เที่ยวทั่วไทย อร่อยทั่วโลก อัพเดทข่าวรายวัน Lifestyle บันเทิง ทันทุกกระแสข่าว!

08 มิถุนายน 2566

เตรียมเปิดเวที ‘World Hindu Congress 2023’ ครั้งแรกในกรุงเทพฯ ประเทศไทย รวมตัวชาวฮินดูทั่วโลก


กรุงเทพฯ ประเทศไทย – มูลนิธิฮินดูโลก (World Hindu Foundation) ประกาศจัดงาน “World Hindu Congress 2023” (WHC 2023) การชุมนุมของชาวฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในโลกครั้งแรกในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 24 - 26 พฤศจิกายน 2566 นี้ ภายใต้หัวข้อ "Jayasya Aayatnam Dharmah" หรือ "ธรรมแห่งชัยชนะ" ชูหัวใจหลักสำคัญผ่าน 7 หัวข้อการประชุมที่จะแสดงให้เห็นถึงค่านิยม ความคิดสร้างสรรค์ และจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการของชุมชนชาวฮินดูในด้านต่าง ๆ ทั่วโลก




World Hindu Congress เป็นเวทีระดับโลกสำหรับชาวฮินดูในการเชื่อมต่อ แบ่งปันความคิด สร้างแรงบันดาลใจให้กันและกัน และส่งผลกระทบต่อความดีส่วนรวม ผ่านการประชุมคู่ขนาน 7 หัวข้อ ซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 4 ปี เพื่อแสดงให้เห็นว่า ค่านิยม ความคิดสร้างสรรค์ และจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการของชุมชนชาวฮินดูทั่วโลกมีการแสดงออกในด้านต่าง ๆ อย่างไร ครอบคลุมเศรษฐกิจ การศึกษา สื่อ องค์กร และการเมือง ตลอดจนความเป็นเอกลักษณ์ ความเป็นผู้นำและการมีส่วนร่วมของสตรีและเยาวชนชาวฮินดู รวมถึงการประชุมเชิงโต้ตอบเพื่อนำเสนอพื้นที่ในการพิจารณาความท้าทายและโอกาสที่ชุมชนชาวฮินดูเผชิญอยู่ทั่วโลก และแสวงหาวิธีแก้ปัญหาที่จับต้องได้เพื่อความก้าวหน้าและความเจริญรุ่งเรืองของชาวฮินดู ตลอดจนการพัฒนามนุษยชาติและโลกให้ดีขึ้น



ปัจจุบันชาวฮินดูมีชุมชนที่แข็งแกร่งจำนวนถึง 1.2 พันล้านคน คิดเป็น 16% ของประชากรโลก และกระจายอยู่ใน 200 ประเทศทั่วโลก ซึ่งล้วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนความพยายามของมนุษยชาติมานับครั้งไม่ถ้วน ครอบคุลมทุกมิติทั้งธุรกิจ เศรษฐกิจ การศึกษา ธรร-มาภิบาล สื่อ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม “World Hindu Congress” จึงนับเป็นหนึ่งในการชุมนุมของชาวฮินดูครั้งสำคัญมากที่สุดในโลก โดยจัดขึ้นครั้งแรกภายใต้ชื่อ “Inaugural Congress” ในปี 2014 ณ นิวเดลี ประเทศอินเดีย เป็นเวทีสำคัญในการสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างผู้นำชาวฮินดู นักเคลื่อนไหว และนักคิด ให้ได้มารวมตัวกันเพื่อหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินการในอนาคตอย่างลึกซึ้ง ที่จะนำไปสู่การฟื้นคืนของศาสนาฮินดู ผ่านการปลูกฝังความรู้สึกภาคภูมิใจและความรับผิดชอบที่มีต่อฮินดูธรรมอย่างยั่งยืน

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจากการประชุมครั้งก่อนที่จัดขึ้นในชิคาโกในปี 2018 โดยครั้งนั้นจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงวันครบรอบ 125 ปีของคำปราศรัยทางประวัติศาสตร์ของ Swami Vivekananda ที่การประชุมสภาศาสนาโลก (Parliament of World Religions) ในชิคาโกเมื่อปี 1893 ในปีนี้ WHC 2023 จะเป็นการจัดการชุมนุมในรอบ 4 ปี ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 24 - 26 พฤศจิกายน 2566 นี้

ภายในงาน 3 วันจะประกอบด้วยการเสวนาและการประชุมย่อยครอบคลุม 7 หัวข้อสำคัญ ที่อัดแน่นด้วยข้อคิดเห็นอันมีค่าในทุกแง่มุมเฉพาะของชีวิตและการมีส่วนร่วมของชาวฮินดู นำโดยวิทยากรที่มีชื่อเสียงและผู้นำทางความคิดจากทั่วโลก ได้แก่ การประชุมเศรษฐกิจฮินดูโลก (World Hindu Economic Forum), การประชุมการศึกษาของชาวฮินดู (Hindu Education Conference), การประชุมสื่อของชาวฮินดู (Hindu Media Conference), การประชุมทางการเมืองของชาวฮินดู (Hindu Political Conference) และการประชุมสตรีชาวฮินดู (Hindu Women Conference) ในฐานะเสาหลักของสังคม, การประชุมเยาวชนชาวฮินดู (Hindu Youth Conference) และการประชุมองค์กรของชาวฮินดูที่ขับเคลื่อนของสังคม (Hindu Organizational Conference)  


ซูชีล กูมาร์ ซาราฟ (Susheel Kumar Saraff) ประธาน World Hindu Congress 2023 กล่าวว่า "World Hindu Congress คือ yajnya (การเสียสละตนเอง) ที่เป็นแก่นสารและเป็นต้นฉบับเพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคมฮินดู เป็นเวทีที่ชาวฮินดูจากทุกสาขาอาชีพ ที่กระจายอยู่ทุกสังคมและวัฒนธรรม สามารถรวมตัวกันเพื่อจัดระเบียบ และรวมพลังของพวกเขาเพื่อการได้สวัสดิการและการเป็นอยู่ที่ดีในทุกหนแห่งทั่วโลก”

การประชุม World Hindu Congress 2023 คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมจำนวนกว่า 3,000 คน จาก 60 ประเทศทั่วโลก โดยจะเป็นตัวแทนของชุมชนชาวฮินดูทั่วโลก ทั้งจากภาครัฐ องค์กร สมาคม และสถาบันของชาวฮินดูทั้งหมด ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการจัดงานในปีนี้ จะเป็นเวทีระดับโลกที่คนทั่วโลกจะได้มาสัมผัสเมืองไทย สร้างการรับรู้และส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้สร้างเครือข่าย สร้างความร่วมมือกันต่อไปในด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้โชว์วิถีไทยสร้างความประทับใจ ส่งมอบให้กับผู้ร่วมงานนานาชาติทั่วโลก 

ด้าน ดร.โสภณา ศรีจำปา รองศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยมหิดล (Dr. Sophana Srichampa, Associate Professor Dr, Mahidol University) กล่าวถึงความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมระหว่างอินเดียและไทยว่า "วัฒนธรรมที่หลากหลายของอินเดียและไทยมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง เรามีมรดกร่วมกันที่แสดงออกผ่านภาษา ศิลปะ สถาปัตยกรรม และประเพณี ซึ่งการประชุมWHC 2023 จะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองประเทศนี้ ส่งเสริมความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และปรัชญา ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการเติบโตและการพัฒนาของทั้งประเทศไทยและชุมชนชาวฮินดูทั่วโลก และสร้างสันติภาพโลกในศตวรรษนี้ผ่านการประชุมครั้งนี้นั่นเอง"

ความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ระหว่างอินเดีย ไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนคุณค่าทางธรรมและวัฒนธรรมที่มีร่วมกัน ทำให้กรุงเทพฯ เป็นเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นเจ้าภาพสำหรับการประชุม World Hindu Congress 2023 สัญลักษณ์อันงดงามของมรดกร่วมนี้ สามารถพบเห็นได้ในสถานที่สำคัญต่าง ๆ เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ไทย), นครวัดและพนมกุเลน (กัมพูชา), ปรัมบานันและบุโรพุทโธ (อินโดนีเซีย), เกดาราม (Kedaram) (มาเลเซีย), วัดจาม, หมีเซิน (เวียดนาม) และปราสาทหินวัดพู (ลาว)

เชริ ซูชิล ดาห์นูก้า (Shri Sushil Dhanuka) ประธานหอการค้าอินเดีย-ไทย อธิบายถึงความสำคัญของการประชุมคู่ขนานทั้ง 7 หัวข้อภายในงาน WHC 2023 ว่า "การประชุมทั้ง 7 หัวข้อที่จะจัดขึ้นระหว่างการประชุม World Hindu Congress ครอบคลุมหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวฮินดู เราจะหารือกันในเรื่องต่าง ๆ อาทิ การเสริมพลังทางเศรษฐกิจ การศึกษา สื่อการเมือง การมีส่วนร่วมของเยาวชน การเสริมพลังสตรี และความร่วมมือในองค์กร โดยได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญและผู้นำจากสาขาต่าง ๆ เพื่อแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมการประชุมเหล่านี้”และ เชริ ราจู บี มันวานิ (Shri Raju B Manwani) เลขาธิการ World Hindu Congress กรุงเทพฯ กล่าวถึงการจัดงาน WHC 2023 ว่า "เราคาดว่าจะมีผู้แทนจำนวนมากจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมการประชุมโดยเกณฑ์พื้นฐานสำหรับผู้เข้าร่วมงาน คือความมุ่งมั่นต่อค่านิยมของชาวฮินดู และการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการส่งเสริมศาสนาฮินดู นอกจากนั้น การประชุมครั้งนี้ยังจะจัดแสดงนิทรรศการให้ข้อมูลความรู้ ร่วมด้วยการแชร์ข้อคิดเห็นและประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายด้าน และโอกาสในการสร้างเครือข่ายที่ประสบผลสำเร็จ โดยเราได้เตรียมการอย่างครอบคลุมเพื่อรับรองความสะดวกสบายและความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดไว้อย่างดีแล้ว”



ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการรวมตัวครั้งประวัติศาสตร์แห่งปี ที่งาน World Hindu Congress 2023 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 24 - 26 พฤศจิกายน 2566 ราคาบัตรเข้าร่วมงาน Early Bird โปรโมชั่นพิเศษวันนี้ถึง 31 กรกฎาคม 2566 สำหรับผุ้ร่วมงานท่ัวไป ราคา 10,500 บาท, สำหรับผู้หญิง 7,000 บาท และสำหรับนักเรียน/นักศึกษา 5,250 บาท

ลงทะเบียนหรือค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.worldhinducongress.org/ หรือติดต่อที่อีเมล whc2023@worldhinducongress.org และอัปเดตความเคลื่อนไหวของ WHC 2023 ช่องทางโซเชียลมีเดีย Facebook: World Hindu Congress Instagram: @worldhinducongress YouTube: @WorldHinduCongress และ Twitter: @WHCongress 

TECNO เผยความสำเร็จยอดขาย“สมาร์ตโฟนที่เข้าใจทุกความต้องการของทุกคน”


เทคโน ประเทศไทย (TECNO Thailand) ประกาศความสำเร็จหลังเดินเกมรุกตลาดไทยอย่างเต็มรูปแบบ ในปี 2565 ที่ผ่านมาเปิดตัวสมาร์ตโฟนครอบคลุมในทุกซีรี่ส์ที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ทุกกลุ่ม รวมมากกว่า 10 รุ่น พร้อมเน้นการตลาดแบบออนไลน์ ประเดิมเรียกกระแสด้วย SPARK 10 Pro ที่ได้รับการยอมรับในแวดวงไอทีว่าเป็นสมาร์ตโฟนด้านการเซลฟี่ที่มีนวัตกรรมและดีไซน์เครื่องโดดเด่น ในราคาคุ้มค่าที่สุด
 

นางสาวหยาฉี หวัง ผู้อำนวยการ เทคโน ประเทศไทย เผยว่า นับเป็นความสำเร็จอย่างเกินความคาดหมายของ เทคโน ประเทศไทย (TECNO Thailand) ที่ได้เริ่มทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา ด้วยการเปิดตัวสมาร์ตโฟน CAMON 19 Pro พร้อมแอมบาสเดอร์ “ออฟ จุมพล อดุลกิตติพล” ไอดอลขวัญใจนิวเจนเนอเรชั่น สะท้อนภาพลักษณ์และกลุ่มเป้าหมายของ CAMON ซีรี่ส์ที่ชูจุดเด่นเรื่องการถ่ายภาพด้วยเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และฟีเจอร์ที่ช่วยเสกภาพถ่ายราวกับมืออาชีพ การดีไซน์แรงบันดาลใจจากงานศิลปะ Mondrian เปลี่ยนเฉดสีไปตามแสงแดด ซึ่งได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี นับว่าเป็นการเปิดตัว เทคโน ประเทศไทย ให้ผู้บริโภคได้ทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์ของแบรนด์อีกครั้งอย่างสมศักดิ์ศรี

เทคโนได้เคยเปิดตัว SPARK 10 Series ซึ่งนำมาด้วย SPARK 10 Pro และ SPARK 10 สุดยอดสมาร์ตโฟนด้านการเซลฟี่อัดแน่นด้วยนวัตกรรมสุดล้ำในกล้องหน้าคมชัด 32MP แฟลชคู่ที่กล้องหน้าสำหรับการถ่ายเซลฟี่ให้ใบหน้าเปล่งประกายอย่างเป็นธรรมชาติและกล้องหลัง 2 ตัวความละเอียด 50MP ชิปเซต G88 ความจุสูงสุดถึง 256GB ในราคาที่คุ้มค่าที่สุด โดยมาพร้อมดีไซน์กระจกเป็นประกายสวยงาม วางจำหน่ายโดยราคาเริ่มต้น 3,599 บาท
รายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.tecno-mobile.com/th/phones/product-detail/product/spark-10-pro-13/

ด้วยปัจจัยทั้งหมดดังกล่าวส่งผลให้ SPARK 10 Series ได้รับความนิยมและความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างเกินความคาดหมายจากยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งนี้ ในปี 2566 เทคโน ประเทศไทยเตรียมเปิดตัว POVA 5 Series สมาร์ตโฟนรุ่นฮิตที่จะเขย่าวงการโมบายเกมมิ่งด้วยสเปกเหนือชั้นขุมพลังขั้นสูงกับดีไซน์สุดเท่ไม่เหมือนใคร ด้วย DNA ของ POVA Series ที่เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่ผู้มีไลฟ์สไตล์ชอบความเร็วแรง การันตีจากความสำเร็จจาก POVA 4 Pro ที่ได้รับการตอบรับจากเกมเมอร์อย่างถล่มทลายส่งให้ยอดขายของเทคโนพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา และแน่นอนว่า POVA 5 Series จะมาในราคาที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ ในเร็ว ๆ นี้

นอกจากนี้ เทคโน ประเทศไทย ยังใส่ใจในด้านบริการหลังการขาย โดยมี Carlcare Service รับประกันอุ่นใจยาวนาน 12+1 เดือน โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์บริการมากกว่า 20 แห่งครอบคลุมทุกภาคทั่วประเทศ และบริการรับส่งซ่อมเครื่องถึงบ้าน

ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่น Facebook Official Page : TECNO Mobile Thailand https://www.facebook.com/TECNOMobileThailand

ช่องทางสั่งซื้อออนไลน์และตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ :

Shopee Mall : https://bit.ly/3cK2FNS

TikTok Shop :https://bit.ly/3uC9l5V

ค้นหาตัวแทนสาขาใกล้บ้าน : https://www.tecno-mobile.com/th/stores/

จัดงานประชุมที่โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเท็ล แอนด์คอนเวนชั่น รับส่วนลดสูงสุด 30,000 บาท


จัดงานประชุมที่โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเท็ล แอนด์คอนเวนชั่น รับส่วนลด 15,000.- สูงสุด 30,000.- บาทกับแคมเปญประชุมเมืองไทยเร่งสร้างเศรษฐกิจไทยด้วยการบริการอย่างมืออาชีพ โดยการันตีคุณภาพสถานที่จัดงาน และขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายให้เติบโต อย่างมีคุณภาพและยั่งยืน 



ขอรับการสนับสนุนได้ตั้งแต่ วันนี้ - 22 ส.ค. 66 มองหาสถานที่จัดงานประชุมสัมมนาสุดทันสมัยด้วยระบบเทคโนโลยี่ และสถานที่โอ่โถง ท่ามกลางธรรมชาติ อากาศดี เลือกใช้ที่โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย แอนด์ คอนเวนชั่นที่บริการห้องประชุมที่ใหญ่ที่สุดในเชียงราย รองรับแขกได้ตั้งแต่ 10 - 1,500 คน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และพนักงานมืออาชีพ 

สอบถามเพิ่มเติมกรุณาโทร 052 055 888, Line ID: @335tkcsv
www.heritagechiangrai.com

CP LAND ประกาศปักธงรุกธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าทั่วไทย ตั้งเป้ายอดเช่า

CP Tower ทั้ง 13 อาคาร ทะลุ 90% ภายใน 3 ปี


8 มิถุนายน 2566, กรุงเทพฯ –นายกีรติ  ศตะสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน)  หรือ CP LAND เปิดเผยว่า กลุ่มธุรกิจสำนักงาน ภายใต้ CP LAND ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย  ประกาศปักธงเดินหน้ารุกธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า ตั้งเป้ายอดอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน (Occupancy Rate: OCC) ของ CP LAND ภายใต้ชื่อ CP Tower (ซี.พี. ทาวเวอร์) ขยายตัวสู่ระดับ 90% ใน 13 อาคารทั่วประเทศ ภายในต้นปี 2568 หรือ อีก 3 ปีข้างหน้า โดยชูจุดแข็งความเป็นผู้นำ หรือ ‘First Mover’ อาคารสำนักงานในส่วนภูมิภาคกลางใจเมือง ตัวอาคารสำนักงานมีความยืดหยุ่นและสอดคล้องสำหรับทุกธุรกิจ  และนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับมาตรฐานคุณภาพ การบริการ ความสะดวก และความปลอดภัยของอาคารสำนักงาน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการทำงาน หรือ อีโคซิสเต็ม เอื้อต่อการแสดงศักยภาพของพนักงานยุคใหม่ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายกีรติ  ศตะสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน)  หรือ CP LAND 


นายชัยวัฒน์ เอมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสธุรกิจค้าปลีกและสำนักงาน CP LAND กล่าวว่า ขณะนี้ภาพรวมของธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าของ CP LAND กำลังเข้ากลับเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวตามอุตสาหกรรม
ที่มีการฟื้นตัว โดยยอดอัตราการเช่าพื้นที่ทุกอาคารสำนักงานของ CP Tower ทั้งหมด 13 แห่ง อยู่ที่ กว่า 50%  แบ่งเป็น อาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ 4 แห่ง มีอัตราการเช่าอยู่ที่ระดับ 80 – 90% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอาคารสำนักงานให้เช่า ส่วนอาคารสำนักงานส่วนภูมิภาค อัตราการเช่าอยู่ที่ระดับ 40 – 50% CP LAND จึงมีแผนทางการตลาดโดยเน้นเจาะตลาดองค์กรชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชนจากส่วนกลางที่ต้องการหาพื้นที่อาคารสำนักงานมาตรฐานเทียบเท่าอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯในส่วนภูมิภาค  รวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกต่อผู้ประกอบการตามความต้องการเป็นรายองค์กร พร้อมทั้งเสนอการตกแต่งอาคารสำนักงานให้พร้อมสำหรับเข้าทำงานได้ทันที หรือ Fully Furnished เพื่อดันยอดอัตราการเช่าทุกอาคารสำนักงาน CP Tower ขยายตัวสู่ระดับ 90% ภายในต้นปี 2568 ให้ได้ตามเป้าหมา


สำนักงานให้เช่าของ CP LAND ภายใต้ชื่อ CP Tower  มีทั้งหมด 13 แห่ง แบ่งเป็น 4 อาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพในย่านธุรกิจใจกลางเมือง  ให้บริการองค์กรชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ 1.CP Tower 1 (สีลม) ใจกลางแหล่งที่มีการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจสูงสุด  มีการคมนาคมที่สะดวกด้วยรถไฟฟ้า (BTS) สถานีศาลาแดง   และรถไฟใต้ดิน  (MRT) สถานีสีลม รวมถึงมีพื้นที่บริการสำหรับร้านค้าปลีก  2.CP Tower 2 (ฟอร์จูน ทาวน์ ) มีรูปแบบเป็นอาคารมิกซ์ยูส   ประกอบไปด้วยโรงแรมแกรนด์ฟอร์จูนกรุงเทพ    โลตัสซุปเปอร์มาร์เก็ต  สำนักงาน และศูนย์การค้าฟอร์จูน ทาวน์  (Fortune Town) ตั้งอยู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) พระราม 9 3.CP Tower 3 (พญาไท) ศูนย์รวมสถาบันกวดวิชาชื่อดัง สำนักงานและ มีพื้นที่สำหรับค้าปลีก  เชื่อมรถไฟฟ้า (BTS) เเละรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ (ARL) สถานีพญาไท   เและ 4.CP Tower นอร์ธปาร์ค (ถนนวิภาวดีรังสิต)


“CP Tower นอร์ธปาร์ค ตั้งอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต ทำเลศักยภาพกรุงเทพฝั่งเหนือ ถือเป็นอาคารสำนักงานแห่งใหม่ล่าสุดของ CP LAND มีความโดดเด่นที่สุดอีกแห่งในกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นอาคารอัจฉริยะ (Smart Building) ภายใต้คอนเซ็ปต์ในการออกแบบ ‘สำนักงานวิวสวน’ หรือ ‘Office in The Park’ ให้พนักงานสามารถสัมผัสการทำงานที่แวดล้อมด้วยพื้นที่ธรรมชาติสีเขียวขนาดใหญ่ ด้วยบรรยากาศที่รื่นรมย์ ผสมกับเทคโนโลยีทันสมัยที่อนุรักษ์พลังงาน ได้รับมาตรฐาน BEC (Building Energy Code) จากกระทรวงพลังงาน  มีการวางผังพื้นที่เช่าสำนักงานมีความยืดหยุ่นสูงและเข้าใจธุรกิจ โดดเด่นด้วยขนาดของพื้นที่เช่าต่อชั้นที่ใหญ่ พร้อมรองรับความต้องการที่แตกต่างของทุกรูปแบบทางธุรกิจในปัจจุบัน  ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของพนักงานรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มีความต้องการที่จะ Work Life Balance จึงเชื่อว่าเป็นอาคารสำนักงานคอนเซ็ปต์นี้จะสามารถผลักดันให้อัตราการเช่าพื้นที่ของอาคาร CP Tower นอร์ธปาร์ค เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 90% ได้ตามแผนการที่กำหนดอย่างแน่นอน” นายชัยวัฒน์ กล่าว

สำหรับอาคาร CP Tower ในภูมิภาคนั้น ถูกยกระดับมาตรฐานเทียบเท่ากับอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ
มีทั้งหมด 9 อาคาร  ใน 7 จังหวัด ได้แก่ ภาคตะวันออกฉียงเหนือ 5 อาคาร  1.CP Tower ขอนแก่น  3 แห่ง  2.CP Tower อุดรธานี 3.CP Tower นครราชสีมา  ภาคใต้ 3 อาคาร 4.CP Tower นครศรีธรรมราช. 5.CP Tower หาดใหญ่ 6.CP Tower สุราษฎร์ธานี และ ภาคเหนือ 1 อาคาร  7.CP Tower พิษณุโลก 

“อาคารสำนักงานให้เช่าส่วนภูมิภาค CP Tower เรียกได้ว่าเป็น ‘ผู้นำ หรือ First Mover’ โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นหัวเมืองหลัก เนื่องจากอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยเกิน 50% โดย 3 จังหวัดที่มีอัตราการเช่าสูงที่สุด ได้แก่ 1.CP Tower ขอนแก่น ทั้งหมด  3 แห่ง อัตราการเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 84%  2.CP Tower หาดใหญ่ อัตราการเช่าอยู่ที่ 80% และ 3.CP Tower พิษณุโลก อัตราการเช่าอยู่ที่ 77% ทั้งนี้ปัจจุบันลูกค้าหลักของ CP Tower ระดับภูมิภาค ประกอบด้วย กลุ่มงานราชการ และกลุ่มบริษัทเอกชนธุรกิจบริการ ได้แก่ สินเชื่อ ประกันภัย และคอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งกำลังขยายไปยังกลุ่มธุรกิจประเภทเทคโนโลยีและสุขภาพอีกด้วย” นายชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

ผู้สนใจที่กำลังหาอาคารสำนักงานมาตรฐานทั้งในกรุงเทพฯและส่วนภูมิภาค
สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 083 989 1505, 091 774 9233  เว็บไซต์ www.cptower.co.th
หรือ Facebook Page: CP Tower

• CP LAND ตั้งเป้ายอดเช่าอาคาร ภายใต้ชื่อ CP Tower ทั้ง 13 อาคาร ทะลุ 90% ภายในต้นปี 2568 

• CP LAND รุกธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าทั่วไทย ชูความเป็นผู้นำ ‘First Mover’ อาคารสำนักงานส่วนภูมิภาค

• CP Tower กำลังเข้ากลับเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวตามอุตสาหกรรมที่มีการฟื้นตัว อัตราการปัจจุบันเช่ากว่า 50%

• CP Tower ในกรุงเทพฯ 4 แห่ง อัตราการเช่าอยู่ที่ระดับ 80 – 90%

• CP Tower ส่วนภูมิภาค 9 แห่ง อัตราการเช่าอยู่ที่ระดับ 40 – 50%

• CP Tower เผย 3 จังหวัดที่มีอัตราการเช่าสูงที่สุด ได้แก่ 1.CP Tower ขอนแก่น อัตราการเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 84%  2.CP Tower หาดใหญ่ อัตราการเช่าอยู่ที่ 80% และ 3.CP Tower พิษณุโลก อัตราการเช่าอยู่ที่ 77%

#ออฟฟิศ #สำนักงาน #Office #อาคารสำนักงาน #OfficeBuilding #อาคารสำนักงานเช่า #สำนักงานเช่า #ออฟฟิศเช่า #เช่าสำนักงาน #สำนักงานมาตรฐาน #เช่าออฟฟิศ #OfficeForRent #ซีพีทาวเวอร์ #CPTower #OfficeInThePark #ซีพีทาวเวอร์นอร์ธปาร์ค #CPTowerNorthPark #ซีพีแลนด์ #CPLAND


สวส.จัดแถลงข่าวงานประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคม ประจำปี 2566

วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2566 : นางนภา เศรษฐกร ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ร่วมแถลงข่าวการจัดงานประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคม ประจำปี 2566 พร้อมทั้งเชิญ อาจารย์ชูศักดิ์
จันทยานนท์ ประธานการประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคมประจำปี 2565 และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สันติ เติมประเสริฐสกุล นักวิชาการผู้สรุปประเด็นการสนทนากลุ่มย่อยจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิสาหกิจเพื่อสังคม ร่วมแลกเปลี่ยนประเด็นการจัดงานประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคม ประจำปี 2566 ณ C ASEAN SAMYAN  CO-OP ศูนย์การค้าสามย่าน มิตรทาวน์                                                                                                                                                                                                



นางนภา เศรษฐกร ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม กล่าวว่า กระบวนการสมัชชา ถือเป็นกลไกหนึ่งในการรับฟังความคิดเห็น และเพื่อปรึกษาหารือและตัดสินใจประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นปัญหา โดยฉันทามติหรือการลงคะแนนเสียงซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 โดยในการประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคม ประจำปี 2565 สามารถสรุปมติในที่ประชุมเป็น ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายได้ 6 นโยบาย ดังนี้ นโยบายที่ 1 พัฒนาศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจเพื่อสังคมเพื่อพัฒนาศักยภาพ วิสาหกิจเพื่อสังคม นโยบายที่ 2 พัฒนาฐานข้อมูลแหล่งเงินทุนและทรัพยากรแก่ วิสาหกิจเพื่อสังคม นโยบายที่ 3 พัฒนากลไกการให้บริการแก่วิสาหกิจเพื่อสังคม นโยบายที่ 4 ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การตระหนักรู้เรื่องวิสาหกิจเพื่อสังคมให้ เป็นที่รู้จักนโยบายที่ 5 สร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการทำธุรกิจของวิสาหกิจเพื่อสังคม และนโยบายที่ 6 พัฒนาเครื่องมือวัดผลกระทบทางสังคมของวิสาหกิจเพื่อสังคมในบริบทของไทย ซึ่งสำนักงานได้จัดทำโครงการที่สอดคล้องเพื่อตอบโจทย์การขับเคลื่อนในปีที่ผ่านมา 


นางนภา เศรษฐกร ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม กล่าวว่า กระบวนการสมัชชา ถือเป็นกลไกหนึ่งในการรับฟังความคิดเห็น และเพื่อปรึกษาหารือและตัดสินใจประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นปัญหา โดยฉันทามติหรือการลงคะแนนเสียงซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 โดยในการประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคม ประจำปี 2565 สามารถสรุปมติในที่ประชุมเป็น ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายได้ 6 นโยบาย ดังนี้ นโยบายที่ 1 พัฒนาศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจเพื่อสังคมเพื่อพัฒนาศักยภาพ วิสาหกิจเพื่อสังคม นโยบายที่ 2 พัฒนาฐานข้อมูลแหล่งเงินทุนและทรัพยากรแก่ วิสาหกิจเพื่อสังคม นโยบายที่ 3 พัฒนากลไกการให้บริการแก่วิสาหกิจเพื่อสังคม นโยบายที่ 4 ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การตระหนักรู้เรื่องวิสาหกิจเพื่อสังคมให้ เป็นที่รู้จักนโยบายที่ 5 สร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการทำธุรกิจของวิสาหกิจเพื่อสังคม และนโยบายที่ 6 พัฒนาเครื่องมือวัดผลกระทบทางสังคมของวิสาหกิจเพื่อสังคมในบริบทของไทย ซึ่งสำนักงานได้จัดทำโครงการที่สอดคล้องเพื่อตอบโจทย์การขับเคลื่อนในปีที่ผ่านมา  

นางนภา กล่าวต่อว่า การจัดงานประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคม ประจำปี 2566 ในครั้งนี้มีความแตกต่างกับปีที่แล้ว โดยในปีนี้ สำนักงานฯได้จัดให้มีการประชุมสนทนากลุ่มย่อยหรือ Focus Group ผ่านระบบออนไลน์ รวมจำนวนทั้งหมด 4 ครั้ง ร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจเพื่อสังคมขนาดรายย่อย ขนาดเล็ก และขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ รวมถึงกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ  ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน ได้ประเด็นที่น่าสนใจจำนวน 4 ประเด็น ดังนี้ แนวทางสร้างการรับรู้สำหรับวิสาหกิจเพื่อสังคม แนวทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของวิสาหกิจเพื่อสังคม แนวทางการสร้างผลกระทบเพื่อสังคม (Social Impact) สำหรับวิสาหกิจเพื่อสังคม และแนวทางการสร้างกำลังคนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้วิสาหกิจเพื่อสังคม (Capacity Building) พร้อมทั้งมีภารกิจตรวจเยี่ยมวิสาหกิจเพื่อสังคมเพื่อสอบถามถึงปัญหา ความต้องการ ของผู้ประกอบกิจการ เพื่อนำมาเป็นประเด็นประกอบในการประชุมสมัชชาครั้งนี้อีกด้วย                                         


การจัดการประชุมสมัชชาในปีจะจัดขึ้นในวันที่ 6-7 กรกฎาคม 2566 ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ซึ่งนับว่าการประชุมสมัชชาฯจะมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการขับเคลื่อนวิสาหกิจเพื่อสังคมในปีถัดไป และการประชุมสมัชชาวิสาหกิจเพื่อสังคมจะเต็มไปด้วยการระดมความคิดเห็นเพื่อขับเคลื่อนนโยบายภายใต้ความยั่งยืนอย่างแท้จริง  นางนภา กล่าวทิ้งท้าย

SEAL M SEA อัปเดตใหญ่ครั้งแรก ‘ฉลองเพิ่มคอนเทนต์ใหม่’

Playwith อัปเดตใหญ่ SEAL M SEA ครั้งแรก วันที่ 8 มิถุนายนนี้ ขยาย Max level เป็น 60 พร้อมเปิดแผน
ที่ใหม่ “Western Laywook Forest” อีกทั้งยังเพิ่ม Party Dungeon ใหม่ด้วย เพิ่มระบบพัฒนาตัวละครใหม่ ระบบ ‘Collection’ ระบบหลักใหม่สำหรับการพัฒนาตัวละคร อัปเกรดความสนุกไปด้วยกิจกรรมกิลด์ Guild Mission, Guild Research, Guild Collection

หลังจากที่ Playwith เปิดตัว SEAL M SEA ไปได้ 4 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้ความสนุกจางหายไป เราจึงดำเนินการอัปเดตใหญ่ครั้งแรก ซึ่งการอัปเดตครั้งนี้ จะมีการเพิ่มคอนเทนต์เพื่อพัฒนาตัวละครที่หลากหลาย ที่เหล่าผู้เล่นเฝ้ารอคอยกันมา โดยเน้นไปที่การพัฒนาตัวละครด้วยหลากหลายวิธีและตรงกับความต้องการของผู้เล่น โดยเฉพาะในการอัปเดตครั้งนี้จะดึงดูดให้ผู้เล่นสนุกกับการเล่นมากขึ้น ผ่านกิจกรรมกิลด์ที่หลายหลาย ซึ่งจะให้สมาชิกกิลด์สามารถเข้าร่วมทำภารกิจได้ด้วย



นอกจากการขยายเลเวลสูงสุดไปถึง 60 แล้ว ยังเปิดแผนที่ใหม่ “Western Laywook Forest”โดยจะมีหมู่บ้านของชาวยิปซีอยู่ที่ใจกลางแผนที่ใหม่นี้ ซึ่งในที่แห่งนี้เราจะต้องช่วย Tristan และเหล่าอัศวินต่อสู้กับพวกเบล (หรือมอนสเตอร์นั่นเอง) เพื่อปกป้องหมู่บ้าน รวมถึงการเพิ่ม Party Dungeon ใหม่ “Debussy”

ซึ่งจะแตกต่างจากดันเจี้ยนอื่น โดยบรรยากาศจะเป็นแบบลึกลับ น่าค้นหา แต่เหล่านักผจญภัย จะต้องระมัดระวังให้ดี เพราะเหล่ามอนสเตอร์จะหลั่งไหลเข้ามาในแบบที่อาจคาดไม่ถึงที่ “Debussy” จะมีโอกาสได้รับวัตถุดิบในการสร้างอุปกรณ์ในตำนานได้อีกด้วย ดังนั้นดันเจี้ยนนี้จะเป็นที่ดึงดูดของเหล่านักผจญภัยให้เข้ามาท้าทายกันอย่างล้มหลามแน่นอน



อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ จุดที่โดดเด่นที่สุดในการอัปเดตครั้งนี้ก็คือ กิลด์ ซึ่งจะแตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่มีเพียงฟังก์ชั่นการเช็กชื่อเพื่อรับเหรียญเท่านั้น จากนี้จะมี Mission และ Research ที่กิลด์จะต้องทำในส่วนของ Mission นั้น เมื่อทำสำเร็จจะได้รับรางวัลและรวมถึงค่าประสบการณ์ของกิลด์ นอกจากนี้ยังสามารถทำการ Research โดยใช้กองทุนกิลด์เพื่อจะได้รับบัฟที่เป็นประโยชน์ได้อีกด้วย


07 มิถุนายน 2566

ททท. ร่วมกับเซ็นทรัลพัฒนา ปั้นกลยุทธ์ “Sustainable Tourism Ecosystem”

ดันเที่ยวไทยบูมทั่วประเทศ ปั้นเมืองรอง กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น พร้อมเผยงบสนับสนุนการพัฒนาชุมชนทั่วประเทศ 400 ล้านบาทต่อปี  

วันนี้ (7 มิถุนายน 2566) นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้เกียรติกล่าวเปิดงานแคมเปญ "เที่ยวไทยถึงถิ่น เที่ยวได้ทั้งปี" GO LOCAL, LOVE LOCAL โดยมี ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด คุณอุทัยวรรณ อนุชิตานุกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบริหารความเป็นเลิศและการพัฒนาอย่างยั่งยืนบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมของแผนงาน ปั้นเมืองรอง กระตุ้นท่องเที่ยว กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ชูจุดแข็งศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ ภายใต้ 3 แนวคิด ได้แก่  

1) Retail-Led Tourism: ชูศูนย์การค้าเป็นเดสติเนชั่นสร้างเครือข่ายท่องเที่ยวชุมชน

2) Cross-Region Mode!: ส่งเสริมการท่องเที่ยวข้ามถิ่นข้ามภาค และ

3) National Soft Power ดึง DNA เมืองรอง จับมือท้องถิ่นสร้างอีเว้นท์ดึงดูดตลอดปี


โดยแคมเปญ "GO LOCAL, LOVE LOCAL" นำร่องเฟสแรก 4 จังหวัด ได้แก่ 

1. นครศรีธรรมราช - ดื่มด่ำเสน่ห์แห่ง “ธรรมะ-ธรรมชาติ-วัฒนธรรม” ที่ไม่ธรรมดา โปรโมท ธรรมะแลนด์มาร์กที่สายมูต้องไม่พลาด , “ธรรมชาติ” สุดอันซีน เห็นแล้วต้องอยากแชร์ให้ลูกรู้, และ “วัฒนธรรม” สัมผัสไลฟ์สไตล์ของคนท้องถิ่นแบบอินไซด์

2. อยุธยา - ท่องเที่ยวกรุงเก่าด้วยมุมมองใหม่ได้อรรถรส สัมผัสเมืองมรดกโลก, ไหว้พระทำบุญชมโบราณสถาน,สายคาเฟ่-สายกิน ฟินของอร่อย และท่องเที่ยวสไตล์วิถีชุมซน

3. อุบลราชธานี -สัมผัสสน่ห์กับ 4 แสงแห่งดินแดนอีสานใต้ ได้แก่ แสงแรกยามรุ่งอรุณ, แสงธรรมจากเกิจิอาจารย์ดัง, แสงเทียนแห่งประเพณีสุดงดงาม, และแสงอาทิตย์สุดล้ำเพื่อพลังงานสะอาด

4. จันทบุรี - อินและฟินกับเมืองท่องเที่ยวเนื้อหอมแห่งภาคตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นดื่มต่ำความงดูงามแห่งธรรมชาติสุดหลากหลาย, เต็มอิ่มกับผลไม้เลื่องชื่อเมืองจันท์ และมนต์เสน่ห์ชุมชนริมน้ำสุดคลาสสิก


แคมเปญ ดังกล่าวฯ ที่เป็นต้นแบบที่ดีการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแบบได้ประโยชน์ทั้ง ห่วงโซ่อุปทาน ช่วย ททท. ไม่ว่าจะด้วยเรื่อง Dive Demand , Shape Supply หรือแม้แต่การ

Thieve for Excellence ททท.จะเดินคู่ไปกับหน่วยงาน พันธมิตร แบบ 360 องศา ร่วมกัน

พัฒนา ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ กับแผนยุทธศาสตร์ ของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด

(มหาชน) ผลักดัน การท่องเที่ยวชุมชน "เที่ยวไทยถึงถิ่น เที่ยวได้ทั้งปี" (Go Local , Love

Local) ซึ่งสอดรับกับนโยบาย The Link การเชื่อม Local To Global เพื่อให้ประเทศไทยเป็น

สวรรค์ทางการท่องเที่ยวได้ทั้งปี Thailand All Year Round , 365 มหัศจรรย์ เมืองไทยเที่ยวได้ทุกวัน และพร้อมส่งมอบประสบการณ์ Tourism Experience ให้กับผู้เยี่ยมเยือนทุกท่านได้ประทับใจ กลายเป็นความทรงจำและอยากจะกลับมาอีกทุกครั้งที่คิดถึง

#TheLinkLocaltoGlobal

#partnership360

#GoLocalLoveLocal