เที่ยวทั่วไทย อร่อยทั่วโลก อัพเดทข่าวรายวัน Lifestyle บันเทิง ทันทุกกระแสข่าว!

30 สิงหาคม 2564

พม.ดึงภาคีเครือข่าย เร่งสร้างวิถีใหม่ เพื่อเด็กและเยาวชนไทย เปลี่ยนมิติจากการปราบปราม เป็นมิติของการเปลี่ยนแปลง


วันนี้ (30 ส.ค. 64) เวลา 10.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในการแถลงข่าว “ผนึกกำลังสร้างวิถีใหม่ เพื่อเด็กและเยาวชนไทย” ณ ห้องประชุม ชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กทม.

นายจุติ กล่าวว่า ปัจจุบันโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัยอย่างต่อเนื่อง และทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง รวมทั้งปัญหากลุ่มเด็กเร่ร่อนหรือกลุ่มเด็กเปราะบางที่เดินขอเงินหรือขายพวงมาลัยบนท้องถนน 

ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาความกดดันต่างๆ ในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือพ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ในการหารายได้เพื่อจุนเจือครอบครัวทั้งที่เด็กสมัครใจและถูกบังคับ ความรุนแรงในครอบครัว และปัญหาความยากจน ทั้งนี้กระทรวง พม. ทำงานเพียงกระทรวงเดียวไม่ได้ เราต้องมีการทำงานแบบบูรณาการกัน ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสให้กับกลุ่มเยาวชน กลุ่มครอบครัว ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง  

ตนทราบถึงปัญหาและได้ผนึกกำลังกันกับหลายกระทรวง  เพื่อเปลี่ยนมิติจากการปราบปราม เป็นมิติของการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง เพื่อสร้างอนาคต สร้างวิถีชีวิตใหม่ ที่สามารถให้กลุ่มต่างๆ เหล่านี้เข้าถึงองค์ความรู้ ช่องทาง วิธีการที่จะสร้างอนาคต และเราจะมีผู้ประกอบการรุ่นใหม่ๆ ผู้ประกอบการสินค้าแปลกๆ ซึ่งเป็นสินค้าที่ผลิตเอง ทำเอง ขายเอง ในขณะเดียวกันเราใช้เมตตา โอกาส และความสร้างสรรค์ แต่เรามีกฎหมายตีกรอบว่า ถ้าเกิดมีการใช้ประโยชน์จากเด็กเยาวชนโดยไม่ชอบ ก็ต้องดำเนินการ 


นายจุติ กล่าวด้วยว่า ครอบครัวไหนที่มีความจำเป็นอยากจะประกอบอาชีพ เรามีกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงดีอีเอส กระทรวง พม. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่คอยช่วยเหลืออยู่ด้วยความเข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือให้เดินหน้าไปด้วยกัน ขณะนี้เราพยายามเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ และกระทรวง พม. ได้จับมือกับกรุงเทพมหานคร เพราะเป็นเจ้าของพื้นที่ 


ทั้งนี้ เรายังได้ผนึกกำลังกับสายด่วน ตำรวจ โทร. 191 โดยกระทรวง พม. จะมีเจ้าหน้าที่เพิ่มให้ครบทั้ง 50 เขต คอยดูแลปัญหาเหล่านี้และพัฒนากลุ่มเป้าหมายให้มีความยั่งยืนได้พ้นจากปัญหาที่ประสบอยู่ ในขณะเดียวกันเราให้ทั้งโอกาสและใครก็ตามที่มาใช้โอกาสโดยไม่ชอบก็ต้องจัดการ 




หากประชาชนเกิดปัญหาสามารถติดต่อ สายด่วน พม. โทร. 1300 หรือสายด่วน ตำรวจ โทร. 191 ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าจะมีเยาวชนที่เข้าใจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของเราได้รับการฝึกจิตวิทยา และเราจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไม่ใช่ที่ปลายเหตุ โดยเราเชื่อว่าถ้าเราทำตรงนี้ได้ เด็กเหล่านี้จะไม่ถูกเอาเปรียบและไม่ถูกหลอกใช้




บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง

DMT มอบเงินสนับสนุนการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์แก่รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ

บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง โดย ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจและการเงิน (คนที่ 2 จากขวา) และ คุณอัจฉรา   เจริญพร  ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์และสื่อสารองค์กร (คนที่ 1 จากขวา)  มอบเงินจากการจัดกิจกรรมโครงการ ทุกเวลาคือการให้ ซึ่งมาจากการร่วมบริจาคของผู้ใช้ทางที่ใช้บริการ

ทางยกระดับดอนเมืองตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม – 12 สิงหาคม 2564 จำนวน 300,000 บาท

เพื่อสนับสนุนการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด  และเพื่อร่วมถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมี รศ.นพ.พฤหัส ต่ออุดม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ (คนที่  2  จากซ้าย) เป็นผู้รับมอบ

26 สิงหาคม 2564

สสว. ร่วมกับ ม.ศิลปากร เดินหน้าพัฒนาคลัสเตอร์ Digital Content


สสว. ร่วมกับ ม.ศิลปากร เดินหน้าสร้างความเข้มแข็งชูการสร้างเครือข่ายเอสเอ็มอีไทยกลุ่มดิจิทัล คอนเทนท์ หนึ่งจิ๊กซอร์สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ  จัดกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ Digital Content ภายใต้โครงการสนับสนุนและพัฒนาคลัสเตอร์ SME ประจำปีงบประมาณ 2564 

ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3  พร้อมเปิดเวที Business Matching เพื่อนำเสนอผลงานต่อนักลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายผู้ประกอบการในคลัสเตอร์อื่น รวมทั้งกลุ่มผู้ซื้อและกลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ  คาดเกิดการสร้างรายได้ในอุตสาหกรรมจากกิจกรรมฯ ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทและคาดต่อยอดรายได้ให้กับผู้ประกอบเพิ่มขึ้นอีก

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นการเร่งพัฒนายกระดับเอสเอ็มอีไทย เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างขีดความสามารถทางทำธุรกิจในระดับสากลมาก 

ซึ่งกลุ่มเอสเอ็มอีนับเป็นฐานเศรษฐกิจหลักที่สำคัญของประเทศที่ทาง สสว. ให้การส่งเสริมและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง  ล่าสุดได้จัดกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ Digital Content ภายใต้โครงการสนับสนุนและพัฒนาคลัสเตอร์ SME ประจำปีงบประมาณ 2564 ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 

โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยศิลปากร เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญของการรวมกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มดิจิทัล คอนเทนท์ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอร์สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยฝีมือและผลงานคุณภาพระดับสากลของผู้ประกอบการไทยกลุ่มดิจิทัล คอนเทนท์ทำให้สามารถสร้างเม็ดเงินในอุตสาหกรรมฯ ได้ปีละหลายหมื่นล้านบาท อ้างอิงข้อมูลจากการสำรวจและคาดการณ์ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลกับสถาบันไอเอ็มซีมีการคาดการณ์ว่าในปี 2565 มูลค่าอุตสาหกรรม อยู่ที่ 45,094 ล้านบาทและเติบโต 15%  ซึ่งมีการเติบโตทั้งในส่วนแอนิเมชั่น เกมและคาแรคเตอร์

“ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกทรุดตัวลงอย่างหนัก สสว. ได้เล็งเห็นความสำคัญของการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อการกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการและใช้แนวคิดในการสนับสนุนและพัฒนาคลัสเตอร์มาเป็นเครื่องมือเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการเฉพาะกลุ่ม 

ซึ่งแต่ละกลุ่มมีความต้องการความช่วยเหลือที่แตกต่างกันจำเป็นต้องมีแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาเฉพาะสำหรับเอสเอ็มอีแต่ละกลุ่ม โดยเน้นการกระตุ้นความเชื่อมโยงกันระหว่างผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เน้นการพัฒนาผู้ประกอบการในคลัสเตอร์ให้มีศักยภาพเพื่อแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ 

ด้วยการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมไปถึงการพัฒนาช่องทางการตลาดในเชิงรุกผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ พร้อมกับสร้างการรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์ของไทยให้กับ ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ โดยการพัฒนา Digital Content Cluster และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เข้มแข็ง มุ่งให้เกิดการขยายสัดส่วนมูลค่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมของเอสเอ็มอีต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ  ดังนั้นการสร้างกลุ่มหรือคลัสเตอร์ทำให้เกิดความเข้มแข็งและอยู่รอดได้” นายวีระพงศ์ มาลัย กล่าว



ทางด้าน ผศ.ดร. ณัฐพร กาญจนภูมิ คณบดี คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ม.ศิลปากร กล่าวว่า ม.ศิลปากร เป็นมหาวิทยาลัยที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านศิลปะและการออกแบบ มีนโยบายในการส่งเสริมสนับสนุน และประสานความร่วมมือด้านงานบริการวิชาการระหว่างหน่วยงาน องค์กร เพื่อถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ระหว่างบุคลากรทางสายวิชาการและสายวิชาชีพ เพื่อให้ได้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วน  

ซึ่ง ม.ศิลปากร ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและสร้างเครือข่ายดิจิทัลคอนเทนต์ ร่วมกับ สสว. ในกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ Digital Content ครั้งนี้ นับเป็นบทบาทที่สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งในฐานะภาคการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมดิจิทัล คอนเทนท์  สำหรับคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้เปิดหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาบุคลากรทางด้านดิจิทัล คอนเทนท์มากว่า 17 ปี โดยมีความเชื่อมั่นว่าการสร้างบุคคลากรที่สามารถบูรณาการความรู้ด้านการออกแบบและสร้างสื่อ เทคโนโลยีด้านดิจิทัลและธุรกิจการตลาดผสมผสานเข้าด้วยกันนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคอุตสาหกรรมฯ ได้

สำหรับการจัดกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ Digital Content ภายใต้โครงการสนับสนุนและพัฒนาคลัสเตอร์ SME ปี 2564 ถือเป็นโอกาสสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ในการสร้างความร่วมมือของหน่วยงานรัฐสองหน่วยงาน ระหว่าง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กับ มหาวิทยาลัยศิลปากร รวมถึงการไปร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก อาทิ สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย (DCAT)  สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA)  รวมทั้งพันธมิตรในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ได้นำผลงานของผู้ประกอบการในเครือข่ายดิจิทัลคอนเทนต์ไปต่อยอด ทั้งด้านการผลิต และการจัดจำหน่ายอี-คอมเมิร์ซ 

ทั้งนี้การดำเนินงานจัดกิจกรรมประจำปีนี้เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนและจะมีต่อเนื่องจนถึงกันยายนนี้ ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันองค์ความรู้ครอบคลุมกลุ่มผู้ประกอบการ 3 เครือข่าย  ประกอบด้วย 1.เครือข่ายผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมการออกแบบและซื้อขายลิขสิทธิ์ และสินค้าตัวละคร (Character Design, Licensing and Merchandising) 2.เครือข่ายผู้ประกอบการด้านการสร้างคอนเทนท์  แอนิเมชั่น การรับผลิตแอนิเมชั่น และให้บริการด้านคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ (Animation IP, Animation & CG Service) และ 3.เครือข่ายผู้ประกอบการด้านภาพกราฟฟิกเคลื่อนไหวและสื่อใหม่ (Motion Graphics and New Media)  

นอกจากนี้กิจกรรมพัฒนา คลัสเตอร์ Digital Content ยังประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ อาทิ การแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ร่วมกันแบบบูรณาการของ 3 คลัสเตอร์ การเพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์ให้กับผู้ประกอบการ ส่งเสริมผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการไปสู่ตลาดต่างประเทศให้มีโอกาสในการนำเสนอสินค้า เป็นต้น

“กลุ่มคลัสเตอร์ Digital Content จึงเป็นกลุ่มคลัสเตอร์หนึ่งที่ทาง สสว. ให้ความสำคัญและสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในการพัฒนาศักยภาพเอสเอ็มอีและคลัสเตอร์ดิจิทัล คอนเทนท์ให้มีความเข้มแข็งจะต้องอาศัยการร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานภาคีต่างๆ หลายหน่วยงาน 

ซึ่งที่ผ่านมากิจกรรมนี้ได้สนับสนุนให้ประกอบการในคลัสเตอร์ดิจิทัล คอนเทนท์ ได้มีเวทีและโอกาสในการนำเสนอผลงานต่อนักลงทุน สื่อ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงไปยังเครือข่ายผู้ประกอบการในคลัสเตอร์อื่น รวมทั้งกลุ่มผู้ซื้อและกลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่กิจกรรม Business Matching ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสามารถกระตุ้นและต่อยอดให้เกิดมูลค่าในอุตสาหกรรมไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท” นายวีระพงศ์ มาลัย กล่าวปิดท้าย


 

รฟฟท.เผยผลสำรวจความพึงพอใจผู้โดยสารแอร์พอร์ตเรล ลิงก์ ประจำปี 2564

บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เผยผลสำรวจความพึงพอใจของผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล  ลิงก์ ประจำปี 2564 


นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินการว่าจ้างบริษัท เยสยูแคน จำกัด
( YES YOU CAN COMPANY LIMITED ) ที่ปรึกษางานวิจัย และการประเมินผล  จัดทำผลสำรวจความพึงพอใจของผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล  ลิงก์ ประจำปี 2564 ซึ่งปรากฏว่าผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจอยู่ในระดับพึงพอใจมากโดยจากค่าเฉลี่ยเต็ม 5.00 ผู้โดยสารมีความพึงพอใจด้านต่างๆดังนี้




ความพึงพอใจต่อการใช้บริการอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 4.26 ,  ความพึงพอใจด้านความปลอดภัยอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 4.49 , ความพึงพอใจด้านความน่าเชื่อถือของการเดินรถอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 4.35 , ความพึงพอใจด้านการประชาสัมพันธ์อยู่ที่ค่าเฉลี่ย 4.31 , ความพึงพอใจด้านสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 4.38 และความพึงพอใจด้านบัตรโดยสารและการตลาดอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 4.24







การที่ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้โดยสารที่มีต่อรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ อยู่ในระดับพึงพอใจมากในด้านต่างๆนั้น เป็นผลมาจากการที่บริษัทได้ดำเนินนโยบาย และมาตรการต่างๆที่เป็นการยกระดับการให้บริการ และการรักษาความปลอดภัยมาโดยตลอด อาทิ การนำระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 มาใช้ในการดำเนินงานทั้งการซ่อมบำรุง และการปฏิบัติการเดินรถ และให้บริการอย่างต่อเนื่อง จนผ่านการรับรอง ISO 9001 : 2015 ขอบเขต : วิศวกรรมและซ่อมบำรุง และขอบเขต : งานปฏิบัติการเดินรถไฟฟ้า จาก BV (Bureau Veritas) , การดำเนินโครงการ Smile Station เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ , การสร้างราวกั้นชานชาลา และแผ่นยางปิดช่องว่างระหว่างชานชาลากับประตูรถไฟฟ้า รวมถึงความเข้มงวดในมาตรการรักษาความปลอดภัย และมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่บริษัทเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร , การบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสถานีทั้งลิฟท์ และบันไดเลื่อนให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ, การเพิ่มช่องทางของสื่อประชาสัมพันธ์ให้สามารถเข้าถึงผู้โดยสารมากขึ้น, การมอบสิทธิพิเศษของบัตรโดยสารสมาร์ทพาส และกิจกรรมการตลาด โดยเฉพาะกิจกรรมส่งเสริมการตลาดออนไลน์ ที่ได้ปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งผู้โดยสารให้ความสนใจเป็นจำนวนมากไม่ว่ากิจกรรมวันเด็กออนไลน์ วันตรุษจีนออนไลน์ วันแห่งความรักออนไลน์ และวันสงกรานต์ออนไลน์ เป็นต้น


อีกทั้งการให้บริการลูกค้าสัมพันธ์ที่พร้อมรับข้อร้องเรียน ข้อเสนอแนะและเรื่องชมเชย ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ไม่มีวันหยุด และ Official Page สะดวกแก่ผู้ใช้บริการ ให้บริการด้วยความรวดเร็วในช่องทางการสื่อสาร

"จุรินทร์" ชูผลสำเร็จ7เดือนแรก ส่งออกผลไม้สดและผลไม้แปรรูป 131,166 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ48.31

วันที่ 26 สิงหาคม 2564 เวลา 10.00 น.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวิทยากร มณีเนตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ และนายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เป็นสักขีพยานพิธีประกาศความตกลง ซื้อขายผลไม้ล่วงหน้า (MOP) ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์





นายจุรินทร์ กล่าวว่า ผลไม้ไทยถือเป็นสินค้าเป้าหมายสำคัญในการส่งออกเพื่อทำรายได้ให้กับประเทศ 7 เดือนแรกปีนี้ยอดการส่งออกผลไม้สดและผลไม้แปรรูปมีมูลค่าสูงถึง 131,166 ล้านบาทขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 48.31 และเป้าหมายในปีนี้ทั้งปีตั้งเป้าหมายว่าจะส่งออกผลไม้เพื่อทำรายได้เข้าประเทศให้ได้ไม่ต่ำกว่า 180,000 ล้านบาท ขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 โดยงานสำคัญในการส่งเสริมการส่งออกผลไม้เพื่อทำรายได้เข้าประเทศประกอบด้วย 4 งานใหญ่ 

1.กิจกรรมจัดคู่เจรจาทางการค้าออนไลน์ OBM หรือ Online Business Matching 2.กิจกรรมการส่งเสริมการขายการบริโภคผลไม้ในห้างสรรพสินค้าและตลาดสำคัญในต่างประเทศ 3.กิจกรรมการจัด Thai Fruits Golden Months หรือเดือนทองของการบริโภคผลไม้ไทยในประเทศต่างๆ 4.กิจกรรมขายผลไม้ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆโดยเฉพาะแพลตฟอร์มสำคัญในระดับโลกเช่น bigbasket.com ของอินเดีย Tmall ของจีน เป็นต้น 








รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าต่อว่า ตัวอย่างของความสำเร็จ เช่น การจัด  Thai Fruits Golden Months ในประเทศจีนซึ่งช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาได้จัดไปแล้วใน 8 เมือง ประกอบด้วย  หนานหนิง ไห่หนาน ฉงชิ่ง ชิงต่าว เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู ต้าเหลียน และฝอซาน สามารถทำได้ถึง 15,466 ล้านบาท และยังมีแผนงานที่เหลืออีก 5 เมืองคือ  เซี่ยเหมิน หนานชาง คุนหมิง อู่ฮั่น และหนานหนิง ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท รวมแล้วเฉพาะการจัด  Thai Fruits Golden Monthsในจีน 13 เมืองทำรายได้เข้าประเทศไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท

สำหรับ 1 ใน 4 งานหรือกิจกรรมคือ OBM จับคู่เจรจาทางการค้าซื้อขายผลไม้ เราดำเนินการ 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งการส่งเสริมการจับคู่ซื้อขายผลไม้ของภาคตะวันออกของประเทศไทยมีการจัดกิจกรรมจับคู่ไปแล้วเมื่อวันที่ 24-25 มีนาคมที่ผ่านมา มีผู้ส่งออกไทยทั้งสิ้น 39 บริษัทผู้นำเข้าจากต่างประเทศ 179 บริษัทจาก 37 ประเทศ สามารถเจรจาซื้อขายได้ถือ 392 คู่ 2,276 ล้านบาท ประเทศนำเข้าสำคัญที่จับคู่นำเข้าผลไม้กับไทยประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ฮังการี อินเดีย รัสเซียและสหรัฐอเมริกา เป็นต้นโดยผลไม้ Top 5
ที่ได้เจรจาจนประสบความสำเร็จประกอบด้วย ทุเรียน มะม่วง มะพร้าว สับปะรดและมังคุด

ช่วงต่อมา จับคู่เจรจาซื้อขายผลไม้ในภาคใต้กับภาคเหนือ วันที่ 22-23 กรกฎาคมมีผู้ส่งออกไทย 65 บริษัทผู้นำเข้า 72 บริษัทจาก 20 ประเทศสามารถเจรจาประสบความสำเร็จ 257 คู่ มูลค่า 1,865 ล้านบาท ผู้นำเข้าประกอบด้วยจีน เมียนมา อินเดีย ฮ่องกงและกัมพูชา ผลไม้สำคัญประกอบด้วยมะพร้าว สับปะรด มะม่วง ลำไย 

ในการเจรจาจับคู่ซื้อขายผลไม้ 2 ครั้งทั้งภาคตะวันออก ภาคใต้และภาคเหนือสามารถทำยอดได้ถึง 4,141 ล้านบาท และกิจกรรมในวันนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งจากการเจรจาทั้ง 2 ครั้งโดยมีการประกาศการจับคู่ที่กำหนดการส่งมอบที่เป็นรูปธรรมแล้วจำนวน 21 คู่ เป็นเงินซื้อขายจริงที่จะชำระ 2,394 ล้านบาทคือความตกลงซื้อขายผลไม้ส่งออก หรือ Memorandum of Purchasing : MOP เป็นผู้ส่งออกของไทย 21 บริษัทผู้นำเข้า 21 บริษัทจาก 16 ประเทศประกอบด้วยอินเดีย ลาว เมียนมา สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น สเปน เกาหลี ไต้หวัน อินโดนีเซีย อาร์เจนตินา กัมพูชา ยูเออีและมาเลเซีย ผลไม้สำคัญประกอบด้วย ทุเรียน มะม่วง ลำไย มังคุดและมะพร้าว เป็นต้น

"และขอมอบนโยบายพาณิชย์จังหวัด และ ทูตพาณิชย์ ที่เข้าร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์วันนี้ช่วยเจรจาจับคู่เพื่อระบายผลไม้ที่ยังเหลืออยู่ในขณะนี้โดยเฉพาะลำไยภาคเหนือและลองกองที่กำลังจะออกตามมา จับคู่กันระหว่างเซลล์แมนจังหวัด และขอให้ทีมเซลล์แมนประเทศประจำสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศทั้งหมดที่เข้าร่วมประชุมให้เร่งหาตลาดระบายพลไม้เพิ่มเติม และให้วางแผนล่วงหน้าเชิงรุก ให้ทีมเซลล์แมนจังหวัดกับทีมเซลล์แมนประเทศประสานงานกัน ทางไทยให้เตรียมการผลิตผลไม้คุณภาพและทีมเซลล์แมนในต่างประเทศให้นำออกไปขายให้ทั่วถึง คือนอกจากจังหวัดต่อจังหวัดแล้วยังให้เป็นภารกิจจังหวัดกับโลกต่อไปด้วย" นายจุรินทร์ กล่าว

"จุรินทร์" ชูผลสำเร็จ7เดือนแรก 

23 สิงหาคม 2564

ฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ ด้วยขนมไหว้พระจันทร์ที่รังสรรค์ด้วยความประณีตจากโรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต

โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต ร่วมฉลองอีกหนึ่งเทศกาลสำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีนกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ ด้วย”ขนมไหว้พระจันทร์” หลากรสชาติที่เชฟรังสรรค์อย่างประณีตทุกชิ้นและ
เปี่ยมล้นไปด้วยความหมายอันเป็นสิริมงคล สร้างความประทับใจให้แก่ทั้งผู้ให้และผู้รับ จากห้อง
อาหารจีนโกลเด้น วิลเลจ ระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม – 30 กันยายน 2564

ฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ด้วยขนมไหว้พระจันทร์ที่ทางโรงแรมคัดสรรเลือกวัตถุดิบอย่างดี สื่อถึงความหมายอันเป็นมงคลทั้งตัวไส้ขนมและบรรจุภัณฑ์สีแดง-ทอง ที่สื่อถึงความโชคดี ความสุขและมงคล ให้คุณได้ส่งความปรารถนาดีผ่านขนมไหว้พระจันทร์ “ไส้เม็ดบัว”: สัญลักษณ์ของจิตใจบริสุทธิ์ อายุที่ยืนยาว เกียรติยศ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และสงบสุข ”ไส้งาดำ”: สุดยอดราชันแห่งธัญพืช สัญลักษณ์ที่สื่อถึงความมีอำนาจ ความสง่างาม “ไส้โหงวยิ้ง”: ธัญพืช 5 ชนิดอันเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภ ความอุดมสมบูรณ์ “ไส้ทุเรียน”: ราชาแห่งผลไม้สีเหลืองดั่งทองคำ ที่สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ในตัวเอง ความฉลาดหลักแหลม และความเข้มแข็ง และ “ไส้คัสตาร์ด” อุดมไปด้วยโปรตีนจากไข่ นม และครีมคุณภาพดี ที่ช่วยสื่อถึงการเจริญเติบโต 

ขนมไหว้พระจันทร์พร้อมเสิร์ฟระหว่างวันที่ 1 – 30 กันยายน 2564 ที่เลอ กูร์เม่ต์ ชั้นล็อบบี้
โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต สิทธิพิเศษสำหรับท่านที่สั่งจองและชำระเงินภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2564 รับส่วนลดเพิ่ม 10% จากราคาปกติ* 

(สิทธิพิเศษนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับสิทธิพิเศษอื่นๆได้)

ขนมไหว้พระจันทร์ ขนาด 4 ลูกใหญ่ ราคา 699 บาท

ขนมไหว้พระจันทร์ ขนาด 8 ลูกเล็ก ราคา 699 บาท


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสั่งจองได้ที่
LINE: @NovotelairportBKK
หรือโทร 02-131-1111 ต่อ 1590 

อีเมลล์ legourmet@novotelairportbkk.com

ไมซ์ไทยรวมใจสร้างชาติ

 

สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บเตรียมจัดงาน “ไมซ์ไทยรวมใจสร้างชาติ”ในรูปแบบออนไลน์ (Virtual Meeting) วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม 2564 เวลา 14.00 – 16.30 น.เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความตระหนักถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ การสร้างความรู้ความเข้าใจถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจไทย และทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ในอนาคต รวมถึงความพร้อมของไมซ์ซิตี้ศูนย์กลางภูมิภาคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ 

กิจกรรมหลักภายในงาน ประกอบด้วย การกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “อนาคตประเทศไทยกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติ” โดยนายวิโรจน์ นรารักษ์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและ การบรรยายในหัวข้อ “ทิศทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ ปี 2565” โดย นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)หรือ ทีเส็บ

นอกจากนี้ยังมีการเสวนาพิเศษในหัวข้อ “ไมซ์ไทยรวมใจสร้างชาติ” โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมแสดงความพร้อมของไมซ์ไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค ได้แก่ นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาและนวัตกรรม ทีเส็บ, นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น, นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยาจังหวัดชลบุรี, นายอนุชา มีเกียรติชัยกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ และนายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน สามารถรับชมผ่านทางเฟซบุ๊กไลฟ์ที่
Facebook MICE in Thailandและช่อง


และช่อง Youtube: Business Event Thailand

SKANHUB แจกกล่อง“Care for You”สำหรับผู้ป่วยโควิด Home Isolation จำนวน1000 ชุด

SKANHUB แอพพลิเคชั่นในไลน์มิติใหม่แห่งการสะสมยอดเพื่อแลกรับของรางวัลสะดวก ง่าย และ
เข้าถึงทุกคน

SKANHUB เล็งเห็นถึงปัญหาการแพร่ระบาดของ Covid-19 เราจึงขอส่งต่อความห่วงใยอย่างต่อเนื่องกับแคมเปญCare & Share เฟส2โดยในแคมเปญนี้ เราจะแจกกล่อง “Care for You”จำนวน 1,000 กล่องโดย

จะมอบให้กับผู้ป่วย Covid กลุ่มสีเขียว หรือผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้าน (Home Isolation) เพื่อเป็นส่วนช่วยในการสังเกตอาการและบรรเทาอาการเบื้องต้น ซึ่งในกล่องนี้ จะประกอบไปด้วย

1. ปรอทวัดไข้

2. เครื่องวัดระดับออกซิเจนปลายนิ้ว

3. ยาน้ำแก้ไอ

4. ยาเม็ดพาราเซตามอล 3 แผง

5. เกลือแร่ชนิดผง 6 ซอง

สำหรับการขอรับสิทธิ์ เพียงลงทะเบียนผ่าน Line Official @skanhub หรือสแกน QR Code เพื่อเพิ่มเพื่อน และทำแบบสอบถามคัดกรองเบื้องต้น โดยเปิดลงทะเบียนแล้ววันนี้ ถึง 30 กันยายน2564

SKANHUBขออยู่เคียงข้างและเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน เราจะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆ จาก SKANHUB ได้ที่ FACEBOOK PAGE: SKANHUB https://www.facebook.com/skanhub


21 สิงหาคม 2564

“พม. Kick off ท่องเที่ยวเชิงอัตลักษณ์โฉมใหม่ "ม่วน จื้น อุ่นใจ๋ เที่ยวพะเยาโฉมใหม่มัดใจไว้รอคุณ"

วันนี้ (21 ส.ค. 64) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จัดกิจกรรม “Kick off ท่องเที่ยวเชิงอัตลักษณ์โฉมใหม่ มัดหัวใจไว้ที่ ภูลังกา” ในชื่อ “ม่วน จื้น อุ่นใจ๋ เที่ยวพะเยาโฉมใหม่มัดใจไว้รอคุณ” ภายใต้โครงการส่งเสริมอัตลักษณ์และภูมิวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังป้องกันตามประกาศของกรมควบคุมโรค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ณ บ้านทะเลหมอก Route 1148 ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา

.








กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้ดำเนินการการพัฒนาคุณภาพชีวิตราษฎรบนพื้นที่สูงมาอย่างต่อเนื่อง และได้จัดทำข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การท่องเที่ยวภูมิวัฒนธรรม เพื่อการพัฒนาสังคมและสวัสดิการบนพื้นที่สูงกับ 4 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการท่องเที่ยว กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) เพื่อวางแนวทางการพัฒนาการจัดการท่องเที่ยวทางภูมิวัฒนธรรมในพื้นที่ ส่งเสริมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาการท่องเที่ยวภูมิวัฒนธรรมของชนเผ่าบนพื้นที่สูง ดึงศักยภาพของชุมชนมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ พร้อมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์เพิ่มช่องทางการเรียนรู้ของสังคม

.

ซึ่งในวันนี้ได้ดำเนินการจัดกิจกรรม “Kick off ท่องเที่ยวเชิงอัตลักษณ์โฉมใหม่ มัดหัวใจไว้ที่ ภูลังกา” ในชื่อ “ม่วน จื้น อุ่นใจ๋ เที่ยวพะเยาโฉมใหม่มัดใจไว้รอคุณ” เพื่อสร้างโอกาส สร้างอาชีพและรายได้ เน้นการมีส่วนร่วมภายในชุมชนราษฎรบนพื้นที่สูง ตำบลผาช้างน้อย ให้เกิดความเข้มแข็งและได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวภูมิวัฒนธรรม “ภูลังกา” ได้แก่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่า บ้านปางค่าใต้ วนอุทยานภูลังกา และภูลังกา จิบกาแฟ แลวิวสวย Unseen โดยภายในงาน มีกิจกรรมดังนี้

1. การเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวเชิงภูมิวัฒนธรรม และการนำเสนอข้อมูลการส่งเสริมการท่องเที่ยวบนพื้นที่สูงจังหวัดพะเยา และการเตรียมพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว จากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน การส่งเสริมและช่องทางการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชนเผ่า

2. การแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์ชนเผ่า จากผู้แทนกลุ่มชาติพันธุ์ ม้ง และเมี่ยน

3. การแสดงชนเผ่าในชุด “ ระบำถาด” และ “ม้งประยุกต์”

4. พาสัมผัสบรรยากาศที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และจุดชมวิว ของภูลังกา

.หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ขอเชิญผู้ที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงอัตลักษณ์ตามวิถีธรรมชาติ ลงมาสัมผัสความงดงาม วิถีชีวิตของพี่น้องชนเผ่าต่างๆ เพราะการท่องเที่ยวนี้ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยว แต่เป็นการสร้างรายได้และสวัสดิการให้แก่ชุมชน มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และจุดประกายการพัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูงให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ต่อไป