เที่ยวทั่วไทย อร่อยทั่วโลก อัพเดทข่าวรายวัน Lifestyle บันเทิง ทันทุกกระแสข่าว!

28 กุมภาพันธ์ 2568

MGC-ASIA ก้าวสู่ปีที่ 25 ยืนหนึ่งผู้นำ LIFESTYLE MOBILITY ครบวงจร อันดับ 1 ของประเทศ

บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ MGC-ASIA ก้าวสู่ปีที่ 25 เดินหน้าตอกย้ำการเป็นผู้นำ LIFESTYLE MOBILITY ครบวงจร พร้อมประกาศยุทธศาสตร์ 3 ปี (2568-2570) เร่งขับเคลื่อน 4 กลุ่มธุรกิจ สู่การพัฒนาแพลตฟอร์มตอบโจทย์ลูกค้า-พัฒนาบุคลากร-พัฒนาเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อมุ่งสู่กลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้าน CEO ‘ดร.สัณหวุฒิ  ธรรมชวนวิริยะ’ เดินเกมรุกลุยธุรกิจ EV - Alpha X - Howden Maxi สร้างรายได้เพิ่มในอนาคต


ดร.สัณหวุฒิ  ธรรมชวนวิริยะ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม  บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปี 2568 MGC-ASIA ก้าวสู่ปีที่ 25 ของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งขององค์กรและความสามารถในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในการเป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้แบบครบวงจร โดยในปีนี้ บริษัทฯ วางกลยุทธ์การขับเคลื่อนทางธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโต 4 กลุ่มธุรกิจสู่ความยั่งยืน ผ่าน 3Ps ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักสู่ความสำเร็จ คือ PEOPLE : มุ่งพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถสูง มีทัศนคติที่มุ่งเน้นการให้บริการ และส่งเสริมศักยภาพองค์กรให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ PROCESS : พัฒนากระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สร้างมาตรฐานการดำเนินงานที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ โดยมุ่งปรับขั้นตอนการทำงานในส่วนต่างๆ ให้เหมาะสม ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงานให้ทัดเทียมสากล และ PROFIT : ขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมุ่งสร้างผลกำไรให้บริษัทฯ ผ่านการจำหน่ายยานยนต์รุ่นใหม่ๆ รวมถึงบริการต่างๆ แบบครบวงจร ผสานกับบริการหลังการขาย รวมถึงศูนย์ซ่อมสีตัวถังและบริการดูแลรถยนต์ ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รถเช่า มีแผนนำเทคโนโลยีทันสมัย มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับฟลีตรถเช่า ทั้งระยะสั้น และระยะยาว รวมถึงเพิ่มจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าในฟลีตรถเช่าระยะยาว รองรับการเติบโตของลูกค้าองค์กร นำไปสู่การสร้างผลกำไรสูงสุด ท่ามกลางระบบนิเวศทางธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ”


นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางยุทธศาสตร์การเติบโต ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. STRATEGIC GROWTH OBJECTIVES : โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นขับเคลื่อนการเติบโตผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจ ควบคู่กับแผนการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือและรักษาการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความประทับใจกับกลุ่มลูกค้าในทุกครั้งที่เข้ามาใช้บริกา

2. BUSINESS ECOSYSTEM SEGMENTS : สร้างแบรนด์ร่วม (Co-Branding) สู่การพัฒนา เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมถึงแผนการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก โดยบริษัทฯ จะร่วมกับ XPENG และ ZEEKR ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน เพื่อขยายตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ และ 3. SUSTAINABILITY AND INNOVATION :ก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดปริมาณปล่อยคาร์บอนเพื่อต่อยอดสู่พลังงานหมุนเวียนปี 2568 ทางบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มความได้เปรียบสูงสุด ให้ธุรกิจในกลุ่มการเงิน, ประกันภัย และยานยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงการแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อน MGC-ASIA สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคต สอดรับกับกลยุทธ์การขับเคลื่อนใน 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1. กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Mobility Retail) : บริษัทฯ ยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดรถพรีเมียม เพื่อครองอันดับ 1




โดยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลากหลายแบรนด์ดังอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเตรียมพัฒนา MGC-MOBILIFE แพลตฟอร์ม loyalty program ที่มอบสิทธิประโยชน์เหนือระดับ โดยใช้ระบบ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและปรับแต่งให้ลงตัวกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า 2. กลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service) : ปีนี้ บริษัทฯ เตรียมขยายสาขา MMS Car Service & Tire ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร (One-Stop Service) เพิ่มอีก 6 สาขา จากเดิม 22 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อขยายการให้บริการซ่อมสีและตัวถังยานยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) และเพิ่มบริการให้ครอบคลุมในหลากหลายพื้นที่ เพื่อสร้างอัตราการกลับมาใช้บริการของลูกค้าให้สูงขึ้น 3. กลุ่มธุรกิจให้บริการรถเช่าและพนักงานขับ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว (Car Rental and Driver Services) : กลุ่มบริษัทฯ วางแผนในการดำเนินธุรกิจให้ครอบคลุมการเดินทางให้ครบวงจรทุกมิติ และปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์การให้บริการตามการเติบโตของการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังเพิ่มสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มที่ให้บริการลูกค้าองค์กรมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจที่มุ่งเน้นพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ ‘MGC-ASIA Ecosystem’ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ให้ทุกกลุ่มธุรกิจ และ 4. กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Other Services) : สำหรับธุรกิจบริการทางการเงินอย่างครบวงจร บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ซึ่ง MGC-ASIA ร่วมทุนกับ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ในปีนี้ จะมุ่งเน้นการเติบโตจากการให้สินเชื่อ Wealth Lending ในอัตราที่เพิ่มขึ้น พร้อมปรับปรุงกระบวนการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และควบคุมผลขาดทุนด้านเครดิต โดยการนำเสนอการแก้ปัญหาในการชำระหนี้ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า เพื่อสร้างผลกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนบริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจบริการประกันภัย ชั้นแนวหน้า กลุ่มบริษัทฯ วางแผนกลยุทธ์ในปีนี้ ที่จะขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการ รักษาการเป็นโบรกเกอร์ระดับชั้นนำอย่างไรก็ตาม จากแผนกลยุทธ์และเป้าหมายการเติบโตดังกล่าว สอดคล้องกับเป้าพันธกิจ 3 ปี (2568- 2570 )ของ MGC-ASIA ที่จะนำพาบริษัทฯ สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน ผ่านธุรกิจใหม่ อย่าง AI- Powered Solutions รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร ผ่านการทำ ESG อย่างเป็นระบบ พร้อมความมุ่งมั่นในการต่อยอดความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าปัจจุบัน สร้างประสบการณ์พิเศษแบบเฉพาะตัว ผ่านการบริการที่โดดเด่นและเหนือระดับ นำไปสู่ความพึงพอใจสูงสุด สำหรับลูกค้าทุกราย ภายใต้วิสัยทัศน์ ที่ต้องการเป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้แบบครบวงจร ภายใต้ระบบนิเวศทางธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

สำหรับผลการดำเนินงานของ MGC-ASIA ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 20,334 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 145.60 ล้านบาท และ EBITDA ที่ระดับ1,631 ล้านบาท โดยไตรมาส 4/2567 (ตุลาคม-ธันวาคม 2567) บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรได้สูงสุด โดยมีรายได้รวม 5,977 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 ที่ผ่านมา(QoQ) และมีกำไรสุทธิ 95.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 888.40% (QoQ) ส่งผลให้มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) แตะ 468 ล้านบาท เติบโต 23% (QoQ)

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ในปีที่ผ่านมานับว่ามีความท้าทาย โดยหากอ้างอิงจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ มีอัตราส่วนลดลงประมาณ 26% เทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ MGC-ASIA รับมือกับสถานการณ์ได้น่าพอใจ โดยมีอัตราส่วนลดลงเพียง 10% เป็นผลมาจากรถยนต์ไฟฟ้าก็มีการเติบโตอย่างมีนัย ทั้งแบรนด์ XPENG และ ZEEKR ที่ได้การตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และมียอดส่งมอบรถมากกว่า 1,000 คัน จากปีก่อนที่ภาพรวมการส่งมอบรถยนต์ใหม่และรถยนต์มือสองประมาณ 9,000 คัน นอกจากนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ มีสินค้ารอส่งมอบ (Backlog) แบ่งเป็น, XPENG จำนวน 767 คัน, ZEEKR จำนวน 230 คัน, Rolls-Royce จำนวน 8 คัน, BMW จำนวน 42 คัน, MINI Cooper จำนวน 78 คัน, HONDA จำนวน 337 คัน, Harley-Davidson จำนวน 50 คัน และ BMW Motorrad จำนวน 41 คัน และในไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ ยังเตรียมส่งมอบรถยนต์ XPENG X9 รถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะ พวงมาลัยขวาล็อตแรกของโลก เพื่อต่อยอดผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง




นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะแบรนด์ XPENG จำนวน 12 แห่งทั่วประเทศ และ ZEEKR by Z Mobility Plus อีก 2 สาขา คือ ศรีนครินทร์ และวิภาวดี ขณะที่ธุรกิจบริการหลังการขาย รวมถึงศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง Tesla Approved Body Shop (TAB) ที่ได้รับความไว้วางใจจาก TESLA ให้เป็นผู้บริการซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ไฟฟ้า TESLA ก็อยู่ในช่วงขยายตัว และมีกำไรต่อเนื่อง จากการเพิ่มจำนวนของรถยนต์ที่เข้ารับบริการ 19%“ช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจาก คอนติเทนทอล ไทรส์ ผู้ผลิตยางรถยนต์ระดับโลก ในการร่วมมือกันทำโครงการที่เอื้อประโยชน์ให้กับลูกค้า พร้อมตอบแทนสังคมอย่างยั่งยืน อีกทั้งมีการขยายธุรกิจสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่เราได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ CITY AUTO GROUP ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ เพื่อศึกษาโอกาสธุรกิจร่วมกัน ทั้งบริการ รถใหม่ รถมือสอง รถเช่า บริการทางการเงิน และประกันภัย เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจ และสร้างการเติบโตร่วมกันในไทยและเวียดนาม” ดร.สัณหวุฒิ กล่าวเสริม

ด้าน Alpha X ผู้ให้บริการทางการเงินให้กับกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง มีความชำนาญในด้านสินทรัพย์ที่เป็นยานพาหนะหรู ทั้งรถยนต์ เรือยอทช์ และเครื่องบิน ตลอดจน อสังหาริมทรัพย์ โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ที่เป็นผู้นำในการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เพื่อให้บริการแบบครบวงจรโดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ เน้นการให้สินเชื่อเพื่อสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Lending) ซึ่งให้ผลตอบแทนในระดับสูง และมีความเสี่ยงที่ต่ำ ส่งผลให้พอร์ตการให้สินเชื่อเติบโตขึ้นกว่า 45% นอกจากนี้ มีการปรับลดขั้นตอนทำงาน และลดต้นทุนในการดำเนินงานลงได้กว่า 10% จากปีก่อนหน้า และลดการให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยง ส่งผลให้การลงทุนทางด้านเครดิตลดลงกว่า 50% เทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเป็นปีแรก และปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเน้นการเติบโตผ่านบริการ Wealth Lending ในอัตราที่เพิ่มขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วย AI พร้อมนำเสนอทางออกในการชำระหนี้ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า ส่วน ธุรกิจบริการประกันภัย ที่บริหารงานโดย บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (Howden Maxi) ในปีงบประมาณช่วงเดือนตุลาคม 2566 ถึง กันยายน 2567 บริษัทฯ สามารถทำรายได้แตะระดับ 337 ล้านบาท เติบโต 2% และ มีกำไรสุทธิ 99 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเติบโตของกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ รวมถึงการขยายพอร์ตไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่มากขึ้น โดยทีมที่สามารถสร้างรายได้เข้าเป้า มาจากทีมอัญมณีเครื่องประดับ, ทีมงานศิลปะ และทีมงานโครงการพิเศษ  นอกจากนี้ ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเฟื่องฟู ส่งผลให้ธุรกิจรถเช่า SIXT  มีรายได้เติบโต 11.10% ซึ่งถือว่ามีอัตราการเติบโต
และผลกำไรที่น่าพอใจ ทั้งรถเช่าระยะสั้น และรถเช่าระยะยาว รวมถึงบริการพนักงานขับรถ

ทีมแม่ฮ่องสอนท่องเที่ยวพลัส ลงพื้นที่บ้านรักไทย สำรวจติดตามสถานการณ์ท่องเที่ยว


วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. ทีมแม่ฮ่องสอนท่องเที่ยวพลัส ลงพื้นที่บ้านรักไทย หลังจากได้รับการประสานงานจากการที่ สส.แม่ฮ่องสอน ขอหารือต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร กรณีมีเพจปลอมระบาดสร้างความเสียหายและผลกระทบในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว 




นางสาววริชญา ชะอุ่ม ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมด้วยว่าที่ร้อยตรีภาณุวัฒน์ ขัดนาค ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานแม่ฮ่องสอน พ.ต.ท.สุวิทย์ บุญยะเพ็ญ สารวัตรสถานีตำรวจท่องเที่ยวแม่ฮ่องสอน (สว.สทท.4 กก. 2 บก.ทท. 2) และนายภานุเดช ไชยสกูล นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดแม่ฮ่องสอน ลงพื้นที่บ้านรักไทย ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในการสำรวจติดตามสถานการณ์ท่องเที่ยว และเข้าพบหารือกับผู้นำชุมชน นางสาวอาหริ่ง แซ่หว่าง ผู้ใหญ่บ้านรักไทย หมู่ 6 ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน รวมทั้งผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว และสถานตำรวจตำบลหมอกจำแป่ เพื่อติดตามสถานการณ์และรวบรวมสรุปข้อมูลกรณีเพจปลอมของมิจฉาชีพสร้างผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวและธุรกิจท่องเที่ยว สำหรับนำเสนอข้อมูลต่อสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยว
และกีฬากองยุทธศาสตร์และแผนงาน ตามที่นายปกรณ์ จีนาคำ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคกล้าธรรม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ขอหารือต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 15 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะในอำเภอปาย และที่บ้านรักไทย อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่พบว่ามีปัญหามิจฉาชีพที่สร้างเพจปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกขายทัวร์ รถเช่า และร้านอาหารให้กับนักท่องเที่ยว ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการอย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการบางรายต้องหยุดกิจการลง หากไม่ได้รับการแก้ใช้ในเร็วๆ นี้ อาจส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวใน จ.แม่ฮ่องสอน ลดลงอย่างมาก นั้น
 

จากการติดตามสถานการณ์ของทีมแม่ฮ่องสอนท่องเที่ยวพลัส พบว่ากรณีเพจปลอมมีจำนวนลดลง และก่อเหตุไม่สำเร็จหลายครั้ง เนื่องจากทางผู้บริหารจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน และสถานีตำรวจภูธรจังหวัดแม่ฮ่องสอน ทีมแม่ฮ่องสอนท่องเที่ยวพลัส ตลอดจนผู้ประกอบการ และผู้เกี่ยวข้อง ได้มีการหารือและวางแนวทางพร้อมกำหนดมาตรการต่าง ๆ ไว้หลายด้านรวมทั้งด้านการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวในมิติของความยั่งยืน โดยให้ทางผู้ประกอบการบ้านรักไทย มีการรวมกลุ่มเครือข่ายผู้ประกอบการและมีการจดทะเบียนเป็นสมาคมท่องเที่ยว โรงแรม และร้านอาหารบ้านรักไทย มีการจัดทำเพจเฟสบุ๊คขึ้น เพื่อเป็น Single Massage ในการสื่อสาร เป็นช่องทางเข้าถึงการจองที่พักอย่างถูกต้อง หรือสร้างช่องทางให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับทางสถานพักแรม ร้านอาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวข้องของบ้านรักไทยได้โดยตรง รวมทั้งมีการนำส่งข้อมูลของสถานพักแรมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ททท. สำนักงานแม่ฮ่องสอน สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวแม่ฮ่องสอน นำไปช่วยเผยแพร่ สามารถช่วยลดปัญหาเพจปลอมได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีมาตรการประชาสัมพันธ์ และการปราบปรามกรณีที่มีผู้แจ้งหรือหรือให้เบาะแสของมิจฉาชีพ รวมทั้งผู้ประกอบการก็หมั่นตรวจสอบข้อมูลสถานพักแรมของตนด้วยว่ามีการปลอมเพจหรือนำข้อมูลไปแอบอ้างใด ๆ หรือไม่

ด้านนางสาววริชญา ชะอุ่ม ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดแม่ฮ่องสอนกล่าวว่า สำหรับสำนักงานการท่องเที่ยว​และ​กีฬา​จังหวัด​แม่ฮ่องสอน​  ได้มีแนวทางในการแก้ปัญหา​ โดยให้ศูนย์ประสานงาน​ช่วยเหลือ​นัก​ท่องเที่ยว​จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้เฝ้าระวังและรับเรื่อง​ร้องเรียน​จากผู้เสียหาย​ พร้อมทั้งลงพื้นที่ติดตาม​สถานการณ์​อย่างใกล้ชิด​ จัดให้มีการจัดทำข้อมูล​ของผู้ประกอบการ​ที่พักในพื้นที่ของหมู่บ้านรักไทย และให้มีการประชาสัมพันธ์​พร้อมเน้นย้ำให้ระมัดระวัง​เรื่องเพจปลอมอย่างต่อเนื่อง

ว่าที่ร้อยรีภาณุวัฒน์ ขัดนาค ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.สำนักงานแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า การดำเนินงานส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องภายใต้การอำนวยการของผู้ว่าราชการจังหวัดมาทุกยุคทุกสมัย และได้ดำเนินงานอย่างมีส่วนร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ภายใต้ชื่อทีม “แม่ฮ่องสอนท่องเที่ยว (พลัส)” ตลอดจนภาคีเครือข่ายหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชน ชุมชน และผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งมีการติดตามสถานการณ์ รวมทั้งรับฟังเสียงสะท้อนของลูกค้า (Voice of Customer: VOC) ตลอดจนเสียงสะท้อนของผู้มีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว (Voice of Stakeholder: VOS) อย่างสม่ำเสมอ โดยพบว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวมีการขยายตัวเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี และมีแนวทางการขยายตัวในช่วงฤดูร้อน Low Season และฤดูฝน Green Season เพิ่มมากขึ้นด้วย สำหรับกรณีที่มีมิจฉาชีพปลอมเพจเป็นผู้ประกอบการหลอกลวงนักท่องเที่ยวนั้น มีเพียงที่บ้านรักไทย ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นหลัก โดยปัญหาเริ่มลดลงในปี 2567 และยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดต้องปิดตัวลงจากกรณีดังกล่าว กอรปกับมีการเปิดสถานพักแรมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นการกล่าวว่ามิจฉาชีพที่สร้างเพจปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกขายทัวร์ รถเช่า และร้านอาหารให้กับนักท่องเที่ยวที่ทำการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ จนทำให้ผู้ประกอบการบางรายต้องหยุดกิจการลงไม่เป็นความจริง ซึ่งผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นลูกค้า ที่คิดว่าเพจของมิจฉาชีพเป็นเพจของสถานพักแรมและหลงเชื่อจองห้องพักพร้อมโอนเงินให้ล่วงหน้า มาทราบภายหลังเมื่อเดินทางมาถึงสถานพักแรมนั้นแล้ว ซึ่งผู้ประกอบการก็ช่วยกันหาห้องพักและลดราคาให้ บางรายไม่ได้แจ้งความดำเนินคดี บางรายไม่อยากฟ้องร้องที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพราะไม่อยากเดินทางกลับมาให้ปากคำเนื่องจากเดินทางลำบาก โดยทราบว่ามีนักท่องเที่ยวได้ไปแจ้งความดำเนินคดีเพจปลอมที่ จ.นนทบุรี จำนวน 1 ราย ในส่วนของ สำนักงาน ทกจ. และ ททท. สำนักงานแม่ฮ่องสอน และศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเมือง ไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนใดๆ เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ทั้งจากนักท่องเที่ยวหรือจากผู้ประกอบการ แต่มีพบเห็นตามข้อมูลใน Social Media ซึ่งได้ติดตามและสอบถามผู้เสียหายแล้ว บางรายติดต่อไม่ได้ ผู้เสียหายบางรายไม่ไปแจ้งความ เพราะเห็นว่าเสียเวลา และคิดว่าคงจะไม่ได้เงินคืน

นายภานุเดช ไชยสกูล นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า เรื่องเพจปลอมของผู้ประกอบการในจังหวัดแม่ฮ่องสอนส่วนใหญ่ที่พบก็มีที่บ้านรักไทย ซึ่งเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวที่มีขื่อเสียงในจังหวัดแม่ฮ่องสอน  จนทำให้มิจฉาชีพนำข้องมูลไปแบบอ้างจนทำให้นักท่องเที่ยวหลงเชื่อโอนเงินให้เป็นค่าที่พัก กว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อมาเช็คอินน์เข้าที่พัก ที่หนักสุดก็ปี 65 และ 66 แต่ปี 67 ก็น้อยลง เนื่องจากทีมท่องเที่ยวพลัสได้ให้คำแนะนำและช่วยประชาสัมพันธ์ นักท่องเที่ยวที่ถูกหลอกลดน้อยลง..และที่บ้านรักไทย จาก 2 ปีที่ผ่านมา มีการขยายตัวของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น จาก 750 ห้องเป็น 1,000 ห้อง ในปี 68 เนื่องจาก นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ห้องพักไม่เพียงพอ นายภานุเดช ไชยสกูล นายกสมาคม ธุรกิจท่องเที่ยว จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยังกล่าวอีกว่า หมู่บ้านรักไทย เป็นแม่เหล็กใหญ่ ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ที่รองจากอำเภอปาย ที่สามารถดึงคนเข้ามาเที่ยวได้ เป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว วันละ2,000 - 2,500 คนในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว

พ.ต.ท.สุวิทย์ บุญยะเพ็ญ สารวัตรสถานีตำรวจท่องเที่ยวแม่ฮ่องสอน (สทท.4 กก.2 บก.ทท.2) ที่ผ่านมาไม่ได้มีการรับแจ้งความหรือร้องเรียน กรณีผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเพจปลอม ซึ่งทางตำรวจท่องเที่ยวยินดีรับเรื่องพร้อมให้การช่วยเหลือประสานงานกับผู้ประกอบการตลอดจนนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่

นางสาวอาหริ่ง แซ่หว่าง ผู้ใหญ่บ้านรักไทย หมู่ 6 ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า กรณีเพจปลอมนี้ปี 2567 ที่ผ่านมาเกิดเหตุน้อยลงมาก เมื่อเทียบกับปี 2565-2566 โดยในช่วงนั้นผู้ประกอบการกว่า 50 % จะโดนมิจฉาชีพปลอมเพจ และหลอกลวงนักท่องเที่ยว และที่ผ่านมายังไม่มีผู้ประกอบการรายใดปิดตัวลง ในขณะเดียวกันกลับมีการเปิดเพิ่มหรือขยายธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปี 2568 มีจำนวนที่พักแรมในบ้านรักไทยกว่า 80 แห่ง และมีจำนวนห้องพักเกือบ 1,000 ห้อง คาดว่าในปี 2568 นี้ว่าจะสามารถป้องกันการปลอมเพจหรือการทำข้อมูลหลอกลวงนักท่องเที่ยวได้ครอบคลุมมากขึ้น

หลังจากนี้ ทางทีมแม่ฮ่องสอนท่องเที่ยวพลัสจะเร่งจัดทีมงานลงพื้นที่ร่วมกับผู้นำชุมชนเพื่อพบปะผู้ประกอบการในการติดตามสถานการณ์ และปรับปรุงข้อมูลของสถานบริการพักแรม ร้านอาหาร ร้านบริการของที่ระลึก รวมทั้งบริการที่เกี่ยวข้อง สำหรับจัดทำเป็นฐานข้อมูลที่มีความครอบคลุมรายละเอียดมากขึ้น และสามารถนำเป็นข้อมูลสำหรับประชาสัมพันธ์พร้อมทั้งสื่อสารไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวอย่างกว้างขวาง เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพปลอมข้อมูลได้อีก 

นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวที่บ้านรักไทย ได้ตลอดทั้งปี ซึ่งบ้านรักไทย เป็นชุมชนท่องเที่ยวท่ามกลางธรรมชาติที่วยงาม ในรูปแบบวัฒนธรรมของชาวจีนยูนนาน ที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ท่ามกลางความสวยงามของบรรยากาศธรรมชาติขุนเขา และบึงน้ำขนาดใหญ่ มีสภาพภูมิอากาศหนาวจัดในฤดูหนาว และเย็นสบายในฤดูร้อน มีอาหารจีนยูนนานที่อร่อย พร้อมกิจกรรมแบบปิ้งย่าง หม่าล่า บ๋วย ชา กาแฟ ถั่ว งา มีชุดแบบชาวจีนให้เชาในหลากหลายรูปแบบ มีกิจกรรมล่องเรือแบบเก๋งจีน นั่งรถรางชมบรรยากาศในชุมชน กิจกรรมเก็บใบชา โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลที่พักได้จากเพจบ้านรักไทย (แม่ฮ่องสอน) https://www.facebook.com/share/1FFtqoKAYY/

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เพจเฟสบุ๊ค: ททท สำนักงานแม่ฮ่องสอน
โทรศัพท์ 053612982 - 3 ในวันเวลาราชการ

ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่10 สมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษ ในพระบรมราชูปถัมภ์

ดร.ชินวัฒน์ สกุลตั้งไพศาล นายกสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานทำบุญเลี้ยงพระ เนื่องในโอกาสครบรอบ 91ปี สมาคมฯ โดยมีพระราชปัญญาวชิโรดมฯ เจ้าอาวาสวัดเทพเจติยาจารย์ และประธานสถาบันพลังจิตตานุภาพ เป็นประธานในพิธีสงฆ์ ที่สมาคมฯ เมื่อวันก่อน




สมาคมนักเรียนเก่าพันธมิตรเข้าร่วมทำบุญ อาทิ สุทธิกร เจียรไพฑูรย์ ,ประธานสมาคมนักเรียนเก่ามหาวิทยาลัยจีน กุลเชฏฐ์ วังน้ำทิพย์ กรรมการบริหารสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุนฯ นฤมล คุณานุกูร กรรมการสมาคมนักเรียนเก่าออสเตรเลียฯ กอบลาภ โปษะกฤษณะ ประธานกรรมการบริหาร และเติมศักดิ์ สิงห์สมบูรณ์ นายกสมาคมนักเรียนเก่าต่างประเทศ 

โดยมี กรรมการสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษฯ อุปนายก ฐิติภูมิ จามิกรานนท์, กมลวัน บุณยัษฐิติ ประธานฝ่ายปฏิคม, จันทิมาและภาวิณี นะวิโรจน์ กรรมการฝ่ายวิชาการ, พญ.รุ่งไพลิน รัตนชีวร ที่ปรึกษาฝ่ายหารายได้,ศุภนิดา สกุลตั้งไพศาล ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์, ปีเตอร์ สมบูรณ์เจริญ ประธานฝ่ายสาราณียกร,  ดร.ลาวัณย์ฉวี สุจริตตานนท์ ประธานฝ่ายองค์กรสัมพันธ์, ดร.จินดารัตน์ ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้จัดการสมาคมฯ และ เอิร์ธ สายสว่าง 

โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ต้อนรับผู้เข้าประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2025


ฝ่ายบริหารโรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์  นำโดย รานนท์ อาสาสนา รองผู้จัดการโรงแรม ให้การต้อนรับ ณวัฒน์
อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) พร้อมคณะผู้เข้าประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2025 ทั้ง 77 จังหวัด




ในโอกาสที่เลือกใช้โรงแรมเป็นสถานที่พักเก็บตัวเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ พร้อมเลี้ยงรับรองอาหารนานาชาติให้กับกิจกรรม “Top 10 Pre-Arrival” ที่ดิเอมเมอรัลด์ ค็อฟฟี่ช็อพ เมื่อค่ำวานนี้

สายสีแดง ร่วมมือ ธพส. เปิดทดลองให้บริการ EV Bus เชื่อมการเดินทาง ศูนย์ราชการฯ กับ สถานีหลักสี่ เริ่ม 3 มีนาคมนี้


รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ร่วมกับ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) เตรียมเปิดทดลองให้บริการ EV Bus เชื่อมต่อการเดินทางจากศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ไปยังสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง(สถานีหลักสี่) เพิ่มความสะดวกในการเดินทาง เริ่ม 3 มีนาคม 2568 นี้

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เปิดเผยว่า ด้วยอัตราการเติบโตของปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการดำเนินนโยบายอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอด ในปีแรก เมื่อเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา จนถึงปี 2568 นั้น บริษัทฯ จึงวางแผนร่วมกับ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) เพื่อพัฒนาการเดินทางด้วยระบบขนส่งรอง หรือ Feeder ในการช่วยเพิ่มความสะดวกสบายด้านการเดินทางของประชาชน พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนแทนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล
ซึ่งจะช่วยลดปัญหาจราจรติดขัดและอุบัติเหตุบนท้องถนนและส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนเพื่อความยั่งยืน อีกทั้งยังช่วยลดมลพิษจากการเดินทางด้วย ดังนั้นจึงเกิดเป็นโครงการในการใช้รถขนส่งสาธารณะที่ใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานไฟฟ้า หรือ EV Bus (Electric Bus) ในการขับเคลื่อนที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเตรียมทดลองให้บริการเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ และสถานีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง(สถานีหลักสี่) ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2568 นี้ โดยมีระยะทางประมาณ 4.5 กิโลเมตร พร้อมกับจุดรับ-ส่งจำนวน 4 จุด ได้แก่ 1. สถานีอาคาร B ประตู 2 (ฝั่งทิศใต้) 2. สถานีด้านหน้าอาคารสนับสนุน (อาคารพดด้วง) 3. สถานีปากซอยแจ้งวัฒนะ 5 และ 4. สถานีฝั่งตรงข้ามอาคารสนับสนุน (อาคารพดด้วง), โดยการให้บริการในช่วงทดลอง จะเป็นการเปิดให้บริการฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตลอดช่วงระยะเวลาการทดลอง ตั้งแต่เวลา 06.00 - 19.00 น. ในวันจันทร์-ศุกร์ โดยจะสิ้นสุดการทดลองให้บริการในวันที่ 31 สิงหาคม 2568 รวมระยะเวลาในการทดลองให้บริการทั้งสิ้น 6 เดือน

ทั้งนี้ EV Bus จะช่วยให้การเดินทางในเส้นทางที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงนั้น เป็นไปได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และลดความยุ่งยากในการเดินทาง อีกทั้งการใช้ EV Bus ยังช่วยลดมลพิษจากการเดินทาง เป็นยานพาหนะที่ปลอดภัยและไม่ปล่อยควันพิษออกสู่สิ่งแวดล้อม โครงการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งมวลชน ในเขตระหว่างพื้นที่กรุงเทพมหานครกับชานเมืองให้มีประสิทธิภาพและสามารถเข้าถึงประชาชนได้ง่ายขึ้น จึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดการใช้ยานพาหนะส่วนบุคคล และช่วยลดปัญหาจราจรติดขัดในพื้นที่ที่มีความหนาแน่น รวมถึงส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

บริษัทฯ จะดำเนินกิจการเคียงข้างประชาชน และจะมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่การเป็นผู้นำในการให้บริการรถไฟฟ้าด้วยมาตรฐานระดับสากล สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ รักษามาตรฐานการปฏิบัติงานในด้านการเดินรถ และซ่อมบำรุง รวมทั้งรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจขององค์กร ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตชานเมืองอย่างยั่งยืนต่อไป

โดยท่านสามารถติดตามรายละเอียดได้ทาง โซเชียลมิเดียทุกแพลตฟอร์ม Facebook Fan Page, Twitter , Instagram, Youtube, Tiktok พิมพ์ชื่อ “RED Line SRTET” หรือส่วนบริการลูกค้า 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง และ www.srtet.co.th

“มากกว่าการเดินทางคือ ...ความพิเศษ”
รถไฟฟ้าสายสีแดง ยกระดับคุณภาพชีวิตชานเมือง

25 กุมภาพันธ์ 2568

กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าจัด “งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569”


วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568, เวลา 17.00 น. กรุงเทพมหานคร : ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมาย นางสาวอนงค์นาถ จ่าแก้ว เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ให้เกียรติเป็นประธานงานแถลงข่าวงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ.2569


โดยมี นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร มอบหมายให้ นางวิลาวัณย์ ใคร่ครวญ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร พร้อมด้วย นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ร่วมแถลงข่าว ถึงความพร้อมการจัด “งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ.2569” ภายใต้แนวคิด “Diversity of Life, connecting people, water and plants for sustainable living ความหลากหลายแห่งสรรพชีวิต : สายสัมพันธ์แห่งผู้คน สายน้ำและพืชพรรณ สู่การดำรงชีวิตที่ยั่งยืน” พร้อมชูวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” รวมพื้นที่จัดงาน 1,030ไร่ เพื่อนำความรู้แลกเปลี่ยนวิชาการและเทคโนโลยีสู่ระดับนานาชาติ โชว์ศักยภาพพืชสวนโลก โดยเฉพาะการจัดงานบนพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นครั้งแรกของโลก มุ่งสู่เป้าหมาย “เมืองอัจฉริยะศูนย์กลางการค้าการลงทุน การท่องเที่ยวและไมซ์ (MICE) ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” ซึ่งตรงกับเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 10 ปีของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระชนมายุครบ 6 รอบ หรือ 72 พรรษา และวันครบรอบวันสถาปนาเมืองอุดรธานี 134 ปี โดยงานจัดขึ้นในช่วงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2569 - 14 มีนาคม 2570 |ณ พื้นที่ชุ่มน้ำหนองแด ตำบลกุดสระ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

นางวิลาวัณย์ ใคร่ครวญ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า “งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569” สิ่งที่พิเศษที่สุดที่สะท้อนถึงความโดดเด่น คือ เป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมพืชสวนโลกจัดขึ้นในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) และเป็นงานพืชสวนโลกบนพื้นที่ชุ่มน้ำครั้งแรกของโลก/Wet Land ณ พื้นที่ชุ่มน้ำหนองแด ตำบลกุดสระ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี พื้นที่จัดงานรวม 1,030 ไร่ สำหรับการออกแบบพื้นที่และกิจกรรมแบ่งการใช้งานออกเป็นทั้งหมด 6 โซน โดยมีพื้นที่ไฮไลท์การจัดกิจกรรม ได้แก่ โซนพื้นที่ทางเข้า จุดประชาสัมพันธ์ จุดจำหน่ายบัตร ,โซนสวนนานาชาติ สำหรับการประกวดสวนนานาชาติ, โซนอาคารเรือนกระจก (Greenhouse) สำหรับการประกวดพืช และอาคารอำนวยการ (Exhibition Building) สำหรับการประกวดสวนนานาชาติในอาคาร, โซนพื้นที่จัดแสดงนวัตกรรมทางการเกษตรที่ทันสมัย รวมไปถึงแปลงรวบรวมพันธุ์ การปลูกพืชผสมผสาน, โซนสวนการเกษตรไทย และอาคารหลักต่าง ๆ โซนสวนป่าคาร์บอนเครดิตและเรือนเพาะชำ รวมถึงพื้นที่ไฮไลท์การจัดกิจกรรมตลอดทั้งงาน ทั้งหมดนี้สามารถแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการพัฒนาด้านพืชสวนและสมุนไพรของไทย โดยเฉพาะพื้นที่ชุ่มน้ำ อีกทั้งการแลกเปลี่ยน พร้อมส่งเสริมพัฒนาและต่อยอดการเกษตรในระดับนานาชาติ ทั้งทางด้านวิชาการ นวัตกรรม เทคโนโลยี และการวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ให้เป็นศูนย์กลางด้านการค้าการลงทุน และศูนย์กลางนวัตกรรมด้านการเกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิต การวิจัย และการต่อยอดไปสู่ BCG Model (Bio Economy, Circular Economy, Green Economy) เศรษฐกิจชีวภาพ ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และระบบเศรษฐกิจสีเขียว สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ” ​“งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569” คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานทั้งสิ้นประมาณ 3.6 ล้านคน ทำให้มีกระแสเงินสดหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนมหาศาล จากภาคการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายเงินของภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน รวมถึงเกิดการกระตุ้นการใช้จ่าย ตลอดช่วงระยะเวลาจัดงาน 134 วัน รายได้สะพัดกว่า 32,000 ล้านบาท (สามหมื่นสองพันล้านบาท)​นอกจากนี้ “งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569” ยังมีจัดกิจกรรมการประกวดออกแบบมาสคอต เปิดโอกาสให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนทั่วไป ในนามบุคคลหรือกลุ่ม ได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ ออกแบบมาสคอตให้สอดคล้องกับคอนเซปต์ของโครงการฯ “ความหลากหลายแห่งสรรพชีวิต สายสัมพันธ์แห่งผู้คน สายน้ำ และพืชพรรณ สู่การดำรงชีวิตที่ยั่งยืน” เพื่อชิงเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท



โดยสามารถส่งผลงานได้ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ - 1 เมษายน 2568​ส่วน นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ยังได้ฝากเพิ่มเติมต่ออีกว่า “งานนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระดับนานาชาติร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อต่อยอดงานวิจัยและการพัฒนาพืชสวนของไทย โดยมีเป้าหมายหลักในครั้งนี้ คือ สร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ให้เป็นศูนย์กลางด้านการค้าการลงทุนของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง การนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของคนในท้องถิ่น ซึ่งครั้งนี้ กรมวิชาการเกษตร เชื่อมั่นว่าทุกภาคส่วนพร้อมร่วมมือและขับเคลื่อนในการจัดงาน มีกรอบการทำงานชัดเจน หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง เน้นย้ำว่าประเทศไทยยืนยันในความพร้อม และสร้างความมั่นใจให้แก่คณะกรรมการ AIPH ในการดำเนินการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานีให้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์และทันในการเปิดงานภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2569 อย่างแน่นอน”ด้าน นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวถึงความพร้อมของการจัดงานว่า “ในนามจังหวัดอุดรธานี หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนทุกภาคส่วนมีความพร้อมและยืนยันให้การสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือในการจัด “งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569” มีแผนการดำเนินงาน และระยะเวลาในการดำเนินงานขั้นตอนต่าง ๆ ที่ชัดเจน ซึ่งจังหวัดอุดรธานีพร้อมก้าวเข้าสู่เมืองที่ยั่งยืน (Sustainable Cities)




โดยมีเป้าหมายหลักคือ สร้างสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ดี สร้างสังคมเข้มแข็ง สะดวก สะอาด ปลอดภัย นำ ไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของคนในท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการเกษตรให้เป็นการเกษตรแม่นยำสูง (Precision Agriculture) จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดอุดรธานี (ศูนย์ AIC) ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี โดยเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการเกษตรเพื่อลดค่าใช้จ่าย และช่วยให้เกษตรกรคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อการต่อยอดและพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งไม่จำกัดอยู่แค่ในพืชสวนเท่านั้น แต่รวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนอีกด้วยทั้งนี้จังหวัดอุดรธานีมีความพร้อมในการจัดงานในทุกด้าน โดยในด้านลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของจังหวัดอุดรธานี คือ พื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetland) หรือที่ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “ป่าบุ่ง ป่าทาม” ที่มีอยู่กว่า 900 จุด รวมเป็นพื้นที่กว่า 2,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งพื้นที่ชุ่มน้ำ คือ พื้นที่บริเวณรอยต่อ ระหว่างพื้นที่บกและพื้นที่น้ำ เป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลาย และก่อให้เกิดประโยชน์แก่มนุษยชาติมากมายในด้านการดำเนินชีวิต การหลอมรวมเป็นหนึ่งของวิถีชีวิตและธรรมชาติ ยกระดับวิถีชุมชนและถ่ายทอดอัตลักษณ์ของชุมชน ต่อยอดสู่แนวคิดวิถีชีวิตสีเขียว (Green Living) ที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลของ “มนุษย์” ในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติที่มีความหลากหลายอย่างยั่งยืน นอกจากนี้จังหวัดอุดรธานียังมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น คือดอกบัวแดง และศิลปะบนเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง มาผสมผสานจนเกิดเป็นสัญลักษณ์ดอกบัวลายไหบ้านเชียง ซึ่งดอกบัวแดง สื่อถึงทะเลบัวแดง ที่ได้รับการจัดอันดับโดย CNN ให้เป็น 1 ใน 15 ทะเลสาบที่แปลกที่สุดในโลก เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดอุดรธานีที่มีชื่อเสียงระดับโลก“






“งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569” เป็นงานมหกรรมพืชสวนโลกที่จัดขึ้นในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) และเป็นงานพืชสวนโลกบนพื้นที่ชุ่มน้ำครั้งแรกของโลก ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2569 - วันที่ 14 มีนาคม 2570 ณ พื้นที่ชุ่มน้ำหนองแด ตำบลกุดสระ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี”

กรมการท่องเที่ยว เผยผลตรวจสอบทัวร์และมัคคุเทศก์ ปี 67 พร้อมลุยจัดระเบียบทัวร์และไกด์เข้มข้น ปี 68

นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า  “ในปีที่ผ่านมา กรมการท่องเที่ยวได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาทัวร์นอมินีและมัคคุเทศก์เถื่อนอย่างจริงจัง โดยจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง หรือ ศปต. และบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยตรวจสอบบริษัทนำเที่ยวและการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ ตลอดปี 2567 เกือบ 2,000 ราย พบการกระทำความผิดหลายกรณี เช่น การประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับอนุญาต การไม่แสดงใบอนุญาต และการไม่ทำประกันให้นักท่องเที่ยว สำหรับความผิดในกลุ่มของมัคคุเทศก์ ได้แก่ การไม่มีใบอนุญาต การไม่แสดงใบสั่งงาน และความผิดอื่น ๆ ร่วมด้วย”


อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เน้นย้ำว่า  “ในปี 2568 นี้ จะดำเนินการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นต่อเนื่องต่อไป จึงขอแนะนำผู้ประกอบการนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะบริษัททัวร์ควรต่อใบอนุญาตนำเที่ยวให้เรียบร้อย สามารถดำเนินการล่วงหน้าก่อนหมดอายุได้ 30 วัน รวมทั้งการทำประกันภัยสำหรับอุบัติเหตุให้แก่นักท่องเที่ยวทุกครั้ง 


โอกาสนี้ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ข้อมูลเบาะแสเกี่ยวกับธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ที่กระทำผิดผ่านช่องทางสื่อออนไลน์จากเฟซบุ๊กเพจกรมการท่องเที่ยว หรืออีเมล tgtcenter@tourism.go.th และ DOT-TGIS@tourism.go.th  ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยืนยันว่าจะมีการเพิ่มมาตรการตรวจสอบให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ” 

หากมีข้อสงสัย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 0 2401 1111 และเว็บไซต์ของกรมการท่องเที่ยว www.dot.go.th 

ทีเส็บ ย่านเศรษฐกิจไมซ์สร้างสรรค์ The Southern MICE District Phuket Series

นำร่องจังหวัดภูเก็ต ยกระดับไมซ์ไทย ผ่านกลยุทธ์ 3S


สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เปิดตัวโครงการ The Southern MICE District: Phuket Series นำร่องจังหวัดภูเก็ตต้นแบบการพัฒนาย่านเศรษฐกิจไมซ์ ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคและเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่ไมซ์ ภายใต้กลยุทธ์ 3S – Spend more, Stay longer, See you again เพื่อดึงดูดนักเดินทางไมซ์ให้ใช้จ่ายมากขึ้น พำนักนานขึ้น และกลับมาเยือนอีกครั้ง

         








นายพัฒนชัย สิงหะวาระ ผู้อำนวยการ สำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ภาคใต้ ทีเส็บ กล่าวว่า “ปัจจุบันอุตสาหกรรมไมซ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านสินค้า บริการ และพื้นที่ที่เหมาะสมต่อ
การจัดกิจกรรม นักเดินทางไมซ์ต้องการประสบการณ์ที่ครบวงจรและเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น โครงการ
The Southern MICE District เป็นการต่อยอดยุทธศาสตร์พัฒนาเมืองไมซ์จาก City DNA ภาคใต้ หรือ Destination Development ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่ตอบโจทย์ตลาดไมซ์ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดไมซ์โลก โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตที่เป็นศูนย์กลางไมซ์ของภาคใต้ และมีศักยภาพสูงในการดึงดูดนักเดินทางไมซ์ ทีเส็บ จึงได้พัฒนาโครงการ The Southern MICE District: Phuket Series ขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับนักเดินทางไมซ์และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยโครงการนี้เป็นการยกระดับภูเก็ตให้เป็นต้นแบบของการพัฒนาไมซ์ระดับภูมิภาค” 


โครงการ The Southern MICE District: Phuket Series ต้นแบบย่านเศรษฐกิจไมซ์ระดับภูมิภาค กำหนดเป็น 4 ย่านไมซ์สร้างสรรค์ ได้แก่ The Old Town, The North Wind, The Lagoon และ The South Shore ซึ่งนำเสนอเสน่ห์ของภูเก็ตผ่านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิตชุมชน อาหาร ที่พัก และธรรมชาติ นอกจากนี้ ทีเส็บยังเตรียมแผนขยายโครงการนี้ไปยังจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้ เช่น สงขลา สุราษฎร์ธานี เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ไทยสู่ระดับสากล

อีกทั้ง โครงการนี้ออกแบบมาให้ช่วยเพิ่มการใช้จ่ายและตอบสนองความต้องการของนักเดินทางไมซ์ ผ่านการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ที่พักระดับพรีเมียม ร้านอาหารท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์ แพ็กเกจกิจกรรมเชิงธุรกิจและสันทนาการ ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าร่วมงาน นอกจากนี้ การพัฒนาไมซ์ดิสทริกต์ยังช่วยตอบสนองความต้องการของนักเดินทางไมซ์ที่มองหาสถานที่จัดงานที่มีเอกลักษณ์ บริการครบวงจร และสิทธิพิเศษที่คุ้มค่าต่อการลงทุนด้านธุรกิจและการท่องเที่ยว และเพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้จ่าย

โดย MICE Industry หรือ อุตสาหกรรมไมซ์ (MICE - Meetings, Incentives, Conventions, Exhibitions) ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สร้างรายได้ให้กับชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่น รวมถึงเสริมภาพลักษณ์ของไทยในฐานะศูนย์กลางการจัดประชุมและงานแสดงสินค้าระดับสากล ซึ่งที่ผ่านมา ทีเส็บได้ดำเนินโครงการ MICE City ในจังหวัดสำคัญ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร พัทยา เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และสงขลา เป็นการช่วยกระจายรายได้ลง
สู่ท้องถิ่น และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในตลาดไมซ์ระดับนานาชาติได้ดียิ่งขึ้น

ด้านนางสริตา จินตกานนท์ ผู้เชี่ยวชาญ ทีเส็บ กล่าวเสริมว่า “ทีเส็บ ได้ร่วมกับ บริษัท วีซ่า ผู้นำการให้บริการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก เปิดตัวบัตร Thailand MICE Visa Prepaid Card ออกแบบมาเพื่อกลุ่มนักเดินทางธุรกิจทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย รวมถึงผู้ประกอบการ SME เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับกลุ่มนักเดินทางดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร ชอปปิง โรงแรม ตั๋วเครื่องบิน บริการรถลีมูซีน สปา บริการรับฝากหรือจัดส่งสัมภาระที่สนามบิน บริการขนส่ง การเดินทาง สิทธิพิเศษจากสถานที่จัดงาน ในการมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับนักเดินทางไมซ์ โดยกลยุทธ์การตลาดปี 2568 ของบัตร Thailand MICE Visa Prepaid Card จะครอบคลุมเมืองไมซ์ซิตี้หลัก โดยจังหวัดภูเก็ตเป็นศูนย์กลางไมซ์ของภาคใต้และมีศักยภาพสูง เน้นกลยุทธ์การขยายเพิ่มจำนวนสมาชิกผู้ถือบัตร กระตุ้นการใช้จ่ายในภูมิภาค ซึ่งในปี 2568 นี้ ทีเส็บตั้งเป้าว่าจะมีผู้ถือบัตรจำนวน 30,000 คน มีการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปของนักเดินทางไมซ์เพิ่มขึ้นประมาณ 5 %” 


“โครงการ The Southern MICE District: Phuket Series จะทำให้จังหวัดภูเก็ตกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาย่านไมซ์ระดับภูมิภาค ที่ไม่เพียงสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทย แต่ยังช่วยยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์สู่มาตรฐานโลก และยังช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทยในปี 2568 นี้ ให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งจะมีนักเดินทางไมซ์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรวมทั้งสิ้น 34 ล้านคน สร้างรายได้ให้กับประเทศ 200,000 ล้านบาท” นายพัฒนชัย กล่าวทิ้งท้าย

#TCEB #SouthernSpectrum #TheSouthernMICE
#สำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการภาคใต้ #PhuketMICECity
#TheSouthernMICEDistrict #PhuketSeries