เที่ยวทั่วไทย อร่อยทั่วโลก อัพเดทข่าวรายวัน Lifestyle บันเทิง ทันทุกกระแสข่าว!

30 พฤษภาคม 2566

บูมหนัก GIT World’s Jewelry Design Award นักออกแบบทั่วโลก ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดมากที่สุดในรอบ 5 ปี


ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม กับ โครงการประกวดออกแบบเครื่องประดับ ครั้งที่ 17 ภายใต้แนวคิดนี้ “Glitter & Gold – The Brilliant Way of Gold Shine” เครื่องประดับที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสีทองอร่ามกับประกายระยิบระยับของอัญมณีหลากชนิดที่ผสมผสานเข้ากันจนเป็นงานสร้างสรรค์ที่ลงตัว ซึ่งปีนี้นักออกแบบทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ร่วมส่งผลงานเข้าชิงรางวัลมากถึง 770 ผลงาน จาก 30 ประเทศทั่วโลก มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในการจัดการประกวดออกแบบเครื่องประดับระดับโลกของไทย ในรอบ 5ปี 



นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบัน เปิดเผยว่า จากจำนวนผลงานที่ส่งเข้าร่วมประกวดออกแบบเครื่องประดับกับสถาบันในครั้งนี้ ถือได้ว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 มากกว่าปี 2565 การประกวดออกแบบเครื่องประดับของสถาบันได้รับการยอมรับและมีต่างชาติเข้าร่วมส่งผลงานมากขึ้นทุกๆ ปี และในครั้งนี้เรียกได้ว่า เรามีนักออกแบบจากทั่วทุกมุมโลกให้ความสนใจส่งผลงานเข้าประกวด ทั้ง เอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป รัสเซีย อเมริกา และ ประเทศแถบอเมริกาใต้ ทำให้เราได้เห็นถึงมุมมองอันหลากหลายของนักออกแบบ รวมถึงทิศทาง เทรนด์ของเครื่องประดับในประเทศต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนจากแบบวาดที่ส่งเข้าร่วมประกวด โดยในปีนี้มีนักออกแบบต่างชาติส่งผลงานเข้าร่วมประกวดจำนวน 497 ชิ้นงาน และจากประเทศไทย 273 ชิ้นงาน รวมผลงานทั้งหมดถึง 770 ผลงาน  โดย จำนวนผลงานที่เข้าร่วมประกวดสูงสุด มาจาก ไทย จีน อิหร่าน ไต้หวัน และอินเดีย ซึ่งถือได้ว่าเป็นตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของไทยอีกด้วย ซึ่งเทรนด์ต่างๆ เหล่านี้จะเป็นตัวช่วย และ เป็นโอกาสที่ดีที่นักออกแบบไทยจะนำมาปรับใช้เป็นแนวทางในการออกแบบ และสร้างแบรนด์ของตนเอง เพื่อเข้าสู่ตลาดสากลในที่สุด 




สำหรับรอบการตัดสินแบบวาด สถาบันได้รับเกียรติจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วโลก อาทิ คุณสิริน
ศรีอรทัยกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการขาย บริษัท บิวตี้เจมส์ แฟคตอรี่ จำกัด, ม.ล. ภาวินี สันติศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อโยธยาเทรด (93) จำกัด, คุณธนิษฐ์ ดุรงคพิทยา กรรมการบริหาร บริษัทพรีเมียร์เจมส์เทรดดิ้ง จำกัด, ดร.ธัชวิน สุรเศรษฐ กรรมการผู้จัดการ L.S Jewelry Group (ห้างเพชรหลีเสง) ,คุณเกศณี ศิริวัฒนสกุล Head of New Product Development, Swarovski Manufacturing (Thailand), Mr. Yutaka Fukasawa, Japan Precious Magazine Director & Chief Editor ประเทศญี่ปุ่น คุณวรรณพร โปษยานนท์ บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร ฮาร์เปอร์ส บาซาร์ ประเทศไทย และ Ms. Fie Ling Tjia, Senior Lecturer at Raffles College of Higher Education ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลการศึกษาสถาบันแฟชั่น Marangoni ประเทศสิงคโปร์ โดยคัดเลือกผลงานทั้งหมดจาก 770 ผลงาน เหลือเพียง 31 ผลงาน และเลือกเฟ้นหาแบบวาดที่มีคะแนนสูงสุด 4 ผลงาน เพื่อนำไปผลิตเป็นเครื่องประดับขึ้นโชว์ผลงานพร้อมเหล่านางแบบในรอบชิงชนะเลิศ

โดยจะประกาศผลการตัดสินรอบคัดเลือกอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 มิถุนายน 2566 พร้อมเปิดให้ผู้สนใจร่วมลงคะแนนโหวตให้กับผลงานที่ชื่นชอบ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผลงานที่ชื่นชอบ และลุ้นรับรางวัล GIT Popular Design Award  ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2566 จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566

สำหรับการตัดสินรอบชิงชนะเลิศ และการประกาศรางวัล มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 สิงหาคม 2566
ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน จากนั้นสถาบันจะนำผลงานการออกครั้งนี้ไปจัดแสดงในงานแสดงสินค้าต่างๆ รวมถึงการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ GIT Gem and Jewelry Museum เพื่อเป็นการตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลกของประเทศไทย (Gems and Jewelry Hubof The World)

ผู้ที่สนใจ สามารถเข้าไปชมผลงานผู้ที่ผ่านรอบแรก และร่วมโหวต ได้ที่ www.facebook.com/gitwjda 
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ
(องค์การมหาชน) โทร. 02 634 4999 ต่อ 311-313


สนามสองคึกคัก! "BGPU CAMPUS TOUR 2023" ที่โรงเรียนโชคชัยรังสิต⁣


เมื่อวันที่  30 พ.ค. 66 สโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ร่วมกับ โรงเรียนโชคชัยรังสิต จัดกิจกรรม "BGPU CAMPUS TOUR 2023" ภายใต้โครงการพัฒนากีฬาฟุตบอลเยาวชนในจังหวัดปทุมธานี โดยมีนายอุดม ปัจจะมูล ผู้อำนวยการโรงเรียนโชคชัยรังสิต พร้อมด้วยนางสาวนิตยาพร ธาราสุข ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาดสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ร่วมกล่าวเปิดงาน โดยได้รับความสนใจจากน้องๆ เยาวชนร่วมกิจกรรมจำนวนกว่า 100 คน⁣




สำหรับกิจกรรมในงานเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า โดยน้องๆ เยาวชน ได้ร่วมเล่นเกม และร่วมสนุกภายในบูธกิจกรรม รวมถึงรับของรางวัลจากพาร์ทเนอร์สโมสรฯ มากมาย ได้แก่ น้ำดื่มสิงห์ ผลิตภัณฑ์โกหมึก โพคารี่ สเวท และยูโร่เค้ก ก่อนที่ ช่วงบ่าย เป็นการนำน้องๆ ฝึกทักษะพื้นฐานกีฬาฟุตบอล กับทีมผู้ฝึกสอนจาก BGPU ACADEMY นอกจากนี้ บริษัท มอลเทน (ไทยแลนด์) จำกัด ยังได้มอบลูกฟุตบอล ให้กับทางโรงเรียน และทางสโมสรฯ ได้มอบเสื้อกีฬาให้กับนักเรียน และคณะอาจารย์ เพื่อสวมใส่ในกิจกรรมกีฬาภายในโรงเรียนอีกด้วย ⁣



โดย กิจกรรม "BGPU CAMPUS TOUR 2023" จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ได้มีโอกาสแสดงฝีเท้า และฝึกทักษะความสามารถด้านฟุตบอล โดยทีมงานผู้ฝึกสอนจาก บีจีพียู อะคาเดมี่ เพื่อสานต่อความฝันการเป็นนักกีฬาฟุตบอลอาชีพต่อไป ส่วนกิจกรรม "BGPU CAMPUS TOUR 2023" ครั้งต่อไป จะจัดขึ้นที่ โรงเรียนสาธิตนวัตกรรม มทร.ธัญบุรี วันศุกที่ 2 มิ.ย. 66 ⁣

#BGPU #บีจีปทุมยูไนเต็ด⁣ #BGPathumUnited⁣

#BGPUCAMPUSTOUR2023⁣ #BGPUONETEAM⁣

#ONETEAM⁣#ที่สุดในหนึ่งเดียว⁣ #บอลไทย #ฟุตบอลไทย⁣


ติดตามข่าวสารของสโมสรได้ทาง⁣

Follow BGPU news on⁣

Website : www.bgputd.com⁣

FB : BG PATHUM UNITED⁣

LINE@ : @BGPU⁣

IG : BGPU_OFFICIAL⁣

TWITTER : BGPU OFFICIAL⁣

YOUTUBE : BG CHANNEL⁣

TikTok : @BGPU_OFFICIAL

ซูกิชิ อินเตอร์กรุ๊ป เติบโตอย่างต่อเนื่องเตรียมขยายแฟรนไชส์

ซูกิชิ โคเรียน ชาร์โคล กริลล์ และชานมไต้หวันวาวาชา เฟรช ทั้งในและต่างประเทศ


ตลาดปิ้งย่างและอาหารเกาหลียังโตต่อเนื่อง ซูกิชิตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาด ส่งซูกิชิ โคเรียน ชาร์โคล กริลล์ บุกตลาด CLMV พร้อมขายแฟรนไชส์ในประเทศและต่างประเทศเพิ่ม ตั้งเป้าปีนี้ 7 สาขา เปิดตัว “กิมจิผักพื้นบ้านและกิมจิผลไม้ไทย” ชูเอกลักษณ์รสชาติผักผลไม้ไทยปรุงรสสไตล์เกาหลี เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค พร้อมสร้างรายได้ให้เกษตรกรไทย

คุณนพดล จิรวราพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูกิชิ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารเกาหลี กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์ด้านธุรกิจอาหารที่มีมายาวนานกว่า 23 ปี ทำให้ปัจจุบันซูกิชิ อินเตอร์กรุ๊ป มีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย ธุรกิจร้านปิ้งย่างและอาหารเกาหลี Sukishi Korean Charcoal Grill ร้านSukishi Everyday ร้านTiga Pizza ร้านTokki Izakaya และชานมไต้หวัน Wawacha Fresh ธุรกิจอาหารสำเร็จรูปสไตล์เกาหลี และธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยการเข้าร่วมงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2023

ในครั้งนี้ ก็เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารเกาหลีอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งธุรกิจร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม และสินค้าอาหารเกาหลีสำเร็จรูป รวมถึงเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ซูกิชิให้กับลูกค้า คู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อนำเสนอสินค้าและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังผู้ค้าส่ง (Wholesaler) ผู้ค้าปลีก (Retailer) ทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศ CLMV ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม



สำหรับภาพรวมตลาดร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีหลังสถานการณ์โควิด-19มีอัตราการเติบโต 30% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วง 3 ปีก่อนหน้านี้ โดยในส่วนของธุรกิจร้านปิ้งย่างและอาหารเกาหลี ซูกิชิ โคเรียน ชาร์โคล กริลล์ ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 35 สาขาทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดซึ่งเป็นของบริษัทฯเอง และมี แฟรนไชส์อีก 4 สาขา โดยปี 2566 บริษัทฯ มีแผนจะขยายสาขาแฟรนไชส์ 7 สาขา แบ่งเป็นในประเทศ 6 สาขา และต่างประเทศ 1 สาขาที่ประเทศกัมพูชา และภายใน 5 ปีจะขยายเป็น 10 สาขา รวมถึงยังวางแผนที่จะขยายสาขาไปยังประเทศลาว พม่าและเวียดนาม ตามลำดับ การขยายตลาดไปยังต่างประเทศนั้น บริษัทฯ มีทั้งการร่วมลงทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่น และการขายแฟรนไชส์ ทั้งนี้ เชื่อว่าทิศทางตลาด CLMV มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคเปิดรับวัฒนธรรมเกาหลีมากขึ้น มีการเดินทางท่องเที่ยวไปเกาหลีทำให้เกิดความชื่นชอบในเรื่องของอาหาร จึงเป็นช่องทางที่จะให้บริษัทฯ เข้าไปรุกตลาดในประเทศเหล่านี้ ซึ่งตั้งเป้ายอดขายของสาขาที่เป็นแฟรนไชส์จะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15%ต่อปี 

นอกจากนี้ ในส่วนของแบรนด์ชานมไต้หวัน Wawacha Fresh บริษัทฯ ได้เปิดตัวขายแฟรนไชส์ในงาน THAIFEX นี้ แม้ว่าในท้องตลาดจะมีเครื่องดื่มประเภทชานมเป็นจำนวนมาก แต่ชานมไต้หวัน Wawacha Fresh มีจุดเด่นที่นอกเหนือจากชานมแล้วยังมีชาใส คัดสรรใบชาคุณภาพเยี่ยมจากแหล่งผลิตชาในประเทศไต้หวัน ชงสดแบบแก้วต่อแก้วด้วยขั้นตอนพิถีพิถัน ทำให้ชาทุกแก้วมีรสชาติเข้มข้น สดชื่นและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมถึงมีการคิดค้นสูตรเครื่องดื่มแบบใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทันต่อกระแสความต้องการของผู้ชื่นชอบการดื่มชา จึงเชื่อว่าจะขยายตลาดในประเทศได้โดยตั้งเป้าขยายแฟรนไชส์ในปีแรกนี้จำนวน 3 สาขา ส่วนในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ บริษัทฯ จะเปิดแบรนด์ใหม่เพิ่มเข้ามาในกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์อีกด้วย 

ทั้งนี้ การที่บริษัทฯเชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีในธุรกิจกลุ่มแฟรนไชส์ร้านอาหารและเครื่องดื่มของ
ซูกิชิ อินเตอร์กรุ๊ปนั้น เพราะกลุ่มธุรกิจนี้มีจุดแข็งในเรื่องของสินค้าและบริการ คุณภาพวัตถุดิบ ความหลากหลายของเมนู น้ำจิ้มที่มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาหลีและถูกปากคนไทย รวมถึงยังมีองค์ความรู้ในการประกอบธุรกิจปิ้งย่างทั้งการให้คำปรึกษาในระบบความปลอดภัย การให้คำปรึกษาในเรื่องการบริหารจัดการร้าน การสนับสนุนแฟรนไชส์ด้วยระบบมาตรฐานสากล

กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวต่อว่า ในส่วนของธุรกิจกลุ่มอาหารสำเร็จรูปสไตล์เกาหลี ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 50 รายการ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ชื่นชอบอาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลี โดยวางจำหน่ายตลาดในประเทศเป็นหลัก และภายใน 5 ปีหลังจากนี้จะเร่งผลักดันการขายในตลาดต่างประเทศให้มีสัดส่วนยอดขาย 15 % ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์กิมจิผักกาดขาวของซูกิชิเป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายอันดับ 1 ของกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ เพราะถูกคิดค้นและพัฒนาสูตรจากผู้เชี่ยวชาญด้านกิมจิโดยเฉพาะ และวางจำหน่ายเป็นแบรนด์แรกๆในประเทศไทย

ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างความแปลกใหม่ให้กับตลาดและเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค ล่าสุดได้มีการเปิดตัว “กิมจิผักพื้นบ้านและกิมจิผลไม้ไทย” เป็นการผสมผสานผักพื้นบ้านภาคต่างๆ รวมกับผลไม้ไทยที่เป็นที่นิยม ปรุงรสในสไตล์เกาหลีเพื่อให้เกิดรสชาติใหม่ๆ ให้กับตลาดกิมจิ ประกอบด้วย กิมจิกะหล่ำปลี กิมจิผักกูด กิมจิดอกปลั่ง กิมจิไหลบัว กิมจิผักคันจอง กิมจิมะม่วงและกิมจิกระท้อน การที่บริษัทฯ เลือกใช้วัตถุดิบหลักจากภายในประเทศ เนื่องจากเล็งเห็นว่าผักและผลไม้ของไทยมีความหลากหลายและมีเอกลักษณ์เฉพาะ ดังนั้นจะสนับสนุนผักและผลไม้ที่มีความโดดเด่นของแต่ละภูมิภาค ตามแนวคิด 1 ภาค 1 วัตถุดิบ คัดเลือกเพื่อนำมาทำเป็นกิมจิ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอีกทางหนึ่ง โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโตอย่างน้อย 10%ทุกปีในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์กิมจิ  สำหรับภาพรวมของบริษัทฯในปีนี้จากการมุ่งมั่นพัฒนาแบรนด์และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ออกสู่ตลาด คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 25% หรือประมาณ 2,200 ล้านบาท

Smart SME EXPO 2023

เชิญผู้ประกอบการเข้าร่วมเจรจาจับคู่ธุรกิจ ในงาน Smart SME EXPO 2023
วันที่ 6-9 ก.ค. 2566 ฮอลล์ 7-8 อิมแพ็คเมืองทองธานี

Smart SME EXPO 2023  ขอเชิญชวนผู้ประกอบการในสินค้ากลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม สุขภาพความงาม แฟรนไชส์  เทคโนโลยี ที่จดทะเบียนนิติบุคคลเกิน 1 ปี  สมัครเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ Business Matching  ในงาน Smart SME EXPO 2023  ระหว่างวันที่ 6-9 กรกฎาคม 2566 ที่ ฮอล์ 7-8 อิมแพ็คเมืองทองธานี  พบคู่ค้าช่วยคุณขยายตลาดไกลทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีก  TV Shopping เป็นต้น และคู่ค้า ต่างประเทศ อาทิ ประเทศลาว พม่า เป็นต้น  ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย 

โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2566

- เจรจาธุรกิจกับคู่ค้าในประเทศ    https://forms.gle/fbUCk39wq25C2rfEA

- เจรจาธุรกิจกับคู่ค้าต่างประเทศ   https://forms.gle/JV2RXpT68S23YPAC8

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  คุณหยก  0949839650  คุณญา 0884524373

อลาวรี่ (Allowrie) เนยและชีสยอดนิยมอันดับ 1 ปรับโฉมบรรจุภัณฑ์

เพิ่มธงชาติออสเตรเลีย ตอกย้ำมาตรฐานคุณภาพแบบต้นตำรับ ล่าสุดคว้า 3 รางวัล Superior Taste Award จากสถาบัน International Taste Institute การันตีคุณภาพและรสชาติ โดยผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพกว่า 200 คนจากทั่วโลก

อลาวรี่ (Allowrie) แบรนด์ผลิตภัณฑ์เนยและชีสยอดขายอันดับ 1 ยาวนานถึง 7 ปีซ้อน ที่มีต้นกำเนิดแบรนด์จากประเทศออสเตรเลียตั้งแต่ปี ค.ศ.1869 ตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาดเนยและชีสระดับพรีเมียมในไทย เปิดตัวดีไซน์บรรจุภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด ย้ำความเป็นโปรดักส์ออสเตรเลีย สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าแห่งที่มาของแบรนด์และวัตถุดิบเกรดพรีเมียมจากแดนจิ้งโจ้สู่ครัวไทย พร้อมเปิดตัว TVC ใหม่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกมื้อพิเศษได้ด้วยอลาวรี่ ผ่าน 2 นักแสดงภาพยนตร์โฆษณาอลาวรี่ “มายด์-วรัทยา และอติล่า” 


นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “KCG” ผู้จัดจำหน่าย “อลาวรี่ (Allowrie)” แบรนด์ผลิตภัณฑ์เนยและชีสระดับพรีเมียม เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสื่อสารให้กลุ่มผู้บริโภคได้ทราบถึงคุณภาพและที่มาของแหล่งวัตถุดิบที่ใช้ผลิตเนยและชีสแบรนด์ อลาวรี่ (Allowrie)  เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จึงได้ทำการปรับดีไซน์บรรจุภัณฑ์ใหม่ โดยได้เพิ่มธงชาติออสเตรเลีย พร้อมข้อความ “Original Australian Brand” ที่มุมบรรจุภัณฑ์ทุกชนิด ซึ่งเชื่อว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยสร้างการรับรู้และขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม professional และ premium mass ให้เพิ่มขึ้น และที่สำคัญ อลาวรี่ ยังได้รับการสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมจากสำนักงานการพาณิชย์และการลงทุนออสเตรเลีย (ออสเทรด) ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จในภาพรวมธุรกิจ และสร้างการยอมรับให้แก่กลุ่มสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดจากออสเตรเลียในทุกประเทศทั่วโลก


“เมื่อวัฒนธรรมการกินจากฝั่งตะวันตกได้รับความนิยมมากขี้น อลาวรี่ ได้ออกมาตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความพร้อมในการผลิต รวมถึงการมีแหล่งวตัถุดิบคุณภาพ ทำให้สามารถขยายตลาดสินค้ากลุ่มเนยและเพิ่มสินค้า กลุ่มชีส เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้ และจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 50 ปี พร้อมทั้งมียอดขายมากกว่า 10 ล้านชิ้นต่อปีและมีสินค้าหลากหลายมากกว่า 100 SKUs ส่งผลให้ อลาวรี่ มีส่วนแบ่งทางการตลาดในเชิงมูลค่าและปริมาณสูงเป็นอันดับ 1 ของไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมา” นายดำรงชัยกล่าวเสริม

นอกจากจะความสำเร็จในประเทศไทยแล้ว ล่าสุด อลาวรี่ ยังโชว์ศักยภาพคว้ารางวัล Superior Taste Award  ของสถาบัน  International Taste Institute มาครองได้ถึง 3 รางวัลจาก 3 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย อลาวรี่ เนยแท้ (Allowrie Pure Creamery Butter),  อลาวรี่ MTC Butter ทางเลือกใหม่สำหรับคนรักสุขภาพ มีส่วนผสมสารสกัด MCT Oil จากน้ำมันมะพร้าวธรรมชาติ และ อลาวรี่ เชดด้าชีสสไลด์ (Allowrie Cheddar Cheese Product Slices) “Superior Taste Award เป็นเครื่องหมายการันตีรสชาติอาหารที่ผ่านการทดสอบและประเมินจนได้รับการยอมรับจากเชฟชั้นนำจากกว่า 20 ประเทศทั่วโลกที่มากด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ผ่านการแข่งขันทดสอบความสามารถจากเวทีชั้นนำ และบางส่วนได้รับรางวัลระดับโลก เช่น รางวัลมิชลินไกด์ (Michelin Guide) นั่นหมายความว่า สินค้าที่ได้รางวัลการันตีไม่เพียงแค่มีรสชาติอร่อยแต่ยังต้องมีรสชาติกลมกล่อมและมีคุณภาพ ในทุกๆ ปีมีสินค้าเข้ารับการประเมินหลายพันรายการ แต่มีเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ได้เครื่องหมายรับรอง และความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่ อลาวรี่ ได้รับในครั้งนี้ก็ถือเป็นเครื่องยืนยันมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์สมกับการเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์เนยและชีสที่ครองความนิยมเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย”   -นายดำรงชัย  กล่าวสรุป

กรมการท่องเที่ยวจับมือหน่วยงานพันธมิตร ร่วมพัฒนาศักยภาพแรงงานและบุคลากรด้านท่องเที่ยวและบริการ


กรมการท่องเที่ยว ลงนาม MOU ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาศักยภาพแรงงานและบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการให้มีคุณภาพในด้านทักษะฝีมือและผลิตภาพให้เพียงพออย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบกิจการ รองรับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต


นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาศักยภาพให้แก่กำลังแรงงานและบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ณ ห้องประชุม 1 กรมการท่องเที่ยว อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผสมเครื่องดื่มและบริการ สมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย และชมรมบาร์เทนเดอร์ภาคตะวันออกประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพแรงงานและบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการให้มีคุณภาพ ในด้านทักษะฝีมือและผลิตภาพให้เพียงพออย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบกิจการ รองรับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาทักษะในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engines of Growth) และรองรับการเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0

นายจาตุรนต์ เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะบูรณาการการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ได้แก่ วิทยากร บุคลากรฝึก อาคารสถานที่ รวมทั้งแลกเปลี่ยนความรู้ วิทยาการ เทคโนโลยีสมัยใหม่ และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา บุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาฝีมือแรงงานและบุคลากรในสาขาอาชีพ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ รวมทั้งมาตรการต่าง ๆ ในการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานและ บุคลากรให้มีทักษะ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามแผนการฝึกอบรมที่แต่ละฝ่ายตกลงร่วมกันตามภารกิจที่เหมาะสม 

“นอกจากนั้นทุกหน่วยงานยังร่วมกันส่งเสริมให้ผู้ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ จัด
ส่งพนักงานเข้าทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาท่องเที่ยวและบริการ และได้รับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานดังกล่าว รวมทั้งทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติให้แก่นักเรียน นักศึกษา
หรือกำลังแรงงานก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน และจัดแข่งขันฝีมือแรงงาน” นายจาตุรนต์ กล่าวทิ้งท้าย

สนอ. เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า ที่สถานสงเคราะห์เด็ก พัทยา


สนอ. เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า ที่สถานสงเคราะห์เด็ก พัทยา 
สมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนอ.) นำโดย ดร.โสภาพิมพ์ เศรษฐบุตร สิมะกุลธร นายกสมาคม (สนอ.)  พร้อมด้วยสมาชิกและคณะกรรมการสมาคมฯ จัดทริปเดินทางไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า ที่สถานสงเคราะห์เด็ก พัทยา 



“ร้านยากรุงเทพ”
 ร่วมบริจาคยาสามัญประจำบ้าน 4 ลัง และ มูลนิธิเฉลิมขัวญ ชุมสาย ณ อยุธยา ร่วมบริจาคอุปกรณ์การเขียน 200 ชุด  โดยมี ดร.จินดารัตน์-รัสรินทร์ (โอบอุ้ม) ชุมสาย ณอยุธยา, ศรีสองรัก ชัยสิทธิ์ เลขาธิการ สมาคม, เอิร์ธ สายสว่าง แจกอาหารและสารณูปโภคต่างๆ ให้กับเด็กร่วมร้อยกว่าชีวิต บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม


สถานที่ : มูลนิธิสงเคราะห์เด็ก พัทยา (หมู่ที่ 6 -384 ถนนสุขุมวิท) บางละมุง ชลบุรี
โทร. 038 416 426

ประกาศผลแล้ว! สำหรับผู้ชนะในแคมเปญ "นักท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย"

พร้อมเงินเดือนและของรางวัลมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท!

ขอแสดงความยินดีกับ คุณอภิชาต พรหมทัศน์ ซึ่งเป็นเจ้าของแพจ "เดอะแบก" บน facebook กับคอนเทนต์ที่จะพาทุกคนแพ็กกระเป๋าแบกไปเที่ยวกันแบบลุย ๆ ผู้เป็นทั้งนักสื่อสาร นักสร้างแรงบันดาลใจ
และนักท่องเที่ยวที่เที่ยวจนได้ลาออก! พร้อม Passion การท่องเที่ยวเต็มเปี่ยม และคาริสม่าดึงดูดให้ทุกคนออกไปเที่ยวตาม ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - กันยายน 2566 นี้ กับคอนเทนต์ท่องเที่ยวหลากหลายที่รอทุกคนออกไปเที่ยวด้วยกัน




นอกจากนี้สมาชิกทั้ง 20 ท่านที่ผ่านเข้ารอบและได้มาสัมภาษณ์ในวันนี้ ยังได้ร่วมจัดตั้งภาคีเครือข่ายการท่องเที่ยว เพื่อร่วมกันการสร้าง Community สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว และประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทย ให้แหล่งท่องเที่ยวไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้น


สามารถติดตามคอนเทนต์การท่องเที่ยวสุดสร้างสรรค์จากนักท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กิจกรรมการท่องเที่ยว เทศกาล งานประเพณี และโปรโมชั่นต่าง ๆ ของโครงการ “365 วัน มหัศจรรย์เมืองไทย เที่ยวได้ทุกวัน” ได้ที่ปฏิทินท่องเที่ยวไทยปี 2566 เว็บไซต์ www.tourismthailand.org/amazingthailand365 และ
Line Official Account : @amazing365days


#365วันมหัศจรรย์เมืองไทยเที่ยวได้ทุกวัน #AmazingThailand #เที่ยวเมืองไทยAmazingยิ่งกว่าเดิม

ททท. เปิดตัวงาน “AMAZING ULTIMATE FESTIVAL” ปักหมุด 4โลเคชั่นริมทะเล

ส่งมอบประสบการณ์ที่สุดแห่งความสนุกกับกิจกรรมสร้างสรรค์หลากหลายสไตล์        


วันนี้ (30 พฤษภาคม 2566) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าตอกย้ำความสนุกสนานของ“ปีท่องเที่ยวไทย 2566” เปิดตัวกิจกรรม“AMAZING ULTIMATE FESTIVAL”เตรียมส่งมอบที่สุดแห่งประสบการณ์ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ด้วยกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ทั้งศิลปะ ดนตรี กีฬา วัฒนธรรม นันทนาการ ตามอัตลักษณ์ใน 4 พื้นที่ริมทะเล ได้แก่ พังงา ภูเก็ต สงขลา และประจวบคีรีขันธ์ เพื่อกระตุ้นและสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยว หวังปั๊มรายได้ 140 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาจัดงาน


นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เล็งเห็นโอกาสในการใช้กลยุทธ์จัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์มาเป็นกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวมิติใหม่ที่เปี่ยมด้วยคุณค่าและความหมาย พร้อมตอกย้ำความสนุกสนานของ “ปีท่องเที่ยวไทย 2566” ภายใต้แคมเปญ “365 วัน มหัศจรรย์เมืองไทย เที่ยวได้ทุกวัน” 


จึงกำหนดจัดกิจกรรม “AMAZING ULTIMATE FESTIVAL” นำศิลปะและดนตรีเป็นสื่อกลางผสมผสานส่งมอบความสุขถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ร่วมพัฒนาการท่องเที่ยวแนวใหม่ของประเทศไทย
โดย ททท. มุ่งนำเสนอความหลากหลายของกิจกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่อยู่ในกระแสความสนใจของนักท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์สอดรับกับการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ซึ่งแบ่งตามอัตลักษณ์ของพื้นที่ ได้แก่ จังหวัดพังงาและจังหวัดภูเก็ต มีกิจกรรมหลักเป็น Sport Tourism และจังหวัดสงขลาและประจวบคีรีขันธ์มีกิจกรรมหลักเป็น Recreation Festival งานนันทนาการต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาตินำไปสู่ การใช้จ่ายในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวอันจะสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานรากและสะท้อนศักยภาพพื้นที่และสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องภายในประเทศอย่างปลอดภัย ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2566 ได้แก่



 1.     จังหวัดพังงา นำเสนอกิจกรรมภายใต้ชื่อ “KHAOLAK SURF FESTIVAL 2023” จัดขึ้นในวันที่  16-18 มิถุนายน 2566    ณ MEMORIES BEACH เขาหลัก ชวนผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกระดานโต้คลื่นออกมาสัมผัสคลื่นลมและแสงแดด พร้อมแข่งขันเซิร์ฟชิงเงินรางวัลรวมกว่า 220,000 บาท ก่อนจะไปสนุกเต็มสตรีมกับคอนเสิร์ตจากศิลปินมากมาย เช่น KHAN THAITANIUM / TWOPEE SOUTHSIDE / VALENTINA PLOY / LAZYLOXY & SAMBLACK / TONTRAKUL / MAIYARAP

2.     จังหวัดภูเก็ต นำเสนอกิจกรรมภายใต้ชื่อ “PHUKET SURF CONTEST 2023” จัดขึ้นในวันที่ 23-25 มิถุนายน 2566 ณ  หาดกะตะ ชวนแข่งขันเซิร์ฟแบบเท่ๆ ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 220,000 บาท ส่งต่อ FEEL GOOD ไปกับคอนเสิร์ตจาก ATOM / TWOPEE SOUTHSIDE/ ZOM MARIE/ WHAL & DOLPH / TONTRAKUL / PIXXIE พร้อมศิลปินและดีเจอีกมากมาย

3. จังหวัดสงขลา นำเสนอกิจกรรมภายใต้ชื่อ “SONGKHLA BEACH LIFE 2023” จัดขึ้นในวันที่ 7-9 กรกฎาคม 2566 ณ หาดชลาทัศน์ จังหวัดสงขลา  เอาใจนักท่องเที่ยวสายอินดี้มาสนุกกับกิจกรรมบนชายหาดใต้ป่าสน ชวนมาเรียนรู้การพายซับบอร์ดเวิร์คช้อปสนุกๆ กับ SUP พร้อมชมคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง ได้แก่ SAFEPLANET / MUSKETEERS / HYBS / DEPT / LOSERPOP / YOURMOOD

4.   จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำเสนอกิจกรรมภายใต้ชื่อ “HUAHIN BEACH LIFE 2023” จัดขึ้นในวันที่ 21-23 กรกฎาคม 2566 ณ ริมหาดหัวดอน เขาตะเกียบ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่งท้ายความสุขที่หัวหิน เอาใจสาย HIPSTER ชวนมาสนุกไปกับแอคทิวิตี้บนชายหาดจาก SUP CLINIC พร้อมเพลิดเพลินไปกับคอนเสิร์ตริมชายหาดจาก THE TOYS / VIOLETTE WAUTIER / ZOM MARIE /  MUSKETEERS / WHAL & DOLPH / LOSERPOP รวมถึงศิลปินและดีเจอีกมากมาย




นอกจากนี้ ภายในงานยังเอาใจสายกิน สายช้อป จัด FOOD ZONE รวบรวมร้านอาหารถิ่นชื่อดังมาเสิร์ฟความอร่อยกันแบบจุใจ ทั้งรวบรวม BEACH ITEMS สุดเก๋มาให้สายช้อปได้เลือกซื้อใน SHOPPING ZONE ไม่เพียงเท่านั้น ททท. ยังได้จัดกิจกรรม CSR – AMAZING THAILAND BEACH CLEAN UP ในทุกพื้นที่ เพื่อรณรงค์ ให้นักท่องเที่ยวร่วมกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในแหล่งท่องเที่ยวตามแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบด้วย 

ททท. คาดว่าการจัดงานดังกล่าวจะกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ มีจำนวนผู้เข้าร่วมงาน ทั้ง 4 พื้นที่ไม่น้อยกว่า 50,000 คน และสร้างรายได้หมุนเวียนประมาณ 140 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
FACEBOOK EVENT PAGE: AMAZING ULTIMATE FESTIVAL
และ TAT CONTACT CENTER โทร. 1672 TRAVEL BUDDY