เที่ยวทั่วไทย อร่อยทั่วโลก อัพเดทข่าวรายวัน Lifestyle บันเทิง ทันทุกกระแสข่าว!

21 ตุลาคม 2567

ชุมชนแม่จริม จังหวัดน่าน ตัวอย่างการบูรณาการทุกมิติ

โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงแม่จริมมีพื้นที่รับผิดชอบทั้งตำบลแม่จริม ครัวเรือนทั้งหมด 587 ครัวเรือน และจำนวนประชากรทั้งหมดจำนวน 2,325 คน ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม พืชหลักได้แก่ ข้าว ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง และเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น และประชากรบางส่วนประกอบอาชีพนอกภาคเกษตรกรรม ได้แก่ หัตถกรรม จักสานหวาย และการทำไม้กวาดดอกหญ้า พื้นที่ทำกินส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เพราะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา และเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออกตอนใต้ 



อย่างไรก็ตาม “ตำบลแม่จริม” มีการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเป็นระบบ ราษฎรรวมกลุ่มขออนุญาตทำกินในพื้นที่ป่าสงวนตามมาตร 19 ของกรมป่าไม้ ปัจจุบันทำให้เกษตรกรในพื้นที่ตำบลแม่จริม สามารถทำกินได้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ยังมีปัญหาความยากจนอยู่เพราะทำเกษตรไม่ถูกต้องไม่ตอบโจทย์ มีการใช้พื้นที่มากในการปลูกข้าวโพดทำให้เกิดปัญหาหมอกควัน และใช้สารเคมี และรายได้ไม่เพียงพอ มีปัญหาหนี้สินสะสม 

ต่อมาสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาเรื่องปากท้องตำบลแม่จริมอย่างบูรณาการ ทั้งกำหนดแผนการพัฒนาชุมชน และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วย และกำหนดแผนที่ดินรายแปลงพัฒนาทั้งชุมชน มีการส่งเสริมปลูกพืชผักและไม้ผล ลดพื้นที่การปลูกข้าวโพด และปัญหาหมอกควัน

นายมนัส กุณนา หัวหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงแม่จริม สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) กล่าวว่า การพัฒนาตำบลแม่จริม มีการใช้แผนที่ดินรายแปลงเป็นตัวขับเคลื่อนชุมชน และหาส่วนร่วมการทำงานของคนในพื้นที่ทำให้การวางแผนในการแก้ปัญหาที่เป็นระบบ กรมป่าไม้อนุญาตให้มีการพัฒนาพื้นที่ได้ถูกต้องบนพื้นที่ป่าสงวน ตามกฎหมายมาตร 19 โดยอยู่ภายใต้การส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกพืชผลไม้ยืนต้นในแนวทางขององค์ความรู้โครงการหลวง ทำให้เกิดการแก้ปัญหาในทุกมิติ สามารถแก้ปัญหาเรื่องปากท้อง เพิ่มรายได้ปลดเปลื้องหนี้สินให้ลดน้อยลง มีรายได้จากการประกอบอาชีพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีผักปลอดภัยบริโภคในชุมชน 

ทำให้วันนี้ชุมชนตำบลแม่จริม เป็นชุมชนที่อยู่เย็นเป็นสุข ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นพ้นขีดความยากจน ต่อยอดการทำการเกษตรตามแนวของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน มีการรณรงค์ให้ปลูกป่า เพิ่มพื้นที่สีเขียวขึ้นมากกว่า 7,890 ไร่ ตามแผนของชุมชนตำบลแม่จริม ที่จะก้าวไปสู่การขายคาร์บอนเครดิตในอนาคตและเป็นแหล่งเรียนรู้ในการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนตามแนวทางของ SDGs ต่อไป 

นายสายันต์ ไฟด้วง ผู้นำเกษตรกรบ้านตอง กล่าวว่า  เกษตรกรในตำบลแม่จริมดั้งเดิมมีอาชีพหลักคือปลูกข้าวโพด ทำไร่เลื่อนลอย มีส่วนทำให้เกิดปัญหาไฟป่าซ้ำซาก และปัญหาหมอกควัน น้ำไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตร และมีหนี้สินสะสม ต่อมาสวพส. ได้เข้ามาส่งเสริมและพัฒนาพื้นที่ทั้งระดับชุมชนและอำเภอ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  มีการเพิ่มฝายชุมชน ทำระบบป่าไผ่ เพิ่มระบบนิเวศในพื้นที่ต้นน้ำได้ภายใน 5 ปี

ปัจจุบันเกษตรในพื้นที่มีสิทธิ์ทำกินในพื้นที่อย่างถูกต้องและชัดเจน ชุมชนสามารถรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ต่อยอดการตลาดและการมีรายได้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีสมาชิก 178 ราย มีเงินทุนหมุนเวียนกว่า 1.3 ล้านบาท และยกระดับตำบลแม่จริมเป็นตำบลต้นแบบ ของการพัฒนาพื้นที่สูงที่ประสบผลสำเร็จในการแก้ไขปัญหาความยากจน บนพื้นที่สูง ในทุกมิติด้วยการบูรณาการนับเป็นชุมชนต้นแบบ ตามโจทย์การพัฒนาพื้นที่สูง  คนอยู่ได้ ป่าอยู่ได้    

สนอ. จัดสอนศิลปะจีนวาดภาพดอกโบตั๋นด้วยพู่กันจีน


สมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนอ) จัดสอนศิลปะจีนวาดภาพดอกโบตั๋นด้วยพู่กันจีน กับอาจารย์หลู ฉาน ยุน 





โดยมี ดร.จินดารัตน์ ชุมสาย ณ อยุธยา,จันทิมา นะวิโรจน์,กมลวัน บุณยัษฐิติ ,อรรัตน์ มนูธรรม, พรปวีณ์ จุลจัตตะ,เหมือนแพร กุสสลานุภาพและ  เอิร์ธ สายสว่าง...เข้าร่วมงานด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ ที่สมาคม ฯ


#toptotravel

19 ตุลาคม 2567

”พิชัย“ เปิด Bangkok Jewelry Week 2024

ปักหมุด Landmark กรุงเทพฯ บางรัก-สัมพันธ์วงศ์-พระนคร เป็นถนนท่องเที่ยวสายอัญมณีและเครื่องประดับไทย ต้อนรับผู้รักอัญมณีจากทั่วโลก

วันที่ 19 ตุลาคม 2567 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน Bangkok Jewelry Week 2024 (เส้นทางถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับ) จัดโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)  ณ ลานมิ่งเมือง ชั้น 1 ศูนย์การค้า  ดิโอลด์สยาม พลาซ่า เป็นโครงการพัฒนาต่อยอดเครื่องประดับ เพื่อการท่องเที่ยวชุมชนเก่าแก่เชิงสร้างสรรค์บนถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับในกรุงเทพมหานคร เริ่มตั้งแต่บางรัก สัมพันธ์วงศ์ และพระนคร ซึ่งถือได้ว่าเป็นชุมชนเก่าแก่และเป็นสัญลักษณ์ของการเติบโตของชุมชนเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน เป็นแหล่งที่รวมพหุวัฒนธรรม และงานฝีมือ การผลิตอัญมณีและเครื่องประดับที่มีอัตลักษณ์ สร้างการจดจำ นำ Soft Power ท้องถิ่นให้ทั่วโลกได้เห็นมากยิ่งขึ้น




นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การจัดงาน Bangkok Jewelry Week 2024 นับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งและเป็นก้าวแรกสร้าง Landmark แห่งใหม่ให้กับกรุงเทพมหานคร สร้าง“เส้นทางท่องเที่ยวสายอัญมณีและเครื่องประดับ: บางรัก สัมพันธ์วงศ์ พระนคร” ผลักดันให้กรุงเทพ และประเทศไทยเป็น “หมุดหมาย” ของผู้ที่รักอัญมณีและเครื่องประดับ ให้กับทุกคนที่คิดจะซื้ออัญมณีหรือเครื่องประดับต้องคิดถึงประเทศไทย และ ตรงมาที่ Landmark แห่งนี้ ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าจะได้เครื่องประดับที่มีมาตรฐานอย่างแน่นอน ผ่านการรับรองจากสถาบัน GIT และการเป็นสมาชิกในโครงการเลือกซื้อด้วยความมั่นใจ (Buy With Confidence) 


นอกจากนี้ ยังได้เห็นความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ และเอกชนทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ เป็นพี่เลี้ยงหรือกูรูให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก และรายย่อย เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ๆ และผู้ประกอบการจากภูมิภาคต่างๆ มาแสดงผลงานและจำหน่ายสินค้า ให้คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก เปิดโอกาสให้คนที่อยากจะมีแบรนด์เป็นของตัวเอง หรืออยากมีเครื่องประดับฝีมือตนเอง ได้เข้ามาทดลองผ่าน Workshop และนิทรรศการต่าง ๆ รวมถึงการเปิดให้เข้าชมโรงงานผลิตเครื่องประดับแบบ Exclusive เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับ บางรัก สัมพันธวงศ์ และพระนคร ผ่านการท่องเที่ยวที่มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติเข้าร่วมชมงานและเลือกซื้อสินค้าที่มีมาตรฐาน อีกทั้ง จะสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แปลกใหม่และน่าสนใจบนเส้นทางถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับ ที่สร้างการรับรู้ด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาความเป็น “Thailand: Land of Jewel” และช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป



“ผมทำจิวเวอรี่มาก่อน ดีใจที่ธุรกิจนี้เติบโต เป็นธุรกิจที่คนซื้อดีใจคนขายก็ดีใจ เป็นธุรกิจที่ดี ทุกวันนี้ก็ยังติดตามราคาอัญมณีและทองอยู่เสมอ วันนี้ทองก็ยังมีแนวโน้มจะขึ้น เพราะคนมาถือทองมากขึ้น ยังมีโอกาส และสำหรับเพชรพลอยและเครื่องประดับตนเชื่อว่ายังสามารถโตได้  ซึ่งผมและกระทรวงพาณิชย์ จะส่งเสริมจิวเวอรี่ต่อไป ยินดีช่วยแก้ไขปัญหาให้ผู้ประกอบการอย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถส่งออกและขายได้ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงและมีผู้เกี่ยวข้อง มีการจ้างงานเป็นจำนวนมาก สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้มาก” นายพิชัยกล่าว






ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานฯ นายพิชัยได้มอบใบรับรองโครงการเลือกซื้อด้วยความมั่นใจ (Buy With Confidence) ให้กับผู้ประกอบการ จำนวน 25 ราย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับให้กับผู้บริโภคด้วย สำหรับงานเทศกาลเส้นทางการท่องเที่ยวถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับ Bangkok





Jewelry Week 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-25 ตุลาคม 2567 พร้อมมีกิจกรรม Press Tour สถานที่ท่องเที่ยวและเยี่ยมชม Landmark ธุรกิจอัญและเครื่องประดับที่สำคัญในเขตบางรักและเขตสัมพันธวงศ์ด้วย สำหรับผู้สนใจ 


ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 

Facebook Fan page : Bangkok Jewelry Week

18 ตุลาคม 2567

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิด “ห้องสมุดมารวย”


ตลอดระยะเวลา 20 ปี นับจากวันที่ 18 ตุลาคม 2547 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิด “ห้องสมุดมารวย” เพื่อให้เป็นห้องสมุดเฉพาะทางด้านตลาดทุนครบวงจรของผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุน ผู้ลงทุน และประชาชนทั่วไป ภายใต้แนวคิด “ห้องสมุดมีชีวิต” ที่มีการเชื่อมต่อข้อมูลความรู้ในทุกมิติของการเงินการลงทุนพร้อมกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ไว้อย่างครบครัน

โดยในวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ห้องสมุดมารวยจัดงานฉลองครบรอบ 20 ปี โดยมีศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดงาน และจัดกิจกรรมเสวนาพิเศษภายใต้หัวข้อ “ชีวิตติดการอ่าน : We are Readaholics” โดยวิทยากรร่วมเสวนาในโอกาสพิเศษนี้ ได้แก่ เฌอปราง อารีย์กุล ผู้จัดการวง BNK 48  และนริศพงศ์ รักวัฒนานนท์ นักเขียนรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2566  ดำเนินรายการโดยจิรัฐิติ ขันติพะโล และห้องสมุดมารวยยังได้จัดมุมหนังสือใหม่ ชื่อ “Sustainability for Life” ที่รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับความยั่งยืนอย่างครบครัน เพื่อให้ผู้ใช้บริการเข้าถึงได้ง่ายในที่เดียว

ห้องสมุดมารวยยังได้จัดแสดงนิทรรศการ 20 ปี ห้องสมุดมารวยและนิทรรศการ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย เปิดให้เข้าชมและใช้บริการห้องสมุดได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9:00-19:00 น. ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก พร้อมทั้งติดตามข้อมูลข่าวสารของห้องสมุดได้ที่ www.maruey.com

15 ตุลาคม 2567

deeSMSX โชว์จุดแข็ง “ราคาที่คุ้มค่าที่สุดในตลาด”

ลุยบริการส่ง SMS อย่างเหนือชั้น หนุนการสื่อสารธุรกิจอย่างทรงพลัง

“ดีคอมเมิร์ซ กรุ๊ป” ส่งแบรนด์ deeSMSX บริการส่งข้อความสั้น เสริมประสิทธิภาพการสื่อสารธุรกิจ เสนอบริการแบบครบวงจร ยืดหยุ่นได้ ติดตามแบบเรียลไทม์ ในราคาคุ้มค่าที่สุดในตลาด พร้อมเทคโนโลยี AI เสริมความปลอดภัย เชื่อถือได้ เผย ส่งSMS ยังทรงพลัง เหนือชั้นกว่าสื่อโซเชียล ด้วยจุดแข็งการสื่อสารที่ตรงจุด เข้าถึงได้โดยไม่พึ่งอินเตอร์เน็ต ชี้แนวโน้มตลาดเติบโตต่อเนื่อง OTP ยังคงมาแรง ด้านสถานการณ์มิจฉาชีพยังรุนแรง เตือนผู้บริโภคตระหนักพร้อมตั้งรับภัยคุกคาม

นายชินนริทธิ์ โชติสุริยพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีคอมเมิร์ซ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจการส่งข้อความสั้น (SMS) ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการเติบโตของสื่อโซเชียลมีเดีย แต่การส่งSMS ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับธุรกิจในประเทศไทย เนื่องจากเป็นช่องทางที่น่าเชื่อถือในการเข้าถึงลูกค้าได้โดยตรงจุดทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ SMS ยังมีอัตราการเปิดอ่านที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับอีเมลหรือสื่อโซเชียล

ปัจจุบันบริการส่งSMS ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการแจ้งเตือนแบบ OTP (One-Time Password) สำหรับการยืนยันตัวตน และการส่งข้อความแจ้งเตือนการทำธุรกรรมต่าง ๆ รวมถึงการใช้ SMS เพื่อการตลาดที่เข้าถึงลูกค้าได้แบบเฉพาะเจาะจง  ปัจจัยหลักที่กระตุ้นการเติบโตของธุรกิจ ส่งSMS คือ การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและบริการธนาคารออนไลน์ที่ต้องการระบบการยืนยันตัวตนและการแจ้งเตือนที่รวดเร็ว ความจำเป็นในการส่งข้อความแจ้งเตือนที่น่าเชื่อถือและมีความปลอดภัยสูง รวมทั้งการตลาดแบบ  SMS ที่เน้นความตรงจุดและเข้าถึงลูกค้าได้ในทันที 

deeSMSX ยืดหยุ่น แม่นยำ ในราคาคุ้มค่าที่สุดในตลาด
deeSMSX เป็นแบรนด์บริการส่งข้อความสั้น (SMS) ดำเนินการโดย บริษัท ดีคอมเมิร์ซ กรุ๊ป จำกัด ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ก่อตั้งปี 2560 และเปิดบริการส่งข้อความสั้น (SMS) ในปี 2562 ตามใบอนุญาตที่ขอ กสทช. โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล  โดย deeSMSX มีฟีเจอร์การใช้งานที่ครบครัน  อาทิ ความยืดหยุ่นในการชำระเงินตามการใช้งานจริง (Pay-as-You-Go) เทคโนโลยีติดตามผลการส่งข้อความแบบเรียลไทม์ (Real-time Tracking) ราคาที่ย่อมเยาและคุ้มค่าที่สุดในตลาด (Lowest Price) ด้วยอัตราเริ่มต้นเพียง 0.35 บาทต่อข้อความ และราคาต่ำสุด 0.15 บาทต่อข้อความ (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) พร้อมระบบแจ้งผลลัพธ์การส่งข้อความที่รวดเร็วและแม่นยำ (DR Callback) สามารถส่งสถานการณ์ส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของลูกค้าโดยตรง อีกทั้งยังมีบริการทดลองใช้งานฟรี (Free Trial) เพื่อให้ผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งานก่อนตัดสินใจซื้อ ช่วยให้มั่นใจได้ว่า deeSMSX เป็นทางเลือกที่เหมาะสมและมีคุณภาพตามที่ต้องการ

นายชินนริทธิ์  กล่าวเสริมว่า deeSMSX เป็นการพัฒนาต่อยอดจากแบรนด์ deeSMS ซึ่งคำว่า "deeSMS" มาจาก Deecommerce กับ SMS และในภาษาไทย "dee" ยังสื่อถึงคำว่า "ดี" อีกด้วย ดังนั้น deeSMSX จึงหมายถึงการให้บริการ SMS ที่ดีเลิศ ซึ่งมุ่งมั่นตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยบริการที่ยอดเยี่ยม ส่วนการเพิ่มตัวอักษร "X" เข้ามาในแบรนด์ deeSMSX มีความหมายเชิงบวก 4 ประการ  คือ X = Experience:  ประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยม  X = Expansion: การขยายบริการที่ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ  X = Excellence: เน้นความเป็นเลิศในทุกมิติ ทั้งประสิทธิภาพในการส่งข้อความ หรือ ความคุ้มค่าในราคา  และ X = Express: ความรวดเร็ว ในการส่งข้อความและการประมวลผลแบบเรียลไทม์ ทำให้ธุรกิจสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 

สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ หนุนศักยภาพลูกค้าองค์กร 
ปัจจุบัน deeSMSX ให้บริการส่งข้อความสั้น (SMS หรือ Short Message Service) ที่ช่วยให้ธุรกิจและบุคคลทั่วไปสามารถสื่อสารระหว่างอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ด้วยฟังก์ชั่นที่ตอบสนองทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความในประเทศหรือต่างประเทศ ผู้ใช้สามารถเลือกจ่ายตามจำนวนข้อความที่ใช้งานจริง โดยไม่จำเป็นต้องผูกมัดกับแพ็กเกจ  กลุ่มเป้าหมายหลักของ deeSMSX  คือ ลูกค้าองค์กร (B2B) ที่ต้องการเครื่องมือในการสื่อสารทางธุรกิจที่ทรงประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ต้องการส่งข้อความแจ้งเตือน การโฆษณา หรือข้อมูลบริการต่าง ๆ ให้ถึงมือกลุ่มลูกค้าโดยตรงอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง   

ชูเทคโนโลยี AI เสริมความมั่นใจ ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
สำหรับสถานการณ์ของ SMS หลอกลวง (Phishing SMS) ถือเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น นายชินนริทธิ์  ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า มิจฉาชีพเหล่านี้มักส่ง SMS จากต่างประเทศหรือเครือข่ายที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเคร่งครัด ทำให้หลุดรอดการดูแลของหน่วยงานภาครัฐ และส่งผลเสียหายแก่ผู้บริโภค ทั้งในด้านทรัพย์สินและความปลอดภัยส่วนบุคคล ผู้บริโภคจึงควรตระหนักถึงภัยคุกคาม ด้วยการหลีกเลี่ยงการเปิดลิงค์ใน SMS ที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือไม่ได้มาจากแหล่งที่รู้จัก  ปัจจุบัน deeSMSX  เป็นผู้ให้บริการส่งข้อความที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้วยใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง ส่งผลให้ deeSMSX เป็นผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ มีความปลอดภัยสูง และปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการส่งข้อความอย่างเคร่งครัด ป้องกันการนำระบบไปใช้ในทางมิชอบ

ทั้งนี้ deeSMSX ได้นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการตรวจสอบและป้องกันการส่งข้อความที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ นอกจากนี้การใช้ระบบ Cloud ยังช่วยให้ deeSMSX สามารถรองรับการขยายตัวของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ทั้งในและต่างประเทศ

นายชินนริทธิ์ กล่าวในตอนท้ายว่า deeSMSX มุ่งมั่นให้ความสำคัญกับ “SMS คุณภาพดี” ซึ่งหมายถึงการส่งข้อความที่สามารถเข้าถึงผู้รับได้อย่างรวดเร็ว มีความเสถียร ไม่ตกหล่น และสามารถส่งผลลัพธ์ได้ในทันที  มีระบบติดตามผลแบบเรียลไทม์ รวมถึงการส่งข้อความที่คุ้มค่าในราคาที่เหมาะสม  โดย deeSMSX ยังคงมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านบริการส่งข้อความสั้น พร้อมพัฒนาและปรับปรุงเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจยุคใหม่อย่างต่อเนื่อง              

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ deeSMSX บริการส่งSMSคุณภาพดี
พร้อมทดลองใช้ฟรี ที่ https://deesmsx.com

“ไทยกูลิโกะ” เปิดตัว “กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะ มิกซ์ 3 นัท”

เอาใจผู้บริโภคชาวไทยด้วยผลิตภัณฑ์นม กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะ ที่ขายดีอันดับ 1 ในญี่ปุ่น มุ่งขยายตลาดเครื่องดื่ม Plant-Based เมืองไทย

15 ตุลาคม 2567, ประเทศไทย  -  บริษัท ไทยกูลิโกะ จำกัด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่  “กูลิโกะ อัลมอนด์  โคกะ มิกซ์ 3 นัท” อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะ” นมอัลมอนด์ยอดขายอันดับ 1 ในญี่ปุ่น โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ “กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะ” ไปสู่กลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลสุขภาพอย่างพิถีพิถัน ด้วยบริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพที่สำคัญในกลุ่มผลิตภัณฑ์นม Plant-based ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันตลาดมีอัตราการเติบโตกว่า 40% 

“กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะ” เป็นนมอัลมอนด์ยอดขายอันดับ 1 ในญี่ปุ่น 7 ปีซ้อน  นับตั้งแต่มีการเปิดตัวอัลมอนด์ โคกะในตลาดประเทศไทยเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดนม Plant-based หรือนมทางเลือกของไทยอย่างรวดเร็ว โดยผู้บริโภคให้การตอบรับ กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะ เป็นอย่างดี ปัจจุบันตลาดมีมูลค่า 1,800 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 40%  และคาดว่าจะเติบโตต่อไปอย่างต่อเนื่อง


นายเฉลิมพงษ์ ดรงค์สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยกูลิโกะ จำกัด กล่าวว่า “เนื่องจากผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น บริษัทกูลิโกะจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของลูกค้า ด้วยการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยเน้นที่คุณค่าทางโภชนาการและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า(Value)สูง พร้อมทั้งคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและส่งเสริม brand loyalty  บริษัทกูลิโกะมุ่งมั่นที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับผู้บริโภคตาม Purpose “Healthier days, Wellbeing for life” บริษัทฯ ตั้งใจที่จะบรรลุเป้าหมายนี้โดยการส่งเสริมสุขภาพที่ดี สร้างห่วงโซ่คุณค่าที่เน้นลูกค้า และลงทุนในพื้นที่สำคัญต่างๆสำหรับในประเทศไทย เราสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มมากขึ้นจากผลิตภัณฑ์นมทางเลือกจากพืชอย่างนมอัลมอนด์ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในภาคส่วนที่กำลังขยายตัวนี้ และเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ต่อไป เราจึงขอแนะนำ “กูลิโกะ อัลมอนด์  โคกะ มิกซ์ 3 นัท” ที่ทำมาจากถั่ว Superfood 3 ชนิด ได้แก่ อัลมอนด์ วอลนัท และเฮเซลนัท อร่อย ดื่มง่าย ได้ประโยชน์ และดีต่อสุขภาพแบบองค์รวม”

ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เปิดตัว “กูลิโกะ อัลมอนด์  โคกะ มิกซ์ 3 นัท” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของกูลิโกะ เนื่องจากเรามุ่งมั่นที่จะขยายการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Health & Wellness ต่อไปหลังจากได้รับความนิยมมานานหลายทศวรรษจากผลิตภัณฑ์ขนมและไอศกรีม โดยเรามั่นใจว่า“กูลิโกะ อัลมอนด์  โคกะ มิกซ์ 3 นัท” จะมีส่วนช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์ กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะ ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายใน 3 รสชาติ ได้แก่ สูตรดั้งเดิม สูตรไม่เติมน้ำตาล สูตรรสช็อกโกแลต

นางสาวทิฆัมพร เพียรวิจารณ์พงศ์  ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์  Health & Wellness บริษัท ไทยกูลิโกะ จำกัด ยังกล่าวเสริมว่า “กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะ มิกซ์ 3 นัท” มีความโดดเด่นด้วยรสชาติอร่อย กลมกล่อม และหอมอโรมาจากถั่ว 3 ชนิด อัลมอนด์ วอลนัท และเฮเซลนัท ไม่เพียงแต่มีรสชาติอร่อยและดื่มง่ายเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่ส่งเสริมสุขภาพโดยรวมอีกด้วย หากบริโภคอย่างต่อเนื่องนอกจากสุขภาพที่ดีแล้ว ยังจะมีผิวพรรณที่ดีด้วย และด้วยคุณประโยชน์เหล่านี้ บริษัท ไทยกูลิโกะ จึงมั่นใจว่า กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะ จะกลายเป็นเครื่องดื่มประจำวันยอดนิยมในไทยเช่นเดียวกับในญี่ปุ่น และได้มีการดึง “ใหม่ - ดาวิกา โฮร์เน่” เป็นพรีเซนเตอร์ “กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะ” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อกระตุ้นยอดขายและบรรลุเป้าหมายของบริษัท”

ใหม่ ดาวิกา ตัวแทนของ กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะ คือตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจดูแลสุขภาพและความงามในชีวิตประจำวัน พร้อมมุ่งมั่นสู่การมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว เธอเป็นตัวแทนของผู้บริโภคที่มุ่งมั่นในการดูแลผิวพรรณและสุขภาพโดยรวม เพราะ      กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะมีคุณประโยชน์มากมาย อุดมไปด้วยวิตามินอีถึง 100% ของปริมาณที่จำเป็นในหนึ่งวัน  มีใยอาหารสูง  เพิ่มกากใยในระบบอาหาร ช่วยการขับถ่าย และ 0% คอเลสเตอรอล ที่สำคัญยังปราศจากนมวัวและน้ำตาลแล็กโทส ผู้บริโภคเจหรือผู้แพ้นมวัวสามารถรับประทานได้  แม้การแข่งขันในตลาดนม Plant-Based และนมอัลมอนด์จะดุเดือด แต่กูลิโกะก็มั่นใจว่า กูลิโกะ อัลมอนด์ โคกะ จะกลายเป็นเครื่องดื่มที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างดีที่สุด

กูลิโกะ อัลมอนด์  โคกะ มิกซ์ 3 นัท รวมไปถึงสูตรดั้งเดิม สูตรไม่เติมน้ำตาล และสูตรรสช็อกโกแลต
มีจำหน่ายแล้วในร้านค้า ชั้นนำทั่วประเทศ …

5 ปีสู่ความสำเร็จ SS TEXTILE 2009 ก้าว SIMPLY SUSTAIN

ตอบโจทย์มาตรฐาน THAILAND TEXTILE TAG  พัฒนานวัตกรรมใยผ้าสู่ความยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงชุมชนสร้างสรรค์ SS CARE YOU

เอสเอส เท็กซ์ไทล์ 2009 จำกัด (SS Textile 2009) ด้วยประสบการณ์ร่วม 30 ปี ในวงการสิ่งทอ ที่ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำระดับอินเตอร์มากมาย ล่าสุด SS Textile 2009  ยังได้รับมาตรฐานการันตี  THAILAND TEXTILE TAG 2024 หนึ่งใน 22 กิจการ 34 ผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย  ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า รวมทั้งนำจุดเด่นของไทย และการนำความคิดสร้างสรรค์ สร้างความแตกต่างให้กับสินค้าไทย และเพิ่มมาตรฐานของสินค้าสู่ความยั่งยืนในทุก ๆ ด้าน


โดยนายสมเกียรติ วัชระชัยพงษ์ กรรมการผู้จัดการ SS Textile 2009   ได้กล่าวถึง 15 ปีสู่ ความสำเร็จ SS Textile 2009   ในการยกระดับผลิตภัณฑ์สิ่งทอสู่นวัตกรรมความยั่งยืนภายใต้ SIMPLY SUSTAIN ครั้งนี้ว่า  “ด้วยประสบการณ์การทำงานกว่า 30 ปี ในประสบการณ์การทำธุรกิจสิ่งทอทำให้การบริหารงานธุรกิจสิ่งทอภายใต้บริษัท SS Textile 2009  เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ก้าวสู่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ได้รับการยอมรับจากกลุ่มลูกค้าให้เราผลิตสินค้าทั้ง OEM (Original equipment manufacturer) และยังได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าระดับสากลในการเป็นผู้ผลิตให้กับแบรนด์ชั้นนำอย่างมากมาย รวมถึงการได้รับรางวัลการันตี เป็นผู้ผลิต ผ้าผืน เสื้อผ้าสำเร็จรูป เคหะสิ่งทอ และสินค้าไลฟ์สไตล์ ด้วยการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน พร้อมล่าสุดยังได้การรับรองภายใต้ตราสัญลักษณ์คุณภาพผลิตภัณฑ์สิ่งทอไทย (Thailand Textiles Tag) จาก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ในปี 2024 ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อผ้าความคงทนของสี และความปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง รวมถึงวัตถุดิบที่ใช้และกระบวนการผลิตที่เกิดขึ้นในประเทศไทย (Made in Thailand) อีกด้วย

ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจในพัฒนานวัตกรรมใยผ้าของ SS Textile 2009  จึงได้มีการต่อยอดสู่การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และการให้บริการคุณภาพที่คุ้มค่าคุ้มราคา ส่งมอบตรงเวลา ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจในการเริ่มกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ในทุกกระบวนการมีส่วนร่วมในการก้าวสู่ความยั่งยืนไปด้วยกัน 


โดยทั้งนี้ SS Textile 2009  ตอกย้ำความสำเร็จในการนำเสื้อที่ทำจากนวัตกรรมเส้นใยที่ออกแบบเฉพาะของเสื้อ Polo ภายใต้มาตรฐานประหยัดไฟเบอร์ 5  คุณสมบัติของผ้าเรียบโดยไม่ต้องรีดหลังการซัก และต้องเป็นผ้าที่ผ่านมาตรฐาน Thailand Textile tag Cool Mode ซึ่งทุกผลิตภัณฑ์ของ SS Textile 2009  มีคุณสมบัติพิศษในการซับเหงื่อและระบายความร้อนได้ดี โดยมีขอบข่ายครอบคลุม เสื้อชนิดต่างๆ ทั้งเสื้อขนิดผ้าถักอย่าง เสื้อยืดโปโล และผ้าทอ อีกทั้งยังมุ่งมั่นในการใส่ใจมุ่งมั่นพัฒนาทุกการผลิตภัณฑ์สินค้า และพร้อมพัฒนานวัตกรรมเส้นใยผ้าสู่ความยั่งยืน ในทุกๆ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอให้ตอบโจทย์ SIMPLY SUSTAIN อย่างชัดเจน โดยในปี 2567  SS Textile 2009  ยังเตรียมต่อยอดกิจกรรมส่งเสริมการความยั่งยืน ในการเชื่อมโยงการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วน รวมถึงชุมชนสร้างสรรค์ ในหลายๆ พื้นที่ โดยเราจะมีการเรียนรู้การจัดการขยะและการส่งเสริมการเรียนรู้การต่อยอดนวัตกรรมจากเส้นใยขยะหรือขวดเพทมาสร้างมูลค่าเพิ่มกับชุมชนในพื้นที่ พร้อมจับมือพันธมิคร กลุ่ม ชุมชน เน้นเรื่องการสร้างชุมขนสร้างสรรค์ ในโครงการ ‘SS Care You’  เริ่มในไตรมาส 4 ของปี 2567

โดยการตอกย้ำนโยบาย Simply Sustain กับกิจกรรมแรกของโครงการ ‘SS Care You’  ในงาน ERIC RUN 2024 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 29 กันยายนนี้ ของสถาบันสภาวะแวดล้อม จุฬา ทาง SS Textile 2009 จะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาให้ผู้ร่วมงาน นักวิ่ง กว่า 1,000 คนได้รู้จักและเรียนรู้กันในงาน และในวันที่ 26-27 ตุลาคมที่จะถึงนี้ เรายังจัดโครงการ ‘SS Care You’ กันอย่างต่อเนื่อง ในการเชื่อมโยงกับกิจกรรมการมีส่วนร่วมกับชุมชนยั่งยืน ภายใต้ชื่อ SS Care You จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ปราณบุรี สามร้อยยอด โดยกิจกรรมเน้นกิจกรรมสร้างสรรค์กับชุมชนในพื้นที่ปราณบุรี สามร้อยยอด เรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในพื้นที่ และร่วมกระบวนการเรียนรู้การจัดการขยะ และแยกขยะขวดเพ็ท โดยได้รับเกียรติจากสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (SERI CHULA) และชูชก เครื่องย่อยสลายเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ย มาให้คำแนะนำและร่วมกิจกรรมให้นักท่องเที่ยว ชุมชน ผู้ประกอบการ เครือข่ายพันธมิตร ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมร่วมกัน โดยการจัดกิจกรรมเป็นการร่วมมือกับทุกภาคส่วน ส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์ ร่วมกับกลุ่ม Content Creator , ดารา นักแสดง พิธีกร โดยมี ติ่ง ยุพดี ศิริสิงห์อำไพ (นักแสดง บุพเพสันนิวาส) , ต้น กมลเมศวร์ ใหญ่เสมอ (พืธีกร Mission Intelligent) , เอ สุรพันธ์ ชาวปากน้ำ (ดารานักแสดง, เจ้าของเพจ เอส่งสุข), กบ สุรดา กาญจนภัคพงค์ ประธานกลุ่มมิตรภาพสร้างสรรค์ Bike Finder, เว็ปไซท์ Ride Explorer รวมถีงเจ้าบ้าน ไมค์ พลภัทร เวลส์ช  (Mike Life together) ดารานักแสดง ในฐานะผู้ประกอบการที่พักโฮมรีสอร์ต บ้านพี่ไมค์ รีสอร์ต ปราณบุรี เป็นพื้นที่ในการจัด Work shop ร่วมกับกลุ่มกะตอยรักษ์สามร้อยยอด, ชุมชนในพื้นที่ พร้อมเชื่อมโยงท่องเที่ยวชุมชน ปราณบุรี สามร้อยยอด ในครั้งนี้


และจุดไฮไลท์ของกิจกรรม หลังจาก Work shop เรียนรู้เส้นใยผ้าจากขวดเพ็ทโดยเราจะชวนเชิญชวนในชุมชน คนในพื้นที่มาลงพื้นที่ ร่วมกระบวนการจัดการขยะตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ รวมถึงการเข้าใจใยผ้าจากขวดเพ็ทอย่างแท้จริง พร้อมยังจัดกิจกรรมชวนคนปราณฯ - สามร้อยยอด เก็บขยะคืนสิ่งแวดล้อม นำขยะมาแลกกระเป๋า หมวกหรือ เสื้อ โดยกิจกรรมลงทะเบียน Work Shop กันที่บ้านพี่ไมค์ รีสอร์ต ปราณบุรี ก่อนจะร่วมเก็บขยะกันที่ ริมทะเลเขากะโหลก ปราณบุรี และหาดสามร้อยยอด ในวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม และวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2567 นี้ 

สำหรับใครที่สนใจสามารถติดตามได้ทาง www.Ride-Explorer.com เพจ Bike Finder เพจ เอส่งสุข และทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นการจัดกิจกรรมที่เน้นการร่วมมือร่วมใจกันในทุกภาคส่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุดในพื้นที่ในครั้งนีอีกด้วยครับ” นายสมเกียรติ วัชระชัยพงษ์ กรรมการผู้จัดการ SS Textile 2009  กล่าว

SS Textile 2009  ในปีที่ 15 ยังคงมุ่งมั่น พัฒนา ต่อยอดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ สร้างสรรค์สินค้าและการให้บริการคุณภาพที่คุ้มค่าคุ้มราคา ส่งมอบตรงเวลา ให้กับลูกค้าอย่างจริงใจ ตามนโยบาย SS Sustain ทั้งนี้สามารถติดตามรายละเอียดสินค้าและบริการของ SS Textile 2009  ได้ ทาง https://sstextile.co.th/