพื่อเรียกเอกสารมาตรวจสอบ
4 มิถุนายน 2558 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติยุบคณะอนุกรรมการฝ่ายมาตรการป้องกันการทุจริต
8 มิถุนายน 2558 นายนพนันท์ และนายอรุณ ส่งบันทึกขอให้ระงับการลงนามสัญญาโครงการจัดซื้อรถโดยเอ็นจีวี จำนวน 489 คัน และการจัดหาผู้ซ่อมบำรุงรักษารถ ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.)
พร้อมยื่นจดหมายลาออกจากการทำหน้าที่ผู้สังเกตการณ์ ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2558
9 มิถุนายน 2558 นายนพนันท์ อดีตผู้สังเกตการณ์ ในฐานะคณะอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ด้านการป้องกันการทุจริตรายงานในที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ เพื่อรับทราบปัญหา
10 มิถุนายน 2558 นายนพนันท์ ทำบันทึกถึงนายมนัส แจ่มเวหา ประธานคณะอนุกรรมการการประสานความร่วมมือข้อตกลงคุณธรรม และ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ขณะนั้น ขอให้ตรวจสอบความไม่ถูกต้องของการประกวดราคาและการจัดหาผู้ซ่อมบำรุงรักษารถโดยสารเอ็นจีวี. 489 คัน
11 มิถุนายน 2558 นายนพนันท์ และนายอรุณ ส่งรายงานผลการสังเกตการณ์ให้นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) พร้อมแจ้งว่าลาออกแล้ว
12 มิถุนายน 2558 มีการประชุมประสานงาน คตช. และรับทราบปัญหาการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี
16 มิถุนายน 2558 กรมบัญชีกลางเชิญ นายนพนันท์ เข้าชี้แจงในที่ประชุมคณะอนุกรรมการเรื่องรายงานผลการสังเกตการณ์ในโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คันของ ขสมก.
8 กรกฎาคม 2558 สองอดีตผู้สังเกตการณ์ และ รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค ประธานคณะอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติด้านการป้องกันการทุจริต เข้าประชุมหารือกับคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของ ขสมก.
9 กรกฎาคม 2558 ขสมก.ส่งเอกสารด้านเทคนิคของผู้ชนะการประกวดราคาและประสงค์จะเสนอราคาเพื่อให้ตรวจสอบ กับ รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค
15 กรกฎาคม 2558 รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค จัดส่งรายงานผลการพิจารณาเอกสารด้านเทคนิคของผู้ชนะการประกวดราคาไปยังนางปราณี ศุกระศร รักษาการผู้อำนวยการ ขสมก. พร้อมสำเนาไปยังกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการต่อต้านด้านการทุจริตแห่งชาติ และประธานอนุกรรมการประสานความร่วมมือข้อตกลงคุณธรรม
24 สิงหาคม 2558 อดีตสองผู้สังเกตการณ์ ทำรายงานเพื่อนำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.
เรื่องความไม่ถูกต้องโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีและการจัดหาผู้ซ่อมบำรุง และขอให้ตรวจสอบเพื่อป้องกันความเสียหายแก่รัฐ
เรื่องความไม่ถูกต้องโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีและการจัดหาผู้ซ่อมบำรุง และขอให้ตรวจสอบเพื่อป้องกันความเสียหายแก่รัฐ
2 กันยายน 2558 คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) พิจารณาคำร้องอุธรณ์ของบริษัทเบสท์รินและในวันที่ 25 กันยายน 2558 นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่าจะให้ขสมก.รายงานความคืบหน้าการจัดซื้อรถเมล์ล็อตแรก 489 คัน ในวันที่ 28 ก.ย. และจะดำเนินการซื้อรถพลังงานไฟฟ้าเข้ามาใช้แทนก่อนจำนวน 200 คัน
นายอรุณ ลีธนาโชค ผู้สังเกตการณ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ผู้สังเกตการณ์คุณธรรมพบว่า ในขั้นตอนมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารระหว่างการเจรจาค่าซ่อม ซึ่งระหว่างการประชุมเจรจาค่าซ่อมตนเองและอาจารย์นพนันท์ได้แย้งไปแล้วว่าไม่น่าจะทำได้ เนื่องจากเอกสารค่าซ่อมถือเป็นเอกสารหลักที่เป็นคุณสมบัติในการเข้าประมูล ดังนั้นการเห็นเอกสารทีหลังแล้วมาแก้ไขใหม่เห็นว่าทำให้มีคุณสมบัติเรื่องเอกสารไม่ครบถ้วนและไม่ควรมีสิทธิตั้งแต่ก่อนเข้าประมูล
ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นข้อผิดพลาดของคณะกรรมการจัดซื้อของ ขสมก.ที่จัดเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีความรู้ทางด้านเทคนิคเข้ามาทำหน้าที่ ทำให้เกิดข้อผิดพลาดตั้งแต่เบื้องต้น จนกระทั่งก่อให้เกิดความบกพร่องส่งผลให้มีผู้ได้เสียในการประมูล
ราคากลาง 4,020 ล้านที่กำลังจะประมูลครั้งล่าสุดนี้ก็เช่นกัน มีการหมกเม็ดขึ้นราค่าค่าซ่อมบำรุงปีที่ 6 ถึงปีที่ 10 ส่งผลทำให้ราคากลางพรุ่งพรวดจาก 3,300 ล้านบาทแพงขี้นมาอีก 600ล้านบาทซ้ำรอยเดิม
“ขสมก.ต้องทบทวน ไม่ใช่เอาแต่ดันทุรังกล่าวอ้างว่าขั้นตอนทั้งหมดถูกต้อง เพื่อปิดบังอำพรางข้อเท็จจริงบางประการไว้ จนกระทั่งทำให้เกิดการฟ้องร้องเป็นคดีความขึ้นมาแบบซ้ำซาก ผู้บริหารระดับกระทรวงก็ต้องตรวจสอบด้วยว่า การที่เอกชนกระทำความผิดตามข้อตกลงคุณธรรม มีบทบัญญัติลงโทษอย่างไร?มีสิทธิ์เข้าร่วมสังฆกรรมกับ ขสมก.หรือไม่?”
ขสมก.ควรย้อนดูประวัติศาสตร์ของตัวเองดูบ้าง เหตุฉาวๆซ้ำซากจะได้ไม่ย้อนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง…!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น