11 กรกฎาคม 2568

MILKLAB ร่วมส่งเสริมผลักดันวัฒนธรรมคาเฟ่ในไทยกับงาน “Brew Your Vibes” ที่สยามเซ็นเตอร์

MILKLAB แบรนด์นมทางเลือกชั้นนำจากออสเตรเลียที่พัฒนาจากพืช เตรียมมอบประสบการณ์คาเฟ่สุดพิเศษให้กับคอกาแฟชาวไทย ในงาน “Brew Your Vibes” ในวันที่ 19–20 กรกฎาคม 2568 ณ บริเวณ Atrium 2 ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์

ผู้ร่วมงานจะได้สัมผัสวัฒนธรรมคาเฟ่แนวใหม่ พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์นมพืชระดับพรีเมียมจาก MILKLAB ที่โดดเด่นทั้งในด้านรสชาติ เนื้อสัมผัส และความสามารถในการเข้ากับกาแฟอย่างลงตัว โดยเฉพาะเมนู Iced Strawberry Matcha และ Iced Pistachio Latte ที่พร้อมเสิร์ฟฟรีในงานวันละ 200 แก้ว (จนกว่าของจะหมด)



ในงานมีกิจกรรรมให้ผู้เข้าร่วมได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการลิ้มมลองรสชาติกาแฟที่แตกต่าง และถ่ายภาพเช็คอินสุดสวยเป็นที่ระลึก ไฮไลต์ของงาน พบกับ Mikael Jasin แชมป์โลกบาริสต้า 2024 แบรนด์แอมบาสเดอร์ของ MILKLAB ที่จะมาจัดกิจกรรม “Omakafe” เพื่อส่งมอบประสบการณ์การจับคู่กาแฟกับนมพืชผ่านรสชาติใหม่ที่ไม่คาดคิดมาก่อนให้กับผู้โชคดี


ในงานยังมีการสาธิตลาเต้อาร์ตและเมนูพิเศษจาก คุณมุก MILKLAB Brand Ambassador ของไทย พร้อมดื่มด่ำกับเสียงเพลงจากดีเจชื่อดังอย่าง Taidy, Patra, Bestboi และ Esspee ที่จะมาสร้างบรรยากาศชิล ๆ ตลอดงาน นอกจากนี้ยังมีของขวัญ ของที่ระลึก และส่วนลดสำหรับ กาแฟ อีกมากมายเตรียมมอบให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ 

MILKLAB ได้รับการยอมรับจากร้านกาแฟในออสเตรเลียว่าเป็นแบรนด์นมพืชสำหรับบาริสต้าอันดับ 1  และยังขยายตลาดสู่กว่า 20 ประเทศทั่วโลก การจัดงานครั้งนี้จึงไม่เพียงตอกย้ำความสำคัญของตลาดกาแฟและวัฒนธรรมคาเฟ่ที่แข็งแกร่งในประเทศไทย แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงชุมชนคอกาแฟ บาริสต้า และผู้ประกอบการร้านกาแฟให้ร่วมสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ยั่งยืนและสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคน


กิจกรรม Brew Your Vibes โดย MILKLAB เปิดให้เข้าร่วมฟรี ระหว่างเวลา 10:30–18:00 น.
วันที่ 19 และ 20 กรกฎาคม 2568 ที่สยามเซ็นเตอร์ Atrium 2 ผู้สนใจเข้าร่วม Omakafe กับ Mikael Jasin

สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าที่ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSebFauk-X7hXSdsPkLDx_VGckmeSjC6Q7UtcXSBNi_pUZcHXQ/viewform

08 กรกฎาคม 2568

ครั้งแรกในไทย! เบเยอร์ คิกออฟ ร่วมสร้างอาคารต้นแบบในเขตกรุงเทพฯ

เบเยอร์ คิกออฟ ร่วมสร้างอาคารต้นแบบในเขตกรุงเทพฯ ให้เย็นขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยสีทาภายในที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อนสูงและหน่วงไฟในตัว พร้อมยกระดับ “คุณสมบัติสีหน่วงไฟ” ด้วยนวัตกรรมจากขยะอาหาร สร้างโรงเรียนปลอดภัยต้นแบบเพื่อสังคม

บริษัท เบเยอร์ จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมสีรักษ์โลก เดินหน้ายกระดับมาตรฐานอาคารปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เปิดตัวโครงการ “โรงเรียนปลอดภัย ห่างไกลอัคคีภัยด้วยนวัตกรรมจากขยะอาหาร” ณ ศูนย์เด็กปฐมวัยเมอร์ซี่ คลองเตย ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ได้แก่ ศูนย์นาโนเทค สวทช., โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค และกรุงเทพมหานคร

หัวใจของโครงการนี้ คือการต่อยอดโดยผนึกกำลัง ขยะอาหาร (Food waste) จากเปลือกหอยนางรม สู่ “สารชีวภาพหน่วงไฟ” ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันอัคคีภัย กับ ผลิตภัณฑ์ BegerCool All-Plus for Interior สีทาภายในระดับพรีเมียมที่มีคุณสมบัติโดดเด่น ทั้งด้านการสะท้อนความร้อน และคุณสมบัติหน่วงไฟ เพื่อลดความเสี่ยงอัคคีภัยในแหล่งชุมชน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีเด็กเล็กซึ่งมีข้อจำกัดในการอพยพย้ายในภาวะฉุกเฉิน พร้อมยังมีสุขภาวะการอยู่อาศัยที่ดีด้วยอุณหภูมิที่เย็นสบาย (Thermal Comfort)
การเติมสารชีวภาพที่พัฒนาจากขยะอาหารในครั้งนี้ ยังช่วย เพิ่มประสิทธิภาพการหน่วงไฟอีกระดับ ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน UL94 V-0 สามารถดับไฟได้ภายใน 10 วินาทีโดยไม่เกิดเปลวไฟหยด ทั้งยังปลอดภัยต่อสุขภาพ ไม่ปล่อยสารระเหยอันตราย
ดร.วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ กล่าวว่า “เราเชื่อว่าสีที่ดีควรเป็นมากกว่าความสวยงาม แต่ต้องปกป้องคนในบ้าน โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ต้องการความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการเรียนรู้ BegerCool All-Plus for Interior ไม่เพียงแค่ช่วยให้อาคารเย็นสบาย แต่ยังมีคุณสมบัติหน่วงไฟ และยกระดับด้วยนวัตกรรมจากวัสดุเหลือใช้ทางอาหาร โครงการนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ว่าเราสามารถใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาด สร้างคุณค่าที่ทั้งปลอดภัย ยั่งยืน และเกิดประโยชน์ต่อสังคมจริง เหมาะกับการดูแลเด็ก ๆ ในโรงเรียน หรือ แม้แต่นำไปใช้กับกลุ่มอาคารที่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่น เช่น โรงพยาบาล อาคารสาธารณะอื่น ๆ เป็นต้น”



เบเยอร์ยังมีแผนขยายผลนวัตกรรมสีเพื่อความปลอดภัยนี้ สู่พื้นที่อื่น ๆ โดยเฉพาะอาคารสำหรับเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบาง เพื่อยกระดับมาตรฐานอาคารไทยให้ “เย็น ปลอดภัย และยั่งยืน” อย่างแท้จริง
สามารถเข้าชมกิจกรรมต่างๆ หรือผลิตภัณฑ์จากทางเบเยอร์ได้ที่ https://www.beger.co.th/.../BegerCool-All-Plus-for-Interior

07 กรกฎาคม 2568

สหฟาร์ม เดินหน้ายกระดับสู่ความยั่งยืน ขับเคลื่อนโครงการ GO Green

สหฟาร์ม เดินหน้ายกระดับสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ติดตั้งโซลาร์เซลล์ร่วม WHAUP พร้อมทดสอบระบบ EV หนุนองค์กรก้าวสู่อนาคตพลังงานสะอาด โชว์แผนลดต้นทุนพลังงานจาก 260 ล้านบาทต่อเดือน เผยแนวคิดสอดคล้องวิสัยทัศน์ผู้นำ “เติบโตเคียงคู่สิ่งแวดล้อม”

บริษัท สหฟาร์ม จำกัด ผู้นำการผลิตและส่งออกไก่ครบวงจรอันดับ 1 ของประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “การเติบโตที่ยั่งยืนควบคู่สิ่งแวดล้อมและชุมชน” ด้วยการเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ GO Green อย่างเป็นรูปธรรม โดยร่วมมือกับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) – WHAUP ผู้นำด้านโซลูชันพลังงานครบวงจร ในการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์จำนวน 14 โครงการทั่วทั้งเครือข่ายโรงงานและฟาร์มของสหฟาร์ม



ดร. จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ ประธานสายบัญชีและการเงิน และเลขานุการคณะกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด เปิดเผยว่า “การติดตั้งโซลาร์เซลล์ร่วมกับ WHAUP ไม่ใช่เพียงการลดต้นทุนพลังงาน แต่เป็นก้าวยุทธศาสตร์ขององค์กร ในการปักหมุดสู่อนาคตที่ยั่งยืน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อชุมชน โครงการนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของผู้นำรุ่นใหม่ ที่มองว่าองค์กรในวันนี้ต้องไม่เพียงแค่สร้างกำไร แต่ต้องสร้างคุณค่าให้กับโลกใบนี้ในระยะยาว”

“การจับมือ WHAUP เป็นพันธมิตรในโครงการ GO Green ครั้งนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นของสหฟาร์มในมาตรฐานระดับสากลขององค์กรพันธมิตร โดยทั้งสองบริษัทต่างมีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันพลังงานสะอาดให้เป็นกลไกสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง” ดร.จารุวรรณ กล่าว


โครงการโซลาร์พลังงานสะอาดเฟสแรกของสหฟาร์ม ได้ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 9 โครงการจากทั้งหมด 14 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 46,473.59 กิโลวัตต์พีก (kWp) ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์กว่า 67,000 แผง คาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้กว่า 46.8 ล้านหน่วยต่อปี ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงกว่า 35,089 ตัน/ปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ถึง 1.9 ล้านต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเฟส 2 ขนาด 6 เมกะวัตต์ พร้อมแผนการขยายเฟส 3 ต่อเนื่อง

ปัจจุบัน สหฟาร์มมีค่าไฟฟ้าเฉลี่ยสูงถึง 260 ล้านบาทต่อเดือน โครงการนี้ช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ราว 30% คิดเป็นเงินประหยัดมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าจะประหยัดรวมได้ถึง 1,600 ล้านบาทภายใน 14 ปี ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจด้านพลังงานสะอาดในอนาคต

ในขณะเดียวกัน สหฟาร์มและบริษัทในเครือ โกลเด้น ไลน์ บิสซิเนส จำกัด (GLB) ยังได้ขยายขอบเขตของโครงการ GO Green ไปยังมิติอื่น ๆ อย่างครอบคลุม เช่น การวางระบบบำบัดน้ำเสียที่ทันสมัยบนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ เพื่อให้น้ำที่ปล่อยกลับสู่ธรรมชาติไม่มีผลกระทบต่อแหล่งน้ำในชุมชน การปลูกต้นไม้เป็นแนวกันชนรอบโรงงานกว่า 1 ล้านต้น เพื่อเพิ่มออกซิเจนในอากาศ ลดเสียง ฝุ่น และความร้อน รวมถึงการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในด้านพลังงานทดแทนอื่นๆ สหฟาร์มยังศึกษาการใช้ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวมวล (Biomass) มาทดแทนเชื้อเพลิงถ่านหินในระบบ Hot Oil Boiler ของโรงงานแปรรูป พร้อมทั้งริเริ่มทดลองใช้ รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV) แทนรถดีเซล โดยหากผลการทดลองประสบความสำเร็จ องค์กรมีแผนทยอยเปลี่ยนรถในระบบโลจิสติกส์กว่า 50 คันให้เป็น EV ภายในปี 2569

“โครงการ GO Green คือหัวใจของการเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนของสหฟาร์ม เราไม่ได้เพียงมุ่งเน้นผลประกอบการ แต่ต้องการเป็นองค์กรต้นแบบที่สามารถส่งมอบคุณค่าทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน” ดร. จารุวรรณ กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ พิธีส่งมอบพลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นทางการจากโครงการโซลาร์เซลล์ จะจัดขึ้นในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ณ โรงงานแปรรูปของสหฟาร์ม จ.เพชรบูรณ์ และ จ.ลพบุรี โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสหฟาร์มและ WHAUP เข้าร่วม เพื่อร่วมประกาศจุดยืนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารไทย ในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และเป็นต้นแบบของธุรกิจที่เติบโตควบคู่กับการดูแลโลกใบนี้อย่างแท้จริง

04 กรกฎาคม 2568

ขอเชิญร่วม “งานบวร ๑๐”การจัดนิทรรศการศิลปะเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ

เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ์ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 กลุ่มศิลปาศรีร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  และ 40 สถาบันการศึกษาจะจัดการประกวดสร้างสรรค์ผลงานศิลปะภาพเขียนบนพัดจีบชิงรางวัลถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ครั้งที่ 2 ในโครงการ กล้า ๙ ท่องเที่ยวกรุง เพื่อคัดสรรผลงานยอดเยี่ยมที่สื่อถึงพระอัจฉริยภาพ และพระราชกรณียกิจในด้านการส่งเสริมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรม ซึ่งได้ช่วยเหลือราษฎร นำมาจัดแสดงในงานบวร ๑๐  และเปิดตัวผลงานศิลปะดิจิตอลเฉลิมพระเกียรติชุดใหม่ ณ ลานกิจกรรม Living Hall ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายถวายวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก เพื่อสมทบสร้างอาคารศูนย์การเรียนปลูกรากแก้วศาสนทายาท (รร.สามเณร)   การจัดงานครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงอุดมการณ์แห่งความจงรักภักดี อันเป็นวิถีแห่งการสร้างสังคมที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนด้วย “พลังบวร” ที่มีการเกื้อกูล ส่งเสริม ช่วยเหลือซึ่งกัน และกันอย่างเป็นธรรม เป็นการร่วมถวายพระเกียรติ พระอัจฉริยภาพ และพระราชกรณียกิจด้วยศิลปะ  







งานประกวดวาดภาพบนพัดจีบนี้เปิดโอกาสให้โรงเรียนระดับต่าง ๆ เข้าร่วมประกวด ได้แก่ โรงเรียนพระปริยัติธรรม, โรงเรียนประถมศึกษาตอนปลาย, โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น และโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย รวม 32 โรงเรียน โดยมีนักเรียนที่สนใจเข้าประกวดมากกว่า 150 คน เพื่อเข้าร่วมชิงรางวัลกว่า 20 รางวัล ซึ่งผู้ชนะเลิศจะได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, โล่รางวัลเกียรติยศ พร้อมเกียรติบัตร อีกทั้งยังได้รับทุนการศึกษาจำนวน 20 รางวัล รวมทั้งสิ้น 80,000 บาท ได้แก่ รางวัลชนะเลิศสำหรับโรงเรียนทุกประเภท รวม 4 รางวัลๆ ละ 10,000 บาท, รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 สำหรับโรงเรียนทุกประเภท รวม 4 รางวัลๆ ละ 5,000 บาท, รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 สำหรับโรงเรียนทุกประเภท รวม 4 รางวัล ๆ ละ 3,000 บาทและรางวัลชมเชย สำหรับโรงเรียนทุกประเภท รวม 8 รางวัล ๆ ละ 8,000 บาท  และการประกาศผลการประกวดวาดภาพบนพัดจีบ ชิงถ้วยพระราชทาน ณ ลานกิจกรรม Living Hall ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

ผู้สนใจขอเชิญส่งผลงานร่วมประกวดภายในวันที่ 10 กรกฏาคม 2568
ได้ที่คุณนิวัติ มหาบุณย์ โทร 064 3561525

และขอเชิญประชาชน ผู้สนใจทุกท่านร่วมชมนิทรรศการศิลปะเฉลิมพระเกียรติ อาทิ ชมดารา คนดังมีชื่อเสียงวาดภาพบนพัดจีบ, การแสดงพัดศิลป์ถวายองค์ราชันย์, การประกวดผลงานจิตรกรรมบนพัดจีบ, นิทรรศการศิลปกรรมเฉลิมพระเกียรติ, ศิลปะภาพยนต์ชุด "สรรเสริญบารมีสดุดีจักรีวงศ์"   ร่วมถวายพระพร, ร่วมวาดภาพพัดจีบ และกิจกรรมอื่น ๆ ในระหว่างวันที่ 17-28  กรกฎาคม 2568  ณ ลานกิจกรรม Living Hall ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามพารากอน  เวลา 10.00 - 22.00 น. 

สอบถามรายละเอียดกรุณาโทรคุณนริสา ชะมุนี 099-5599842

03 กรกฎาคม 2568

“คิทโด้” วิตามินเม็ดเคี้ยว เสริมภูมิคุ้มกัน เพิ่มพลังสมอง

เพิ่มพลังสมองและสายตาที่ดีของน้องๆ โปรสุดคุ้ม 1 แถม 1 ซอง ซื้อได้ที่เซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขา

กรกฎาคมนี้ ฝนยังตกชุก เด็กๆ เสี่ยงเป็นหวัดได้ง่ายหากโดนฝนบ่อย บริษัท บีไชน์ นูทริชั่น พลัส จำกัด จัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม “คิทโด้” แบบซอง ซื้อ 1 แถม 1 ที่น่าซื้อเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ไปตุนติดบ้านให้น้องๆ หนูๆ ซึ่ง “คิทโด้” วิตามินชนิดเคี้ยว มี 2 สูตร 2 รสชาติ รสส้ม เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด และรสมิกซ์เบอร์รี่ บำรุงสมองและระบบประสาท และบำรุงสายตา ในแต่ละสูตรมีประโยชน์ต่อเด็กในหลายด้าน อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของน้องๆ หนูๆ 

“คิทโด้” 1 ซอง บรรจุ 12 เม็ด แถมฟรีอีก 3 เม็ด (แถมในซอง) รวมเป็น 15 เม็ด/ซอง จัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม “1 แถม 1” คละรสชาติได้ เพียง 49 บาท จากปกติ 98 บาท และสมาชิก All Member ลดอีก 1 บาท เหลือเพียง 48 บาท สุดคุ้มมาก สามารถซื้อได้ตั้งแต่วันนี้ - 23 กรกฎาคม 2568 ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ คิทโด้ วิตามินเม็ดเคี้ยว ทานง่าย รสชาติอร่อย ทำให้เด็กๆ ชื่นชอบ สะดวกพกพา เหมาะสำหรับพกพาไปทานได้ทุกที่ทุกเวลา 

“คิทโด้ ไอมู อะเซโรลา ซี พลัส มัลติวิตามิน” (KITDO IMU Acerola C Plus Mutivitamin) วิตามินเม็ดเคี้ยว รสส้ม เสริมภูมิคุ้มกัน มีส่วนผสมของวิตามินซีจากธรรมชาติ อะเซโรลา เชอรี่ สกัด นำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ ผสานกับ ซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์, ซิงค์ และวิตามินรวม 13 ชนิด เพื่อเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อหวัด ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียหลายชนิด ลดอาการภูมิแพ้ และป้องกันการขาดวิตามินในร่างกาย เพิ่มความแข็งแรง 


“คิทโด้ โปร ดีเอชเอ พลัส บิลเบอร์รี่” (KITDO Pro DHA plus Bilberry) วิตามินเม็ดเคี้ยว รสมิกซ์เบอร์รี่ บำรุงสมองและสายตาที่ดี มีส่วนผสมของน้ำมันปลาทูน่าบริสุทธิ์ นำเข้าจากออสเตรเลียที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ผสานกับโคลีน ที่ช่วยเพิ่มสารสื่อนำประสาท พร้อมด้วย แอล-ไลซีน และ วิตามินบีรวม 7 ชนิด และผสานกับสารสกัดจากบิลเบอร์รี่, เบอร์รี่รวม 3 ชนิด และวิตามินเอ เพื่อการดูแลสมองและสายตา เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและสมอง บำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็น ลดอาการตาแห้ง ลดความอ่อนล้าจากการใช้สายตาเป็นเวลานาน เช่น อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เล่นมือถือและไอเพคนานๆ 

วิธีรับประทาน แนะนำให้รับประทานคิทโด้ เคี้ยวสูตรละ 1-3 เม็ดต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณสารอาหารและวิตามินครบถ้วนในแต่ละวัน อร่อยดีมีประโยชน์ ปลอดภัย มีงานวิจัยรองรับ ได้รับการรับรองจาก อย. ประเทศไทย และผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน ทานง่าย หอมกลิ่นผลไม้ ไม่เติมน้ำตาล ไม่ใส่สารกันเสีย เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว 

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมของ “คิทโด้” ทั้ง 2 สูตร 2 รสชาติ ได้ที่เว็บไซต์ www.bshine.co.th/kitdo/ 
ติดตามสารข่าวกิจกรรมและโปรโมชั่นพิเศษได้ที่ FB : https://www.facebook.com/kitdoclub 
และ Line : @Kitdo

ของขวัญ ฟ้าใส Drink & Bistro by เชฟกระทะรั่ว

ไม่กี่วันก่อน Toptotravel มีโอกาสลิ้มลองอาหารมืัอกลางวัน จากการเดินทางทริปท่องเที่ยวน้ำตกเจ็ดสาวน้อย รู้จักร้านนี้จากการแนะนำของ พี่จุ๋งจิ๋ง (แอร์การบินไทย) แม้จะซ่อนตัวอยู่ใน ตำบลหินซ้อน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ร้านห่างจากน้ำตกเจ็ดสาวน้อย เพียง 20 นาที ก็ถึงร้านที่เราปักหมุดความอร่อย

ร้าน ของขวัญ ฟ้าใส Drink & Bistro by เชฟกระทะรั่ว เชฟเดย์ นำความหลงใหลด้านอาหารมาแบ่งปันความอร่อย รสชาติอาหาร การบริการ เชฟเดย์น่ารัก เป็นกันเอง ช่วยเหลือในการสั่งอาหารดีเยี่ยมความพเศษของร้าน คือเมื่อเรานั่งลงบนเก้าอี้จะรู้สึกเป็นคนสำคัญของที่นี่ทันที  และไม่ว่าจะนั่งมุมไหนของร้าน ก็มอบความรู้สึกสดใหม่เสมอ เพราะโต๊ะ-เก้าอี้ การตกแต่งรอบร้าน มีลูกเล่น มีหลากหลายขนาดให้เลือกนั่ง มาเดี่ยว มาคู่ มากับเพื่อน หรือมากับครอบครัวรองรับได้หมด


ร้านอาหารไทยที่ได้แรงบันดาลใจจากท้องถิ่น อาหารกลางวันที่เสิร์ฟในร้านอาหารสไตล์บิสโทร ซึ่งมักจะเป็นอาหารที่ทำง่าย รสชาติดี และมีบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเอง อีกหนึ่งร้านอาหารบรรยากาศดีต่อใจไม่ใช่แค่สวยน่านั่ง ร้าน ของขวัญ ฟ้าใส Drink & Bistro มาอค่อยกับเมนูอาหารตามสั่งอร่อยๆ ด้วยกัน

ทริปนี้ทีมงาน Toptotravel มีโอกาสได้มาลองฝีมือการทำอาหารของร้านของขวัญ ฟ้าใส Drink & Bistro พ่อครัวคือ เชฟเดย์ เดชารัตน์ ราชประโคน และ ผู้ช่วยโบว์ ( ยุพดี ทับนิล ) อาหารครอบครัวได้แรงบันดาลใจในการทำอาหารมาจากประสบการณ์ความทรงจำที่เคยเปิดร้านอาหารและผับ ที่ซึมซับมาจากประสบการณ์ตรง ทางร้านมาในแนวเน้นความเป็นส่วนตัว แบ่งพื้นที่นั่งออกเป็นหลายโซน ชั้นล่างเป็นโต๊ะไม้ยาว มองเห็นครัวเปิด เหมาะสำหรับมาเป็นหมู่คณะ ส่วนโซนด้านหน้าร้านเหมาะกับมาเป็นคู่ หรือต้องการความเงียบสงบ 




แรงบันดาลใจให้เชฟสองสามี-ภรรยา แห่งร้าน ร้าน ของขวัญ ฟ้าใส Drink & Bistro by เชฟกระทะรั่ว เรื่องราวอบอุ่นแรงบันดาลใจรักในอาหาร นำมาซึ่งความสำเร็จของเชฟเดย์ เดชารัตน์ ราชประโคน และ โบว์ (ยุพดี ทับนิล )  เลือกเส้นทางคนทำอาหารด้วยความรักและอยากทำอาหารอร่อยๆ วัตถุดิบที่สำคัญของครอบครัวอบอุ่น ทำอาหารให้คนที่บ้านเกิดตนเองได้ทาน

เดย์ เดชารัตน์ ราชประโคน และ โบว์ ( ยุพดี ทับนิล ) แชร์ให้เราฟังตรงกันว่า ด้วยใจรักและความหลงใหลในอาหาร บ่อยครั้งมักก่อร่างสร้างตัวขึ้นในครอบครัว เมื่อได้ลิ้มรสชาติและความรักที่ส่งผ่านมาจากประสบการณ์ที่เคยบริหารร้านอาหาร ผับ ที่ผ่านมา เราเชื่อว่าหลายคนคงมีอาหารจานโปรดที่กินเมื่อไรก็ชวนให้นึกถึง อาจเป็นเมนูประจำบ้านที่หากินที่ไหนไม่ได้ยกเว้นแต่แม่ทำ

เมนูที่เราได้มาลิ้มรสในครั้งนี้ แรงบันดาลใจในการทำร้านอาหารของเจ้าของร้านแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะมาจากความรักในอาหาร การอยากสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า หรือความต้องการที่จะมีธุรกิจของตัวเอง "ไม่ชอบมองว่าอุปสรรค คือ ความยากลำบาก ชอบมองว่าเป็นเรื่องท้าทายมากกว่า อาจเป็นเพราะเราโชคดีที่ได้ทำงานในครัวและทำร้านอาหารของตัวเองมาโดยตลอด ทำให้ได้จดจ่ออยู่กับการทำงานและการทำอาหารของตัวเอง โดยการทำงานเราท้าทายตัวเองให้เก่งขึ้น พัฒนาขึ้นในทุกๆ วัน จนไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องแข่งขันกับใคร"





ไข่ตุ๋นทรงเครื่องหม้อไฟทะเล

ถึงเวลาเปิดตัวอาหารเด็ด ขอเริ่มกันที่จานตรงหน้าเรา สายเนื้อ อยากให้มาลอง สเต็กเนื้อ หอม ฉ่ำ นุ่ม แบบละลายในปาก สายเนื้อควรรู้จัก ความอร่อยของสเต็กเนื้อโคขุน ที่จับคู่กับสมุนไพร และน้ำจิ้มรสชาติอร่อย รวมไปถึงอีกหนึ่งเมนูเมนูยอดฮิตที่ต้องสั่งกุ้งอบวุ้นเส้น อร่อยกุ้งแน่น ไข่ตุ๋นทรงเครื่องหม้อไฟทะเล ครบจบในหม้อเดียวไข่เนื้อเนียน เครื่องทะเลแน่นๆ  จานเรียกน้ำย่อยที่อยากทานจานต่อไป  ยำโรซ่าเกี๊ยวกรอบ อร่อยกินเพลิน และเมนูอื่นๆ  ที่นี่มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ต้ม ผัด แกง ทอด ครบ! อาหารจานเดียวก็มีนะอร่อยเด็ด ทำถึงทุกเมนู ราคาไม่แพง



ร้าน ของขวัญ ฟ้าใส Drink & Bistro by เชฟกระทะรั่ว
โทร. 097 995 8097

พิกัด : ร้านของขวัญฟ้าใส Drink & Bistro
https://maps.app.goo.gl/x4u3rjj9ZTNM4Txe8?g_st=il

#เชฟกระทะรั่ว #ร้านอาหารบ้านหินซ้อน
#ของขวัญฟ้าใสDrink&Bistro #เชฟกระทะรั่ว
#เช็คอินหินซ้อน #ยำโรซ่าเกี๊ยวกรอบ

02 กรกฎาคม 2568

ไทยเปิดเวที Travel & Tech Asia ชูบทบาทผู้นำการท่องเที่ยวยุคดิจิทัลในเอเชีย

กรุงเทพฯ 2 กรกฎาคม 2568  ประเทศไทยเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวยุคใหม่ในเอเชีย ด้วยการเปิดตัวงาน Travel & Tech Asia 2025 (ทราเวล แอนด์ เทค เอเชีย) มหกรรมแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมการท่องเที่ยวระดับ B2B ครั้งแรกของประเทศ ที่มุ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ  

งาน Travel & Tech Asia 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2–3 กรกฎาคม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ
อาทิ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย TAT Travel Tech Startup, Booking.com, Traveloka, SiteMinder, Lighthouse, สสปณ. และพันธมิตรอีกมากมาย ภายใต้การจัดงานของบริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ซึ่งเชื่อมโยงธุรกิจท่องเที่ยว ผู้ให้บริการเทคโนโลยี และองค์กรท่องเที่ยวจากทั่วภูมิภาคเอเชียไว้ในเวทีเดียว ในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเอเชียแปซิฟิกเติบโตอย่างก้าวกระโดด คาดว่ามูลค่าตลาดจะสูงถึง 155.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวภายในปี 2035 ประเทศไทยยังคงครองตำแหน่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมของโลก อันดับ 8 ด้วยนักท่องเที่ยวกว่า 35 ล้านคนในปี 2567 และภายในครึ่งปีแรกของปี 2568 มีผู้เดินทางเข้ามาแล้วกว่า 16.7 ล้านคน  

Travel & Tech Asia 2025 ได้รับการตอบรับจากแบรนด์เทคโนโลยีกว่า 35 รายจาก 6 ประเทศ ร่วมนำเสนอเครื่องมือใหม่ล่าสุดสำหรับอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นระบบบริหารจัดการโรงแรม ระบบจองตั๋วอัจฉริยะ AI, ประสบการณ์เสมือนจริง (VR), การชำระเงินดิจิทัล ไปจนถึงโซลูชันด้านความปลอดภัยไซเบอร์  

ภายในพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพร้อมด้วยผู้นำจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมประกาศวิสัยทัศน์ผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวอัจฉริยะ (Smart Tourism) ด้วยพลังของความร่วมมือและเทคโนโลยี 

“Travel & Tech Asia 2025 ไม่ใช่เพียงแค่งานแสดงสินค้า แต่คือเวทีระดับชาติที่ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนนวัตกรรมการท่องเที่ยว สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศ” นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม  ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าว “เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็น งานนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่สามารถสร้างผลกระทบอย่างแท้จริงต่ออนาคตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย”  





นายจัสติน เปา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “Travel & Tech Asia 2025 ถือเป็นการเปิดเวที B2B ด้านเทคโนโลยีท่องเที่ยวครั้งแรกของไทยอย่างแท้จริง งานนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงผู้เล่นจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีโรงแรม แพลตฟอร์มจองห้องพัก ระบบการตลาด ไปจนถึงโซลูชันเพื่อความยั่งยืน เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจาก 18 องค์กรชั้นนำ อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), PATA, สสปน., สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และอีกมากมายที่ร่วมเดินหน้าขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ร่วมกัน”  

นายกิตติพงษ์ ประพัฒน์ทอง รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “ททท. ภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมจัดงาน Travel & Tech Asia 2025 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงผู้พัฒนาเทคโนโลยีกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว งานนี้สะท้อนพันธกิจของ ททท. ในการยกระดับประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางคุณค่าสูง (High Value) ที่พร้อมสำหรับอนาคต ด้วยการใช้เทคโนโลยีและแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่นักท่องเที่ยว”  

ด้าน นายนูร์ อาหมัด ฮามิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาพันธ์การท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (PATA) กล่าวว่า  “Travel & Tech Asia 2025 ไม่ใช่แค่งานแสดงสินค้า แต่คือจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปอุตสาหกรรม เราเชื่อว่านวัตกรรมไม่ได้หมายถึงแค่การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ แต่คือการเปิดใจ ร่วมมือ และมีเป้าหมายร่วมกัน ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เราต้องสร้างระบบที่ฉลาดขึ้น ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นขึ้น และลงทุนใน ‘คน’ ซึ่งเป็นหัวใจของการท่องเที่ยว เทคโนโลยีต้องเป็นพลังบวก ที่ทำให้การท่องเที่ยวง่ายขึ้น เข้าถึงได้ และยั่งยืนยิ่งขึ้น” 





อีกหนึ่งไฮไลต์ของงานปีนี้คือการประกาศความร่วมมือระหว่าง VNU Asia Pacific กับ PEA Innovation Hub เพื่อจัดให้ Travel & Tech Asia 2025 เป็น “งานแสดงสินค้าคาร์บอนเป็นศูนย์” ครั้งแรกของบริษัท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ความยั่งยืนระยะยาว ครอบคลุมการวัดค่าคาร์บอน การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม 

ห้ามพลาด! พรุ่งนี้ ( 3 กรกฎาคม 2568 ) คือวันสุดท้ายของงาน Travel & Tech Asia 2025 เวทีที่รวม 35 บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจาก 6 ประเทศ และเปิดโอกาสให้ร่วมฟัง 23 หัวข้อสัมมนาเชิงลึกแบบเข้าฟังฟรี อัดแน่นด้วยเนื้อหาน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีการจองโรงแรม AI การตลาดดิจิทัล ระบบชำระเงิน ไปจนถึงแนวคิดด้านความยั่งยืน  

เข้างานฟรี! ลงทะเบียนได้หน้างาน วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2568 | เวลา 09.30 – 17.00 น.
ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ | https://travelandtechasia.com