เที่ยวทั่วไทย อร่อยทั่วโลก อัพเดทข่าวรายวัน Lifestyle บันเทิง ทันทุกกระแสข่าว!

29 เมษายน 2561

สถาบันอาหาร ผนึกเครือข่ายรัฐและเอกชน จัดอีเว้นท์ใหญ่

Thailand : Taste of Street Food 4.0
27 - 29 เม.ย. 61 ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี


กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันอาหาร เตรียมจัดงานใหญ่ Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต ระหว่างวันที่ 27 - 29 เม.ย. 2561 เวลา 11.00 - 22.00 น. บริเวณพื้นที่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี พบกองทัพร้านอาหารริมทางเลื่องชื่อกว่า 100 ร้าน จำลองบรรยากาศย่านการค้าดั้งเดิม ตัวอย่างร้านโอทอปริมทางจากทั่วประเทศ ชิมอาหารร้านดังจากโลกโซเชี่ยล Food Truck และกลุ่ม Start Up มากไอเดีย

งาน Thailand Taste of Street Food 4.0 พร้อมโชว์ชุดรถเข็นต้นแบบที่ถูกสุขลักษณะ หวังกระตุ้นตลาดร้านอาหารริมทาง หรือ Street Food ของไทย ที่มีมูลค่าสูงราว 2.7 แสนล้านบาทต่อปีให้ตื่นตัว ได้รับการยกระดับความปลอดภัย คุณภาพ มาตรฐานการผลิตและการบริการ ระดมพี่ใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมสานพลังประชารัฐ จัดอบรมผู้ประกอบการพัฒนาศักยภาพ ต่อยอดสู่การผลิตในภาคอุตสาหกรรม เพื่อขยายเครือข่ายธุรกิจสู่รูปแบบแฟรนไชส์ และส่งออกได้ในอนาคต  หนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ชูนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัย เทคโนโลยีการชำระเงิน การสั่งซื้อ/ส่งสินค้า และเตรียมพร้อมสู่ยุค 4.0


นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กิจกรรม Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future ‘สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต’มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจบริการอาหารขนาดเล็กให้มีศักยภาพปรับตัวสู่การแปรรูประดับอุตสาหกรรมต่อไปในอนาคต หรือพร้อมปรับตัวสู่เศรษฐกิจฐานบริการที่เข้มแข็งขึ้น รวมทั้ง ให้โอกาสผู้สนใจที่จะเข้ามาเริ่มต้นธุรกิจ(start up) ได้มาศึกษาช่องทางและพบปะผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำแนะนำในการเริ่มต้นธุรกิจ ทั้งสร้างความเชื่อมั่นภาพลักษณ์ครัวไทยครัวคุณภาพปลอดภัยทุกระดับ

"ในปี 2560 มูลค่าจำหน่ายของธุรกิจบริการอาหารในประเทศไทย ประเมินโดย Euro monitor International มีมูลค่า 836,856 ล้านบาท เมื่อพิจารณามูลค่าจำหน่ายของแต่ละประเภท พบว่า Street Food มีสัดส่วนถึง 32.43% หรือราว 2.7 แสนล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 4.3 และยังเติบโตต่อเนื่องโดยคาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 แสนล้านบาท ในปี 2564 คิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.3 ต่อปี รองลงมาเป็นธุรกิจคาเฟ่/บาร์ 29.31% ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 20.43% ฟาสต์ฟู้ดส์ 14.74% ดิลิเวอรี่/ซื้อกลับบ้าน 3.07% และศูนย์อาหารบริการตนเอง 0.03% ตามลำดับ


โดยมีผู้ประกอบการ ดำเนินธุรกิจร้านอาหารริมทางประมาณ 103,000 ร้าน มีสัดส่วนร้อยละ 69 ของร้านอาหารทั้งหมด เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5.4 ต่อปี และมีร้านอาหารริมทางเครือข่ายธุรกิจในรูปแบบ แฟรนไชส์ คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 13 ของร้านอาหารริมทางทั้งหมด โดยมีมูลค่าราว 3.7 หมื่นล้านบาท ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 4.7 ต่อปี ได้แก่ ‘ไก่ย่างห้าดาว’ และ ‘ไก่ทอดห้าดาว’ ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกัน 35% รองลงมาคือ 'ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว' 19% ที่เหลือเป็นรายย่อยอื่นๆ จำนวนมาก”

นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า สถาบันอาหาร ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในเรื่องการสนับสนุน และส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหาร และธุรกิจบริการให้เติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการผลักดันให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารก้าวสู่ยุค 4.0 จึงริเริ่มจัดงานดังกล่าวขึ้นเพื่อให้ผู้ประกอบการอาหารริมทางทั่วประเทศ ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารและธุรกิจเชื่อมโยง ผู้สนใจเข้าสู่ธุรกิจอาหาร และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมชมงาน

แนวคิดการจัดงานประกอบด้วย 1) Chance to the Future สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ สร้างรายได้ 2)The Show of Innovation นวัตกรรมทางธุรกิจ (สังคมไร้เงินสด) การชำระค่าอาหารผ่าน QR Code, การสั่งซื้ออาหารผ่าน Application, Logistic ระบบจัดส่งอาหารด้วยความรวดเร็ว และนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร 3)Big Brother ‘สานพลังประชารัฐ’ พบหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนขนาดใหญ่ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารพร้อมให้การสนับสนุน เสริมความรู้ และ 4) Business Solution ร่วมหาแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการรายใหม่ หรือรายเดิม

“ทั้งนี้ รูปแบบการจัดงานประกอบด้วย

1)จัดกิจกรรมยกระดับและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ อาหารริมทางด้วยการอบรมและการให้องค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจกับผู้ประกอบการอาหารริมทางจำนวน 100 ราย ในหัวข้อต่างๆ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในวันที่ 25 – 26 เม.ย. 2561 ณ ศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย ประกอบด้วย หลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต และการให้บริการตามมาตรฐานความปลอดภัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตอาหาร การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขาย แนวทางการขยายธุรกิจ Street Food 100 ล้าน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการเตรียมความพร้อมสู่ยุค 4.0 พร้อมชมศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมอาหาร Industry Transformation Center รวมทั้งงานบริการด้านอื่น ๆ ของสถาบันอาหารเพื่อการต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรมในอนาคต

2) พื้นที่จัดแสดงศักยภาพ ร้านอาหารริมทาง (Street Food) และการจัดแสดงนิทรรศการ โดยใช้พื้นที่บริเวณใต้สะพานพระราม 8 ระหว่างวันที่ 27 - 29 เม.ย. 2561 เวลา 11.00 – 22.00 น. จัดแบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ ดังนี้ โซน Street Food สู่อุตสาหกรรม จัดแสดงศักยภาพของผู้ประกอบการที่มีการพัฒนาต่อยอดจากอาหารริมทางมาสู่รูปแบบของการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม เช่น ไก่ย่างห้าดาว ชายสี่หมี่เกี๊ยว หมูปิ้งเฮียนพ ไส้กรอกแม่ไก่ โซนล้านไลค์ ร้อยล้าน การออกร้านจำหน่ายอาหารที่มีชื่อเสียงจากโซเชียลผ่านการกดไลค์จากคนดูจำนวนมาก โซนจำลองร้านอาหารริมทางย่านการค้าสำคัญ ได้แก่ เยาวราช, วังหลัง-ท่าพระจันทร์,เจริญกรุง-บางรัก, บางลำพู-ข้าวสาร โซน OTOP ริมทาง ตัวอย่างอาหารริมทางจากทั่วประเทศ ที่ได้รับการรับรองความอร่อยจากกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โซน Food Truck ที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และมีกลุ่ม Start Up จำนวนมาก โซน Food Exhibition เรื่องราวความเป็นมาของอาหาร Street Food ที่ได้รับความนิยม

และติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก โซนนิทรรศการและการจัดแสดงชุดรถเข็นต้นแบบ ที่ผลิตและออกแบบตามข้อกำหนดและถูกสุขลักษณะเรื่องวัสดุประกอบรถเข็น ตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ เพื่อความปลอดภัย โซนนิทรรศการแนวโน้มบรรจุภัณฑ์อาหารสำหรับ Street Food ที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โซนนิทรรศการของหน่วยงานร่วมดำเนินงาน และผู้สนับสนุนการจัดงานอย่างเป็นทางการ อาทิ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ (จำกัด) มหาชน และบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (จำกัด) มหาชน เป็นต้น โดยมีอีกหลายหน่วยงานร่วมให้การสนับสนุนการจัดงานครั้งนี้ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร องค์การสุรา กรมสรรพสามิต สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) บริษัท ไทยร่วมใจน้ำมันพืช จำกัด และบริษัท อาจจิตต์อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็พเพอร์แอนด์สไปซ์ จำกัด”

นายยงวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันศุกร์ที่ 27 เมษายน นี้ เวลา 18.00 น. จะจัดให้มีพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ ณ บริเวณสวนหลวงพระราม 8 เชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี โดยจะจัดแสดงนิทรรศการตัวอย่าง Street Food สู่อุตสาหกรรม แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ในอนาคต และผลิตภัณฑ์อาหารริมทางที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เช่น ขนมหม้อแกงกรอบ ขนมจีนน้ำยาปูฟรีซดราย น้ำซอสผัดไทยทิพย์สมัย ทั้งนี้จะจัดเลี้ยงในรูปแบบ Family Dinner เป็นการนำเมนูอาหาร Street Food มาปรุงโดยเชฟชุมพล แจ้งไพร โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 ท่าน ประกอบด้วยคณะทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ แขกผู้มีเกียรติจากภาครัฐและเอกชน ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงการท่องเที่ยว อาหาร โรงแรม สายการบิน สถาบันการศึกษา และสื่อมวลชน

กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันอาหาร ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดงานใหญ่ Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future “สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต” ระหว่างวันที่ 27 - 29  เม.ย. 2561 เวลา 11.00 - 22.00 น.  บริเวณพื้นที่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี เพื่อให้ผู้ประกอบการอาหารริมทางทั่วประเทศ ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารและธุรกิจเชื่อมโยง ผู้สนใจเข้าสู่ธุรกิจอาหาร และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมชมงาน  หวังยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจบริการอาหารขนาดเล็กให้มีศักยภาพ ปรับตัวสู่การแปรรูประดับอุตสาหกรรมต่อไปในอนาคต หรือพร้อมปรับตัวสู่เศรษฐกิจฐานบริการที่เข้มแข็งขึ้น  รวมทั้งให้โอกาสผู้สนใจที่จะเข้ามาเริ่มต้นธุรกิจ(start up) ได้มาศึกษาช่องทางและพบปะผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำแนะนำในการเริ่มต้นธุรกิจ ทั้งสร้างความเชื่อมั่นภาพลักษณ์ครัวไทยครัวคุณภาพปลอดภัยทุกระดับงาน

“Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต”  จัดขึ้นภายใต้แนวคิด 1) Chance to the Future สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ สร้างรายได้ 2)The Show of Innovation นวัตกรรมทางธุรกิจ (สังคมไร้เงินสด) การชำระค่าอาหารผ่าน QR Code, การสั่งซื้ออาหารผ่าน Application, Logistic ระบบจัดส่งอาหารด้วยความรวดเร็ว และนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร 3)Big Brother “สานพลังประชารัฐ” พบหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนขนาดใหญ่ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารพร้อมให้การสนับสนุน และ 4) Business Solution ร่วมหาแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการรายใหม่ หรือรายเดิมภายในงาน  จะพบกองทัพร้านอาหารริมทางชื่อดังกว่า 100 ร้าน จัดแบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ ดังนี้

-โซน Street Food สู่อุตสาหกรรม แสดงศักยภาพของผู้ประกอบการที่มีการพัฒนา  ต่อยอดจากผู้ประกอบการอาหารริมทาง มาสู่ รูปแบบของการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม เช่น ไก่ย่างห้าดาว ชายสี่หมี่เกี๊ยว  หมูปิ้งเฮียนพ ไส้กรอกแม่ไก่

-โซนล้านไลค์ ร้อยล้าน การออกร้านจำหน่ายอาหารที่มีชื่อเสียงจากโซเชียลผ่านการกดไลค์จากคนดูจำนวนมาก

-โซนจำลองร้านอาหารริมทางย่านการค้าสำคัญ ได้แก่ เยาวราช,  วังหลัง-ท่าพระจันทร์, เจริญกรุง-บางรัก, บางลำพู-ข้าวสาร โซน OTOP ริมทาง  ที่ได้รับการรับรองความอร่อยจาก กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โซน Food Truck และกลุ่ม Start Up โซน

-Food Exhibition เรื่องราวความเป็นมาของอาหาร Street Food ที่ได้รับความนิยม และติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก

-โซนนิทรรศการและการจัดแสดงชุดรถเข็นต้นแบบ ที่ผลิตและออกแบบตามข้อกำหนดและถูกสุขลักษณะเรื่องวัสดุประกอบรถเข็น ตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ เพื่อความปลอดภัย โซนนิทรรศการแนวโน้มบรรจุภัณฑ์อาหาร ที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  เป็นต้น


งาน Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future “สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต”   จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 29 เม.ย. 2561 ตั้งแต่เวลา 11.00 - 22.00 น. ณ บริเวณพื้นที่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี โดยสามารถติดตามข่าวสารประชาสัมพันธ์การจัดงานได้จากเว็บไซต์ของสถาบันอาหาร  www.nfi.or.th

27 เมษายน 2561

Thailand : Taste of Street Food 4.0 , Makeover Change to the Future : สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต



ผลิตภัณฑ์อาหารริมทางที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เช่น ขนมหม้อแกงกรอบ ขนมจีนน้ำยาปูฟรีซดราย น้ำซอสผัดไทยทิพย์สมัย ทั้งนี้จะจัดเลี้ยงในรูปแบบ Family Dinner เป็นการนำเมนูอาหาร Street Food มาปรุงโดยเชฟชุมพล แจ้งไพร

"Thailand : Taste of Street Food 4.0 , Makeover Change to the Future : สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต" ยกระดับขีดความสามารถและคุณภาพอาหารของผู้ประกอบการ Street Food ไทย
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง อุตสาหกรรม กล่าวว่า สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงาน  "Thailand : Taste of Street Food 4.0 , Makeover Change to the future : สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต" เพื่อยกระดับความปลอดภัย คุณภาพ มาตรฐานการผลิต และการบริการให้ธุรกิจร้านอาหารริมทางหรือ Street Food ของประเทศไทยที่มีมากกว่า 103,000 ร้านทั่วประเทศให้เกิดการตื่นตัว ขยายเครือข่ายธุรกิจสู่รูปแบบเฟรนไชน์ และส่งออกในอนาคต ที่สำคัญต้องการพัฒนาศักยภาพ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผลักดันนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัย เทคโนโลยีการชำระเงิน การสั่งซื้อหรือส่งสินค้า และเตรียมพร้อมเข้าสู่ 4.0 โดยจัดงานระหว่างวันที่ 27-29 เมษายน ตั้งแต่เวลา 11.00 - 22.00 น. บริเวณพื้นที่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี ถือเป็นการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการอาหารขนาดเล็ก หรือ อาหารริมทาง  (Street Food) ของไทย ทั้งนี้ ได้แบ่งการจัดงานออกเป็น 9 โซน ประกอบด้วย โซน "Street Food อุตสาหกรรม" แสดงศักยภาพของผู้ประกอบการที่พัฒนาต่อยอดจากอาหารริมทางสู่รูปแบบของการผลิตเชิงอุตสาหกรรม โซน "ล้านไลค์ ร้อยล้าน" การออกร้านจำหน่ายอาหารที่มีชื่อเสียงจากโซเชียลผ่านการกดไลค์จากคนดูจำนวนมาก โซน "จำลองร้านอาหารริมทางย่านการค้าสำคัญ" โซน "OTOP ริมทาง" ร้านอาหารริมทางจากทั่วประเทศและเมนูอาหารหาทานยาก ที่ได้รับการรับรองความอร่อยจาก กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โซน " Food Truck" ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่และมีกลุ่ม  Start Up จำนวนมาก โซน " Food Exhibition"  เรื่องราวความเป็นมาของอาหาร Street Food ที่ได้รับความนิยมและติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก โซน "นิทรรศการและการจัดแสดงชุดรถเข็นต้นแบบ" ที่ผลิตและออกแบบตามข้อกำหนดและถูกสุขลักษณะเกี่ยวกับวัสดุประกอบรถเข็น ตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย โซน " นิทรรศการแนวโน้มบรรจุภัณฑ์อาหาร"

สำหรับ Street Food ที่ทันสมัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสุดท้าย โซน " นิทรรศการของหน่วยงานต่างๆ" สำหรับงาน  "Thailand : Taste of Street Food 4.0 , Makeover Change to the Future : สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต" มีผู้ประกอบการอาหารริมทางทั่วประเทศ ผู้ประกอบธุรกิจอาหารและธุรกิจเชื่อมโยงสนใจเข้าร่วมงานและออกร้านจำหน่ายอาหารริมทางกว่า 100 ร้านค้า โดยประชาชนที่สนใจสามารถมาร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย บริเวณพื้นที่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี

บรรยากาศงาน Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future “สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต” โดยกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันอาหาร ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ผู้ประกอบการอาหารริมทางทั่วประเทศ ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารและธุรกิจเชื่อมโยง ผู้สนใจเข้าสู่ธุรกิจอาหาร และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมชมงาน ระหว่างวันที่ 27 - 29 เม.ย. 2561 เวลา 11.00 - 22.00 น. บริเวณพื้นที่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี

Thailand Taste of Street Food 4.0

ถึงปุ๊บบอกเลยว่าเจอความสนุกเข้าให้แล้ว!!
Thailand Taste of Street Food 4.0
Makeover Chance to the Future
งาน สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาตค ทั่วทุกมุมโลกกล่าวขาน สุดยอด street Food สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต พบกับต้นแบบ street food 100 ล้าน ร้านดัง ร้านอร่อยกว่า 120 ร้านค้า นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ พร้อมสร้างรายได้จาก street food กับแฟรนไชส์อาหารและกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย



พบกัน วันที่ 27-29 เมษายน 2561 เวลา 11.00-22.00
@ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี

เทคโนโลยี วีอาร์ กับบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นต่ออุตสาหกรรม

ดีป้า  เดินหน้าต่อเนื่อง  สร้างคนพันธุ์ดิจิทัลภายใน 5 ปี  เทคโนโลยีวีอาร์ มีบทบาทสำคัญมากขึ้นต่ออุตสาหกรรมหลาบแขนง ทั้งในประเทศและระดับสากล เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน  วงการดิจิทัลไทย ให้ก้าวหน้าเติมเต็ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตลาดหลักทรัพย์ การแพทย์ การซื้อขาย การท่องเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ หรือการผลักดันจินตนาการณ์ต่างๆ ให้กว้างออกไปมากที่สุดจากขีดจำกัดเดิมๆ เป็นโอกาสอันดีสำหรับคนรุ่นใหม่ ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก และมีการสนับสนุนที่หลากหลาย เราอยากจะให้เด็กๆ ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการดีๆ แบบโครงการ VR Inventors
VR คือคำตอบที่ตอบโจทย์ในทุกๆสิ่ง โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีวีอาร์ที่ทวีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นต่ออุตสาหกรรมแขนงต่างๆ ทั้งในประเทศและระดับสากล ให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนวงการดิจิทัลไทยให้ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง
 
 


สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)
 จัดแสดงผลงานวีอาร์ของนักพัฒนาคนรุ่นใหม่จาก โครงการ VR Inventors เพื่อผลิตนักพัฒนาโปรแกรมและเนื้อหาโลกเสมือนจริง (Virtual Reality) หลังผ่านการบ่มเพาะมายาวนานกว่า 2 เดือน พร้อมโปรแกรมศึกษาดูงาน ณ กรุงปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ อีก 1 เดือนเต็ม ภายใต้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญ ก่อนคัดเลือกเหลือสุดยอด 5 ผลงาน ได้แก่ M72LAW Simulator วีอาร์จำลองการใช้งานเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง , Falling Down เกมการศึกษา  ชั้นเปลือกโลกและธรณีวิทยา ผ่านการนั่งยานแสนสนุกลงใต้พิภพ , What the Tower? วีอาร์เกมแข่งต่อกล่องขึ้นไปให้สูงที่สุดภายใต้เวลาอันจำกัด , Music Band VR พัฒนาศักยภาพด้านสมองด้วยการฟังเสียงดนตรี เสริมสร้างทักษะการฟังเสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชนิด , Land of Smiles  วีอาร์   นำเสนอสถาปัตยกรรมไทย ความน่ากลัวของผีไทย และ ไสยศาสตร์ไทย โดยทั้งหมดจัดแสดง ณ บูท VR Inventors รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน



มาแล้ว มาแรงแซงทุกอย่างจ้า Croquant Chou จาก ZakuZaku เปิดสาขาในไทย


ร้านขนม CroquantChou ยอดนิยมจากประเทศญี่ปุ่น
ต้องกลับมาโดนที่สยาม


ไม่ต้องไปไกลถึงเจแปน เปิดตัวแล้ววันนี้! Croquant Chou ZAKUZAKU พร้อมอบความอร่อยแบบ
ไม่เหมือนใคร ณ ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์

ZAKUZAKU ร้านต้นกำเนิดขนม cream puff หรือชูครีม รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Croquant Chou เจ้าแรกในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นชูครีมCroquant กรุบกรอบรูปทรงยาว ร้าน  ZAKUZAKU สาขาสยามเซ็นเตอร์ เรียบร้อยแล้ว


วิลลี่ แมคอินทอช นำเข้าชีสทาร์ตชื่อดังอย่าง ZAKUZAKU แห่งแรกในประเทศไทย ร้านต้นตำรับขนม Croquant Chou เจ้าแรกจากประเทศญี่ปุ่น ให้คนไทยได้ลิ้มลองประสบการณ์ขนมในรูปแบบใหม่ อย่าง
ชูครีม Croquant กรุบกรอบ ทรงยาว และ ไอศกรีม Soft Serve มุ่งมั่นเสิร์ฟขนมคุณภาพเยี่ยมโดยขนม
ทุกชิ้นผ่านการผลิตอย่างพิถีพิถันด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศเกือบทั้งหมดส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นแป้งCroquantchouสูตรพิเศ ษ Croquant  กรุบกรอบที่ช่วยสร้างรสสัมผัส  ที่ไม่เหมือนใคร และไอศกรีม
 Soft Serve ที่ผลิตจากนมวัวสอดไส้ด้วยครีมคัสตาร์ดโดยขนม Croquant Chou ทุกชิ้น ผลิตสดใหม่
อบร้อนจากเตาผ่านการผลิตในรูปแบบ “Factory in Shop” ซึ่งลูกค้าจะได้เห็นถึงทุกขั้นตอนการผลิต
เพื่อรับรู้ได้ถึงความใส่ใจความพิถีพิถัน ไม่ต้องบินไปญี่ปุ่นต่อคิวซื้อที่ฮาราจูกุ ที่ ZAKUZAKU พร้อมเสิร์ฟส่งตรงถึงปากคุณ 



นอกจากขนม Croquant Chou ที่โด่งดัง ร้าน ZAKUZAKUยังมีเมนูไอศกรีมSoft Serve ที่ผลิตจากนมฮอกไกโด โรยหน้าด้วย Croquant กรุบกรอบที่เป็นที่นิยม อร่อยครีมอร่อยดีหวานมัน แป้งด้านนอกสีเข้มหอมกรอบตามชื่อ zakuzaku มีถั่วผสมให้ได้รสมันๆ กรุบๆ ด้านในเป็นไส้ครีมคัสตาร์ด ที่ตีสดใหม่ทุกวัน 

ขนมทุกชิ้นของ ZAKUZAKU เกิดขึ้นจากปรัชญา  “wearable choux”  ที่ทาง ZAKUZAKU ตั้งใจสร้างสรรค์ขนมทุกชิ้นให้มีความแปลกใหม่จากขนมแบบดั้งเดิม ให้เป็นเหมือนกับสินค้าแฟชั่นที่คุณจะอร่อยได้เมื่อไรและที่ใดก็ได้ตามต้องการ ซึ่งทำให้ ZAKUZAKUประสบความสำเร็จตั้งแต่ร้านแรกเปิดตัวที่ย่านชินจูกุเมื่อปี พ.ศ. 2557 ปัจจุบัน ZAKUZAKUมี 4 สาขาในประเทศญี่ปุ่น คือ ฮาราจูกุ อิเคบุคุโระ ฟุกุโอกะ และโอซาก้า และ 10 สาขาในจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ โดยล่าสุดคือกรุงเทพฯ


Crouquant chou zakuzaku อร่อยคุณภาพเยี่ยมจากจังหวัดฮอกไกโด
CroquantChou และไอศกรีม Soft Serve 

สติ๊ก 75.- 
Soft Serve 135.- ที่ Siam Center ฝั่งทางเชื่อม BTS
 







BAKE Cheese Tart Thailand นำโดยคุณคุณวิลลี่ แมคอินทอช คุณคัทลียา แมคอินทอช  และ
กลุ่มเพื่อนที่เป็นผู้นำเข้าฯจัดงานเปิดตัว ZAKUZAKUสาขาแรกในประเทศไทย และสาขาที่ 15
ของโลก  ในวันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561โดยได้รับเกียรติจากสื่อมวลชน

และเซเลบริตี้มากมายมาร่วมลิ้มลองความอร่อยของ Croquant Chou เป็นกลุ่มแรก ไม่ว่าจะเป็น
สองเซเลบริตี้คุณพอลลี่-พรพรรณ สิทธินววิธและคุณภัส-ภัสสร สิทธินวววิธ และสองนักแสดง
คุณมายด์-ณภศศิ สุรวรรณและ คุณไอซ์อมีนากูล




Crouquant chou zakuzaku วางจำหน่ายแล้ววันนี้ โดย Croquant Chou
ณ ร้านZAKUZAKUชั้น M ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์
เปิดทำการทุกวัน เวลา 10:00-22:00 น. หมายเลขโทรศัพท์ 091-916-4224

#ZAKUZAKUTHAILAND #GRABMEINBANGKOK


ดีป้า จัดแสดงผลงานผู้สร้างฝีมือคนไทย ไม่แพ้ใครในโลก

สุดยอด 5 ผลงาน จากผู้เชี่ยวชาญด้านวีอาร์ของเมืองไทย 
เดินหน้าต่อเนื่องสร้างคนพันธุ์ดิจิทัลภายใน 5 ปี


เทคโนโลยีที่กำลังน่าจับตามองในปัจจุบันสำหรับใครหลายคนคงไม่พ้นเทคโนโลยี Virtual Reality หรือ VR  เทคโนโลยีวีอาร์จากผู้สร้างฝีมือคนไทย โครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ให้เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ

เทคโนโลยีวีอาร์ มีบทบาทสำคัญมากขึ้นต่ออุตสาหกรรมหลาบแขนง ทั้งในประเทศและระดับสากล เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนวงการดิจิทัลไทย ให้ก้าวหน้าเติมเต็ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตลาดหลักทรัพย์ การแพทย์ การซื้อขาย การท่องเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ หรือการผลักดันจินตนาการณ์ต่างๆ ให้กว้างออกไปมากที่สุดจากขีดจำกัดเดิมๆ เป็นโอกาสอันดีสำหรับคนรุ่นใหม่ ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก และมีการสนับสนุนที่หลากหลาย เราอยากจะให้เด็กๆ ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการดีๆ แบบโครงการ VR Inventors  





VR คือคำตอบที่ตอบโจทย์ในทุกๆสิ่ง  โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีวีอาร์ที่ทวีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นต่ออุตสาหกรรมแขนงต่างๆ ทั้งในประเทศและระดับสากล ให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนวงการดิจิทัลไทยให้ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) จัดแสดงผลงานวีอาร์ของนักพัฒนาคนรุ่นใหม่จากโครงการ VR Inventors เพื่อผลิตนักพัฒนาโปรแกรมและเนื้อหาโลกเสมือนจริง (Virtual Reality) หลังผ่านการบ่มเพาะมายาวนานกว่า 2 เดือน พร้อมโปรแกรมศึกษาดูงาน ณ กรุงปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ อีก 1 เดือนเต็ม ภายใต้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญ ก่อนคัดเลือกเหลือสุดยอด 5 ผลงาน ได้แก่ M72LAW Simulator วีอาร์จำลองการใช้งานเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง , Falling Down เกมการศึกษาชั้นเปลือกโลกและธรณีวิทยา ผ่านการนั่งยานแสนสนุกลงใต้พิภพ , What the Tower? วีอาร์เกมแข่งต่อกล่องขึ้นไปให้สูงที่สุดภายใต้เวลาอันจำกัด , Music Band VR พัฒนาศักยภาพด้านสมองด้วยการฟังเสียงดนตรี เสริมสร้างทักษะการฟังเสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชนิด , Land of Smiles วีอาร์นำเสนอสถาปัตยกรรมไทย ความน่ากลัวของผีไทย และไสยศาสตร์ไทย โดยทั้งหมดจัดแสดง ณ บูท VR Inventors รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน วันก่อน


นายนรสิทธิ์ ยอขันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัล กล่าวว่า 
“อรรถประโยชน์ของวีอาร์มีมากมาย เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น เรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ สถานการณ์หรือสถานที่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราก็สร้างวีอาร์ขึ้นมาจำลองสถานการณ์ขึ้นมา รวมไปถึงใช้วีอาร์เพื่อการฝึกฝนและสร้างความรู้ความเข้าใจในเหตุการณ์หรือทฤษฎีต่างๆ ที่มีความซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น 

ดีป้าเล็งเห็นว่า วีอาร์เป็นเทคโนโลยีที่กำลังมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต โครงการนี้นับได้ว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีการสนับสนุนจากรัฐและเอกชนด้าน VR อย่างเต็มที่ แม้แต่คนที่ไม่ได้สนใจโครงการก็อยากให้ลองศึกษาดูเพราะเป็นเทคโนโลยีใกล้ตัวและส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจดิจิทัล จึงเห็นว่าควรเพิ่มจำนวนนักพัฒนาวีอาร์ และผลักดันให้นักพัฒนาวีอาร์ในประเทศไทยของเราสามารถก้าวขึ้นเทียบเท่านักพัฒนาวีอาร์ระดับโลกต่อไปได้ ทั้งนี้ ดีป้ามั่นใจว่า การพัฒนาบุคลากรและสร้างคนด้านดิจิทัล ในระยะสั้นต้องเร่งผลักดันให้เห็นผลภายใน 5 ปี เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”



นายจัตุพร รักไทยเจริญชีพ กราฟฟิค ดีไซน์เนอร์  VR M72LAW Simulator   กล่าวว่า “M72LAW Simulator ที่ทีมเราพัฒนานี้เป็นวีอาร์จำลองการใช้งานเครื่องยิงจรวด ต่อสู้รถถังไปยังเป้าหมายเพื่อประหยัดงบประมาณในการฝึก ผู้ฝึกได้รับประสบการณ์แบบไร้ขีดจำกัด โดยจำลองโลกเสมือนจริง
ในทุกๆ การกระทำและทุกๆ สภาวะ ไม่จำกัดกระสุน อุปกรณ์ในรูปแบบต่างๆ เราได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารโดยตรงมาช่วยแนะนำรูปแบบการผลิตให้สอดคล้องกับการนำไปใช้งานได้
จริงในองค์กรทางทหาร หลังจากเสร็จสิ้นโครงการนี้วางแผนพัฒนาต่อยอดให้การฝึกทางยุทธวิถีเต็ม
รูปแบบมากขึ้น”


นายจิระพัฒน์ เต็มเปี่ยม โปรแกรมเมอร์ VR Land of Smiles กล่าวว่า “ตั้งใจนำเสนอสถาปัตยกรรมไทย ความน่ากลัวของผีไทย และไสยศาสตร์ไทย แต่ยังคงความสนุกของเกมยิงแบบมุมมองบุคคลที่หนึ่ง โดยมีจุดเด่นคือ การใช้อาวุธไสยศาสตร์และมี Mission ที่เพิ่มความสามารถของผู้เล่นได้ ข้อดีที่ได้รับจากโครงการนี้คือ การได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอธิบายให้เข้าใจ ออกแบบเกมได้เป็นระบบและเข้าที่มากขึ้น การจูนให้พอดีและสนุก ซึ่งมันมีหลายส่วนมาก ถ้าอะไรมากเกินไปนิดนึงเสียสมดุลไปก็จะไม่สนุกครับ”

นางสาวประยุดา อนาพร กราฟฟิค ดีไซน์เนอร์ VR Music Band VR กล่าวถึงแนวคิดที่พัฒนาวีอาร์เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านสมองด้วยการฟังเสียงดนตรี เสริมสร้างทักษะการฟังเสียงของเครื่องดนตรีนี้ว่า “วีอาร์นี้เปรียบเสมือนเพลย์กราวด์ของผู้เรียน เป็นเหมือนเครื่องมือให้ได้ทดลองผสมเสียงเครื่องดนตรีต่างๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะการฟังเสียงดนตรีแต่ละชนิด นอกเหนือจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์ และแยกแยะเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชนิดได้ และยังสามารถทำแบบทดสอบเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจด้านดนตรีได้อีกด้วย” 

นายศรัณย์ รัตนกุลวรานนท์ โปรแกรมเมอร์ VR   Falling Down กล่าวว่า “Falling Down คือเกมการศึกษาเกี่ยวกับชั้นเปลือกโลก และธรณีวิทยาสำหรับเด็กอายุ 6-12 ปี ผ่านประสบการณ์นั่งยานแสนสนุกลงใต้พิภพ ในรูปแบบเสมือนจริง พร้อมตื่นตาไปกับสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อมแสนสวยงาม อีกทั้งภายในเกม ผู้เล่นยังสามารถสนุกสนานไปกับการตามล่าสิ่งของพิเศษที่รอให้สะสมอีกด้วย ภายในเกม
ผู้เล่นจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับชั้นเปลือกโลกภาคพื้นทวีป ชั้นเมนทัลและแก่นโลก นอกจากนี้ ผู้เล่นยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต หินแร่ และฟอสซิลที่มีอยู่ในชั้นต่างๆ เช่น ปลาปักเป้า ปลาจาละเม็ด สาหร่าย ปะการัง หินอัคนี ฟอสซิลทีเร็กซ์ และอื่นๆ อีกมากมาย”

นายสุภชัย ชูสิทธิ์ โปรแกรมเมอร์ VR What ‘s the! ? Tower กล่าวว่า “What ‘s the! ? Tower เป็นวีอาร์ที่มีแนวคิดต้นกำเนิดมาจากเกมกระดาน โดยต่อกล่องขึ้นไปให้สูงที่สุด โดยการจำกัดเวลา และใช้ความสูงที่ผู้เล่นทำได้มาเป็นเกณฑ์การให้คะแนน ผู้เล่นจะพบความท้าทายและประหลาดใจ ที่จะช่วยส่งเสริมอารณ์ในขณะเล่นเกม หลังจากนี้

26 เมษายน 2561

สยามบรูวบราเธอร์ ปั้น 3 คราฟท์เบียร์ไทยถูกกฎหมาย

คราฟท์เบียร์ไทยถูกกฎหมายเล็งเติบโตต่อเนื่องมากกว่า 100ปี 61

กลุ่มสยามบรูวบราเธอร์  เปิดตัว
คราฟท์เบียร์ไทยถูกกฎหมาย ได้แก่ ยักษา สเปซคราฟท์ และทริปเปิ้ลเพิร์ล พร้อมคาดการณ์อัตราการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจกว่า 100%ในปี 2561

นายประเสริฐ ศรีตะบวรไพบูลย์ ผู้ผลิตเบียร์ยักษา ตัวแทนกลุ่มสยามบรูวบราเธอร์
กล่าวว่า กลุ่มสยาม
บรูวบราเธอร์ ได้เปิดตัวเบียร์ทั้ง 
แบรนด์ ซึ่งได้แก่ ยักษา สเปซคราฟท์ และทริปเปิ้ลเพิร์ล อย่างไม่เป็นทางการมาก่อนหน้านี้ โดยสินค้าได้มีการวางจำหน่ายตามร้านอาหารและบนชั้นวางซุปเปอร์มาร์เก็ตมาประมาณปี แต่ในปีนี้ผู้ผลิตทั้ง 3ได้มีความคิดเห็นตรงกันว่าทั้ง แบรนด์ ต้องการเข้าสู่ตลาดคราฟท์เบียร์ไทยอย่างจริงจัง จึงได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานหลายประการ ทั้งโรงผลิต สูตรการผลิต ส่วนผสมที่ใช้ รวมถึงทิศทางด้านการขาย
สินค้าเข้าสู่ตลาด โดยในปีนี้ทางกลุ่มสยามบรูวบรา
-เธอร์ได้ ร่วมกับ บริษัท กัปตัน บาร์เรล จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเบียร์พรีเมี่ยมจากแถบทวีปยุโรป มาเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าให้กับกลุ่มสยามบรูวบราเธอร์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งบริษัทฯ มีฐานลูกค้าที่มากพอที่จะทำให้กลุ่มสยามบรูวบราเธอร์สามารถเติบโตได้ นอกจากนี้ปัจจัยด้านสภาวะตลาดที่มีการขยายตัวยังช่วยส่งผลให้ยอดขายของทั้ง แบรนด์ มีอัตรากว่าเติบโตได้มากกว่า 100% นปีนี้
          
นายประเสริฐ  กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเบียร์ที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานของกลุ่มสยามบรูวบราเธอร์ มีทั้งหมด 
ชนิด ได้แก่ ยักษาเพล เอล ปริมาณแอลกอฮอล์5.2%  ผลิตภายใต้แบรนด์ยักษา สเปซคราฟท์ : ลิเบอร์ตี้ 1ปริมาณแอลกอฮอล์ 5.5%  และสเปซคราฟท์ : อีเว้นท์ ฮอริซอน ปริมาณแอลกอฮอล์ 5.5%ผลิตภายใต้แบรนด์สเปซคราฟท์ ไข่มุกตะวันออก (Weisse Pearl) ปริมาณแอลกอฮอล์ 5.5% แลไข่มุกดำ ปริมาณแอลกอฮอล์ 5%ผลิตภายใต้แบรนด์ทริปเปิ้ลเพิร์ลโดยในปีนี้กลุ่มสยามบรูวบราเธอร์จะมีแผนการเปิดตัวเบียร์อีกชนิด ซึ่งนอกจากจะทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นแล้วยังเป็นการตอบสนองความต้องการและเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคในตลาดคราฟท์เบียร์ไทย
อีกด้วย  
อย่างไรก็ตามการเปิดตัวเบียร์ชนิดใหม่เข้าสู่ตลาดไม่ได้เป็นเพียงช่องทางเดียวในการขยายธุรกิจ โดยในด้านการผลิต เบียร์ทั้ง แบรนด์ ได้มีการย้ายฐานการผลิตมายังโรงเบียร์คิงดอม บริวเวอรีส์ประเทศกัมพูชา และได้เปลี่ยนแปลงการผลิตในรูปแบบใหม่ ซึ่งทำให้เบียร์มีรสชาติแตกต่างไปจากรุ่นที่ผลิตก่อนหน้านี้ นอกจากนี้แบรนด์ยักษาและสเปซคราฟท์ ยังได้มีการปรับเปลี่ยนฉลากบรรจุภัณฑ์ให้สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ทั้งสีสันและรูปแบบข้อความบนฉลาก -นายประเสริฐ กล่าวสรุป
ด้าน นายอาทิตย์ ศิวะหรรษาพันธ์ บล็อกเกอร์ที่มีประสบการณ์การดื่มเบียร์มามากกว่า 2,000 ชนิด กล่าวถึงตลาดคราฟท์เบียร์ไทยในมุมมองของนักดื่มว่า คราฟต์เบียร์ หมายถึง เบียร์ที่เกิดจากผู้ผลิตขนาดเล็ก ดำเนินงานโดยอิสระ และผู้ผลิตรายนั้นๆ จะต้องผลิตเบียร์น้อยกว่า 6 ล้านบาร์เรล หรือ 7 ร้อยล้านลิตรต่อปี ซึ่งคราฟท์เบียร์ไทยในปัจจุบัน จึงหมายถึง เบียร์ที่เกิดจากผู้ผลิตขนาดเล็กที่เป็นคนไทย แต่ด้วยกฎหมายการผลิตในปัจจุบัน ทำให้ผู้ผลิตไทยหลายรายนำสูตรเบียร์ที่คิดค้นขึ้นไปผลิตในโรงเบียร์ต่างประเทศ อาทิ ประเทศกัมพูชา เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน และออสเตรเลีย ฯลฯ และนำเข้ามาผ่านขั้นตอนการนำเข้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงเป็นสาเหตุที่คราฟท์เบียร์ไทยในตลาดมีราคาขายไม่แตกต่างไปจากเบียร์นำเข้าจากโซนประเทศอื่นๆ มากนัก
นายอาทิตย์กล่าวต่อว่าโดยปัจจุบันมีจำนวนคราฟท์เบียร์ไทยมากกว่า 40-50 แบรนด์ในตลาด ซึ่งถือเป็นข้อดีสำหรับผู้บริโภค ที่จะมีทางเลือกใหม่และได้ทดลองรสชาติใหม่ โดยการมีแบรนด์คราฟท์เบียร์ไทยใหม่ในตลาด
ถือเป็นการเปิดกว้างให้กับนักดื่มในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น แต่ในช่วง 
เดือนถึง ปีที่ผ่านมานี้ จะพบว่า คราฟท์เบียร์ไทยเป็นเพียงเทรนด์ใหม่ที่ผู้ผลิตรุ่นใหม่จำนวนมากให้ความสนใจ แต่หากผู้ผลิตรายนั้นๆ ไม่มีการปรับตัว
หรือมีความตั้งใจในการผลิตเบียร์คุณภาพดีออกมา ก็จะทำให้เบียร์แบรนด์นั้นๆ ตายไปในที่สุด ซึ่งต่อไปในอนาคตเราจะพบว่าคราฟท์เบียร์ไทยที่ยังคงอยู่ตลาด จะต้องเป็นเบียร์ที่มีคุณภาพดี ใช้ส่วนผสมที่ดี รวมถึงมีวิธีการผลิตและความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่

 กลุ่มสยามบรูวบราเธอร์ได้จัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการของคราฟท์เบียร์ไทย ได้แก่ ยักษา สเปซคราฟท์ และทริปเปิ้ลเพิร์ล ขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ โรงแรมเทนเฟส กรุงเทพฯ

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 
https://www.facebook.com/siambrewbrothers/

“โคนิก้า มินอลต้า” เปิดตัวกลุ่มธุรกิจใหม่ บุกตลาดกล้องวงจรปิด


“Mobotix” IP Camera ระดับ Highendจากประเทศเยอรมนี


"โคนิก้า มินอลต้า" ผู้นำด้านเทคโนโลยีการจัดการเอกสารภายในองค์กรมาตรฐานสากล เปิดตัวกลุ่มธุรกิจใหม่ จับมือกับ "Mobotix" IP Camera กล้องวงจรปิดคุณภาพสูง ระดับ High end จากประเทศเยอรมนี บุกตลาดกล้องวงจรปิดประเทศไทยเต็มสูบ ด้วยการเข้าถือหุ้น 65.5% หวังเจาะกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนที่เป็นลูกค้าปัจจุบันมากกว่า 4,000 ราย ที่ใช้เครื่องมัลติฟังก์ชั่น หรือ แท่นพิมพ์ดิจิตอลอยู่ พร้อมชูคุณสมบัติที่หลากหลายกว่ากล้องวงจรปิดทั่วไป กับซอฟท์แวร์ในการจัดการภาพที่ได้มาทำการวิเคราะห์ในเชิงต่างๆ เช่น การตรวจนับจำนวนของผู้คนที่เดินผ่านเข้าออก บริเวณประตู การตรวจสอบความถี่ของผู้บริโภคเมื่อเดินเข้าชมบริเวณสินค้า ตั้งเป้าปีแรก 100 ตัว


นายมาซาชิ มิยาโมโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคนิก้า มินอลต้า บิสสิเนส โซลูชันส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว เราเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการจัดการเอกสารภายในองค์กรและผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชั่น ที่ได้รับรางวัลและการรับรองมาตรฐานการผลิตระดับสากล เตรียมเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรอีกครั้ง โดยมุ่งยกระดับเทคโนโลยีและโซลูชั่นขององค์กรให้สามารถตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านระบบรักษาความปลอดภัย ที่ถือเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง ทั้งยังเป็นเทคโนโลยีที่เพิ่มความมั่นคงด้านความปลอดภัยขององค์กรทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน นอกจากนี้เทคโนโลยีดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มศักยภาพขององค์กรในเรื่องความรู้แบบ know how โดยเฉพาะด้าน video data integration platform เพื่อที่จะนำองค์ความรู้ดังกล่าวไปต่อยอดให้ Konica Minolta ก้าวขึ้นเป็นองค์กรชั้นแนวหน้าของโลกต่อไป


นายมาซาชิ มิยาโมโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคนิก้า มินอลต้า บิสสิเนส โซลูชันส์ (ประเทศไทย) จำกัด

"ทุกคนใน โคนิก้า มินอลต้า ทำงานภายใต้แนวคิด Business Transformation นั่นคือเราจะไม่หยุดแค่กับเรื่องที่เราทำอยู่ แต่เราจะพัฒนาต่อเพื่อให้ Konica ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าได้ เราจึงตัดสินใจลงทุนในธุรกิจระบบรักษาความปลอดภัยและการเฝ้าระวัง โดยการหาแบรนด์ที่มีการผลิตกล้องวงจรปิดคุณภาพสูง และมีเทคโนโลยีที่โดดเด่นในด้านดังกล่าว สุดท้ายแบรนด์ที่ตอบโจทย์เราที่สุดคือ Mobotix โดยเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา เราลงทุนเข้าถือหุ้นของ Mobotix สัดส่วน 65.5% ซึ่งเราเชื่อว่าการลงทุนในครั้งนี้จะเพิ่มศักยภาพของบริษัทในด้านอุตสาหกรรม optical รวมถึงช่วยขยายความชำนาญไปยังกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับข้อมูลดิจิทัลอีกด้วย"


สำหรับกล้องวงจรปิด Mobotix เป็นกล้องคุณภาพสูง เกรด Hi-end ผลิตจากพลาสติกเนื้อพิเศษ มีความทนทานสูงต่อทุกสภาวะแวดล้อมพร้อมความแตกต่างในการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบกระจายศูนย์ ทำให้กล้องสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง มีเสถียรภาพแม้เน็ตเวิร์คขัดข้องหรือส่วนประกอบอื่นล้มเหลว โดยกล้องจะบันทึกข้อมูลทั้งหมดไว้ใน Storage Card และเมื่อเน็ตเวิร์คกลับเป็นปกติ ไฟล์เหล่านั้นจะถูกจัดเก็บใน NAS ตามเวลาจริงโดยอัตโนมัติ และจะทำการแจ้งเตือนทันทีที่ระบบมีปัญหา นอกจากความคงทนในทุกสภาวะอากาศ ยังทนต่อแรงกระแทกและกันกระสุน รวมถึงความหลากหลายในการใช้งานได้ตามความเหมาะสมทั้งในเรื่องสถานที่และวัตถุประสงค์ เช่น กล้องสำหรับกลางวันและกลางคืน กล้องสำหรับภายในและภายนอกอาคาร กล้องเลนส์ 180 และ 360 องศา เป็นต้น นอกจากนี้ ภายในตัวกล้องมีการติดตั้งเลนส์แบบ Dual lens ที่ทำงานในการรับภาพพร้อมกัน 2 เลนส์ พร้อมโปรเซสเซอร์ ใช้ในการประมวลผลแยกอิสระของกล้องแต่ละเลนส์ และให้ภาพที่มีความละเอียดสูงถึง
6 ล้านเมกะพิกเซล ตัวกล้องยังมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะ สามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมหลากรูปแบบ ดังนี้





- กล้องมีความสามารถในการถ่ายภาพกลางคืนได้อย่างชัดเจน (Moonlight Technology) บันทึกภาพเคลื่อนไหวได้ชัดเจนในขณะที่ความสว่างไม่เอื้ออำนวย

- กล้องตรวจจับความเคลื่อนไหวในสภาวะมืดสนิทหรือพื้นที่ต้องห้ามด้วยการตรวจจับความร้อน ทำให้สามารถแยกแยะถึงสิ่งที่อยู่ในพื้นที่ที่กำหนด แม้ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา

- กล้องสามารถตรวจจับความร้อนบนใบหน้า หรือความร้อนของวัตถุต่างๆ พร้อมบอกอุณหภูมิ ในกรณีที่มีอุณหภูมิสูงมากกว่าที่กำหนดไว้ เช่นพบบุคคลมีไข้สูง หรือมีการลุกไหม้ของวัตถุในส่วนที่มีการเฝ้าระวังตัวระบบจะแจ้งเตือนอัตโนมัติ

- กล้องมีระบบปฏิบัติการภายใน เปรียบเสมือนเป็นคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถบันทึกข้อมูลลงภายตัวกล้อง โดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่อง Server ช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยรวมในการติดตั้ง เพราะไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ต่อพ่วงที่มีคุณสมบัติสูง



นายมาซาชิ มิยาโมโตะ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ เราคาดว่าลูกค้าของเราในปัจจุบันที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีมากกว่า 4,000 ราย ที่ใช้เครื่องมัลติฟังก์ชั่น หรือ แท่นพิมพ์ดิจิตอลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชน ต่างๆ จะหันมาติดตั้งกล้องวงจรปิด Mobotix คาดปีแรกจะสามารถจำหน่ายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ตัว ด้วยความโดดเด่นของ Mobotix ผสานกับการบริการในด้านการติดตั้ง การให้บริการหลังการขาย โดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน



ในปัจจุบัน อัตราการเติบโตของตลาดกล้องวงจรปิดเป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะระบบการรักษาความปลอดภัยถือเป็นสิ่งแรกๆ ที่ทุกองค์กรให้ความใส่ใจ ซึ่ง โคนิก้า มินอลต้า ไม่เพียงแต่ติดตั้งกล้องวงจร
ปิดเพื่อรักษาความปลอดภัยอย่างเดียว แต่ด้วยศักยภาพของกล้องจาก Mobotix จะสามารถดึงข้อมูลที่ได้จากกล้อง ประกอบกับซอฟท์แวร์ในการจัดการภาพที่ได้มาทำการวิเคราะห์ในเชิงต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจนับจำนวนของผู้คนที่เดินผ่านเข้าออก บริเวณประตู การตรวจสอบความถี่ของผู้บริโภคเมื่อเดินเข้าชมบริเวณสินค้า หรือการเช็คความหนาแน่นของลูกค้าตามช่วงเวลา ซึ่ง โคนิก้า มินอลต้า ใส่ใจกับรายละเอียดเหล่านี้อย่างมาก เพราะข้อมูลที่ได้สามารถนำไปต่อยอดความคิดในการออกแบบหรือการบริการให้ตอบโจทย์ของผู้บริโภคได้มากขึ้น สอดคล้องกับสโลแกนขององค์กร "Giving Shape to Ideas" นายมาซาชิ มิยาโมโตะ กล่าวทิ้งท้าย

The New Beginning of PRUKSA

พฤกษา ดึง “ตูน (อาทิวราห์)” ขึ้นแท่นเป็น Brand Endorserกับการรีแบรนด์ครั้งยิ่งใหญ่ ฉลองครบรอบ 25 ปี



พฤกษา ผู้นำอันดับ 1 วงการอสังหาฯ แถลงข่าวรีแบรนด์ครั้งยิ่งใหญ่ พร้อมเปิดตัว “ตูน (อาทิวราห์)”
นักร้องชื่อดังเป็น Brand Endorser โดยใช้ฐานทัพแห่งใหม่ของพฤกษา อาคารเพิร์ล แบงก์ค๊อก (Pearl Bangkok) เปิดแถลงข่าวถึงการรีแบรนด์ครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ 25 ปี และยังมีการเปิดตัว “ตูน (อาทิวราห์)” เป็น Brand Endorser สำหรับการสื่อสาร Brand Purpose เนื่องจาก “ตูน” มีความเด่นชัดในเรื่องปรัชญาการใช้ชีวิตที่ใส่ใจ และทุ่มเททำเพื่อคนอื่น ไม่ต่างจากปรัชญาการทำงานของพฤกษา คือ “ใส่ใจ...เพื่อทั้งชีวิต” และยังมีการเปิดตัวหนังโฆษณาออนไลน์ และเพลงพิเศษประกอบภาพยนตร์โฆษณา “ใส่ใจ” ที่แต่งให้กับพฤกษาโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังจัดเต็มมินิคอนเสิร์ตจากวงบอดี้สแลม ที่จะมามอบความสุขให้กับแขกผู้มีเกียรติ สื่อมวลชน และแฟนคลับที่มารอชมกันอย่างล้นหลามจนอาคารแทบแตกเลยทีเดียว ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ คุณสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ร่วมให้ข้อมูลและให้การต้อนรับสื่อมวลชนที่มาเยี่ยมบ้านของพฤกษา



ทั้งนี้ “ตูน” ได้เปิดเผยถึงการรับหน้าที่เป็น Brand Endorser ให้กับพฤกษาว่า...
 “การเลือกที่อยู่อาศัยนี่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะ “บ้าน” เป็นเหมือนจุดเริ่มต้น และเป็นศูนย์กลางของชีวิตครอบครัว อย่างตูนเอง เมื่อเหนื่อยกลับมาจากเล่นคอนเสิร์ต ก็อยากจะพักผ่อนสบายๆ ที่บ้าน สำหรับแบรนด์พฤกษา ก็เป็นแบรนด์ที่มั่นใจได้ว่า มีแนวคิดและความตั้งใจที่ดีที่จะส่งมอบบ้านที่ดีที่สุดให้ลูกค้า มองว่ามีอะไรที่คล้ายๆ กัน เพราะ คุณทองมา หรือ พฤกษา มีแนวคิด ในเรื่องความมุ่งมั่น และใส่ใจเพื่อคนอื่น ซึ่งมองว่าการมุ่งมั่นและใส่ใจทำเพื่อคนอื่นถือเป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็จะทำให้ผู้รับมีความสุข ”



การรีแบรนด์ในครั้งนี้ เป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของพฤกษา ที่เป็นมากกว่าแคมเปญการตลาด เพราะเป็นการนำวิสัยทัศน์คุณทองมาที่ต้องการให้คนไทยทุกคนมีบ้าน ที่ต้องอยู่อย่างมีความสุขและไร้กังวล เพราะบ้านคือการลงทุนทั้งชีวิต มาใช้เป็นแนวคิดกับพนักงานทุกคน ที่จะมุ่งมั่นทุ่มเทใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อการส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด และเมื่อประสานกับความต้องการของลูกค้า จึงได้ออกมาเป็นแบรนด์ไอเดีย “PRUKSA ใส่ใจ...เพื่อทั้งชีวิต” สำหรับการปรับเปลี่ยน โลโก้พฤกษาใหม่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่มีความหมาย ที่สะท้อนความเป็นพฤกษาซ่อนอยู่ “ใบไม้ซ้อนใบไม้ คือความใส่ใจจากภายในสู่ภายนอก” ความใส่ใจคุณภาพการก่อสร้าง ความใส่ใจคุณภาพตัวสินค้า ความใส่ใจคุณภาพการให้บริการ ความใส่ใจในการคิดค้นนวัตกรรม จนถึงความใส่ใจคุณภาพการใช้ชีวิต ทั้งหมดเหล่านี้เป็น Roadmap ที่พฤกษาได้วางไว้ โดยเริ่มจากคุณภาพการก่อสร้างที่เราใส่ใจในทุกรายละเอียด “Precast” เป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นในเรื่องขอคุณภาพว่าเราเป็นผู้บุกเบิก

The Macallan Edition no.3 ที่สุดของ ซิงเกิ้ลมอลล์

The Macallan Thailand ชวนคอ “ซิงเกิ้ลมอลล์” 



ชาวไทยให้สัมผัสกับรสชาติสุดพิเศษของ ซิงเกิ้ลมอลล์ “The Macallan Edition No.3” รุ่นพิเศษที่ผลิตออกมาในจำนวนจำกัด ด้วยผลงานรังสรรค์จากความร่วมมือกันแบบพิเศษระหว่าง วิสกี้มาสเตอร์หลัก Master Whiskey Maker Bob Dalgarno และ Master Perfumer Roja Dove ผู้รังสรรค์น้ำหอมชื่อดัง ที่นำเอาความโดนเด่นของกลิ่นมาผสมผสาน และรังสรรค์กลิ่นของ The Macallan Edition No.3 ด้วยการคัดเลือกถังไม้โอ๊คชั้นดีได้อย่างลงตัว



งานนี้ บริษัท Alchemy wines and spirits Thailand โดยมิสเตอร์คริสเตรียน ฮามส์ตัน (Mr.Kristian Harmston ) Group Managing Director ได้เนรมิตร้าน Cohiba Atmosphere (โคฮิบา แอทโมสเฟียร์) ซอยร่วมฤดี ให้กับเหล่าเซเลปนักดื่มและผู้ชื่นชอบซิงเกิ้ลมอลล์เป็นชีวิตจิตใจ ได้สัมผัสถึงรสชาติ Macallan Edition No.3 ที่สุดของซิงเกิ้ลมอลล์ และได้รับเกียรติจาก และนายประสบสุข ถวิลเวชกุล ผู้บริหาร บริษัท เดอะ แปซิฟิค ซิการ์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย Ms. Howe Luo, Ms. Ling Chien Ning, Ms.Samantha Chan และ Mr.KEITH NAIR Brand Trainer, South East Asia จาก บริษัท EDRINGTON SINGAPORE ร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่กับ The Macallan Edition no.3 ในครั้งนี้ด้วย

24 เมษายน 2561

True Merchant 4.0 สำหรับร้านค้า สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม

เปิดตัวแอป ทรู เถ้าแก่ 4.0 – True Merchant 4.0 สำหรับร้านค้า 
 ยิ่งขาย ยิ่งจ่าย ยิ่งได้พอยท์




กลุ่มทรู ผนึก ทรูยู ทรูไอดี ทรูมันนี่ สานต่อนโยบายรัฐก้าวสู่สังคมไร้ เงินสด  เปิดตัวแคมเปญ “True Point & Pay ยิ่งขาย ยิ่งจ่าย ยิ่งได้ทรูพอยท์” ผ่าน “ทรูเถ้าแก่ 4.0-True Merchant 4.0”    แอปพลิเคชันใหม่คู่ใจร้านค้า ช่วยเพิ่มยอดขาย และกำไร

นำ “โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ” เชื่อมต่อกระแส  ออเจ้า เจาะกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ายุคใหม่ เจ้าของร้านค้ามาเป็นพันธมิตร เพื่อให้ธุรกิจเติบโตไปด้วยกัน สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องลงทุนเพิ่มและยังโปรโมทร้านฟรีผ่านสื่อแบบครบวงจรอีกด้วย  โดยแอปฯ “ทรูเถ้าแก่ 4.0-True Merchant 4.0” ซื้อ-ขายง่าย ผ่าน QR Code เพียงสแกน QR Code ของร้านก็ชำระเงินผ่าน ทรูมันนี่ วอลเล็ทได้ทันที ปลอดภัย ไม่ต้องใช้เงินสด


นายฐานพล มานะวุฒิเวช ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ และบริหารความสุขลูกค้าบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคดิจิทัล  สนับสนุนการสร้างสังคมไร้เงินสดตามนโยบายของรัฐบาล จึงเปิดแคมเปญยิ่งใหญ่แห่งปี True Point & Pay ชูแนวคิด ยิ่งขาย ยิ่งจ่าย ยิ่งได้พอยท์ โดยสำหรับลูกค้ายิ่งใช้จ่าย ยิ่งได้พอยท์เพิ่ม

ส่วนร้านค้ายิ่งขาย ยิ่งได้ ยิ่งรวย ดึงพระเอกแห่งยุคโป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ มาชวนร้านค้าให้มาร่วมเป็นพันธมิตรกับทรู เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใหม่ “ทรูเถ้าแก่ 4.0- True Merchant 4.0”



นายธีรวัฒน์ ติลกสกุลชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ในฐานะที่
ทรูมันนี่เป็นผู้ให้ บริการด้านการชำระเงินอิเล็ กทรอนิกส์ และบริการทางการเงินสำหรับผู้ บริโภคในยุคดิจิทัล   รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่ วมแคมเปญนี้ ลูกค้าและร้านค้าจึงสามารถมั่ นใจและวางใจได้ว่านอกจากได้รั บความสะดวกสบายในการใช้จ่ายแล้ว ยังจะได้รับการปกป้องรั กษาความปลอดภัยบัญชีผู้ใช้ด้วยมาตรฐานระดับโลก”

นางสาวญาดาผนิต  โพธิ์เนียร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการพาณิชย์ บริษัท ทรู ดิจิตอล แอนด์ มีเดีย แพลตฟอร์ม จำกัด กล่าวว่า “ทรูไอดี แอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์ ความความต้องการที่ หลากหลายของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ รู้สึกยินดีที่ได้มอบสิทธิพิเศษต่างๆ จากทรูยู โดยทุกการใช้จ่าย 25 บาทจะได้รับ 1 ทรูพอยท์เพื่อนำไปแลกรับเป็นส่วนลดในร้านค้าต่างๆ อีกมากมาย”

ซื้อ-ขายง่าย ผ่าน QR Code เพียงสแกน QR Code ของร้าน ก็ชำระเงินผ่าน ทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้ทันที ปลอดภัย ไม่ต้องใช้เงินสด ไม่ต้องทอนเงินทุกรายรับ 25 บาท ร้านค้าจะได้รับทรูพอยท์ 1 คะแนน  ทุกการชำระเงิน 25 บาท ลูกค้าจะได้รับทรูพอยท์ 1 คะแนน  สะสมได้ผ่านแอปฯ นำไปเป็นส่วนลด และแลกซื้อสินค้าได้มากมาย
ลูกค้าทรูมูฟ เอช  ที่ชำระเงินผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ท ในแอปทรูไอดี ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ ก็จะได้ รับ
ทรูพอยท์เพิ่มเป็น 10 เท่าในทุกวันที่ 10 ของเดือน (สูงสุดไม่เกิน 300 ทรูพอยท์ต่อเดือน) ตั้งแต่วันที่
10 พฤษภาคม ถึง 10 ธันวาคม 2561 โดยร้านค้าที่มาร่วมกับเรา สามารถเพิ่มยอดขายและกำไรแบบ
สมาร์ตพร้อมโปรโมทร้านฟรีผ่านสื่อครบวงจร



นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษ จับรางวัลทุกวัน 5 รางวัลสำหรับลูกค้า  5 รางวัลสำหรับร้านค้า 
ตั้งแต่วันที่ 15พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2561 รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท อาทิ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และทองคำ นายฐานพล มานะวุฒิเวช กล่าวสรุป

ทั้งนี้ร้านค้าที่ สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปฯ “ทรู เถ้าแก่ 4.0-True Merchant 4.0” เพื่อใช้เป็นแอปฯ รับชำระเงินลูกค้า ได้ทั้งระบบ iOS และ แอนดรอยด์

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.trueyou.co.th/truemerchant4.0

23 เมษายน 2561

คอลเลคชั่น UNIQLO and JW ANDERSON 18SS

ยูนิโคล่ต้อนรับซัมเมอร์ด้วยคอลเลคชั่น
UNIQLO and JW ANDERSON 18SS
แรงบันดาลใจยุค 50 กลิ่นอายจาก ไบรตัน บีช ผสานปรัชญาไลฟ์แวร์พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้


ผลงานจากความร่วมมือกับ JW ANDERSON แบรนด์แฟชั่นจากลอนดอนในครั้งนี้ นำแรงบันดาลใจมาจากชายหาดไบรตัน บีช เพื่อเฉลิมฉลองยุคเฟื่องฟูสุดขีดของที่เที่ยวช่วงซัมเมอร์ยอดนิยมแห่งนี้ ในช่วงทศวรรษ 1950 สถานที่นี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่คึกคัก มีสีสัน และเต็มไปด้วยความแตกต่างมากมาย คอลเลคชั่นนี้ หยิบยกเอาวัฒนธรรมของไบรตันมาถ่ายทอดด้วยมุมมองที่ไม่เหมือนใครของ JW ANDERSON โดยผสานผ้าคุณภาพสูงเข้ากับรูปทรงการตัดเย็บและฟังก์ชั่นการใช้งาน นอกจากจะยืนพื้นด้วยเสื้อผ้าในดีไซน์ยูนิเซ็กส์แล้ว ยังมีสินค้ารายการต่างๆ ช่วยต่อเติมคอลเลคชั่นนี้ให้เอื้อกับการจับคู่และสวมทับเพิ่มเลเยอร์แบบลำลองเพื่อให้สร้างสรรค์สไตล์ได้หลากสไตล์ คอลเลคชั่นนี้โดดเด่นด้วยการมอบความสนุกเพลิดเพลินไปกับแฟชั่นแบบไลฟ์แวร์ (LifeWear) สู่ผู้คนคนทุกเพศทุกวัย

โจนาธาน แอนเดอร์สัน ก่อตั้งแบรนด์ เจดับเบิ้ลยู แอนเดอร์สัน 

เกี่ยวกับแบรนด์ JW ANDERSON
นักออกแบบชาวไอร์แลนด์เหนือ โจนาธาน แอนเดอร์สัน ก่อตั้งแบรนด์ เจดับเบิ้ลยู แอนเดอร์สัน (JW ANDERSON) ขึ้นในปี 2008 โดยในช่วงแรกเริ่มได้นำเสนอคอลเลคชั่นเครื่องประดับที่ทำขึ้นอย่างประณีต ซึ่งได้รับความสนใจอย่างรวดเร็วและส่งผลให้แบรนด์น้องใหม่แบรนด์นี้ได้ร่วมโชว์ในงานลอนดอนแฟชั่นวีคประจำปี 2008 ความสำเร็จจากคอลเลคชั่นเปิดตัวดังกล่าวทำให้แอนเดอร์สันได้รับทั้งเสียงชื่นชมและความสำเร็จทางธุรกิจ โดยในปัจจุบันแบรนด์ของเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นแบรนด์ที่ใหม่ล้ำและหัวก้าวหน้าที่สุดแบรนด์หนึ่งของลอนดอน   JW ANDERSON ได้ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์ชื่อดังระดับสากลและคว้ารางวัลต่างๆ มาแล้วจากหลายเวที ได้แก่
2012 รางวัล British Fashion Awards สำหรับนักออกแบบดาวรุ่ง (Emerging Talent), เสื้อผ้าสำเร็จรูป
2013 รางวัลแบรนด์น้องใหม่ (New Establishment Award)
2014 รางวัลสุดยอดนักออกแบบเสื้อผ้าผู้ชายแห่งปี (Menswear Designer of the Year)
2015 รางวัล British Fashion Awards สำหรับสุดยอดนักออกแบบเสื้อผ้าผู้ชายและเสื้อผ้าผู้หญิงแห่งปี (Menswear and Womenswear Designer of the Year)


โจนาธาน แอนเดอร์สัน ผู้ก่อตั้งแบรนด์ JW ANDERSON กล่าวถึงการเปิดตัวคอลเลคชั่น UNIQLO and JW ANDERSON Spring/Summer 2018 นี้ว่า “ในคอลเลคชั่นที่สองนี้ผมหาไอเดียที่จะนำเสนอ “บริติช ซัมเมอร์” ซึ่งไอเดียที่ว่านี้ การได้รับแรงบันดาลใจมาจากการอยู่บนชายหาดไบรตัน บีชนั่นเอง คอลเลคชั่นนี้จึงได้เห็นคอลเลคชั่นอะไรที่น้ำหนักเบามากๆ โปร่งมากๆ คอลเลคชั่นที่ได้ผ้าลินิน และผ้าฝ้ายที่ให้อารมณ์ของกระแสวัฒนธรรมย่อยในยุคทศวรรษ 1950 พร้อมให้ความรู้สึกสบายและเป็นไอเท็มชิ้นจำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า

 “ในฐานะที่ผมเป็นลูกค้าของยูนิโคล่อยู่ด้วย ผมจึงรู้ดีถึงคุณภาพที่แบรนด์นี้มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของตน ผมภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับคุณภาพและการใส่ใจในรายละเอียดที่เราจะได้ส่งมอบผ่านคอลเลคชั่นใหม่สำหรับสปริง/ซัมเมอร์ ในปีนี้”


ยูกิ คัทซึตะ รองประธานกลุ่มระดับอาวุโส บริษัท ฟาสต์ รีเทลลิ่ง จำกัดและ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและออกแบบ บริษัท ยูนิโคล่ จำกัดกล่าวว่า

“ด้วยการที่เราอุทิศตัวเพื่อพันธกิจที่ว่า Simple Made Better หรือ ความเรียบง่ายสร้างสิ่งที่ดีกว่าเดิม กับหลักปรัชญาไลฟ์แวร์ (LifeWear) จึงเป็นการสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่ผสานไว้ซึ่งความเรียบง่าย คุณภาพ และการคงอยู่อย่างยืนยาว รวมทั้งให้ความดูดีมีสไตล์อยู่เสมอ การร่วมมือกัน UNIQLO and JW ANDERSON Spring/Summer 2018 ครั้งนี้แสดงให้เห็นความก้าวหน้าในการสร้างสรรค์เสื้อผ้าชิ้นพื้นฐานให้เป็นแฟชั่นที่มีเสน่ห์ โดยการสะท้อนมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์ของ JW ANDERSON ในการสื่อถึงมรดกของไบรตัน บีช ในฐานะเมืองตากอากาศช่วงซัมเมอร์ของอังกฤษ ที่ได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย”





คอลเลคชั่นนี้มีทั้งเสื้อยืดลายทางสีสดใส เสื้อโปโลถัก ชวนให้นึกถึงเสื้อผ้าชายหาด ตลอดจนเดรส
เสื้อบอมเบอร์แจ็คเก็ตผ้าเซียร์ซัคเกอร์ กระโปรงบาน และเสื้อเบลาส์ที่จับจีบและมีระบายในสไตล์เฉพาะตัวของ JW ANDERSON ในขณะที่เสื้อยืด เสื้อถัก และกระเป๋าลายพิมพ์รูปนกนางนวลเป็นการฉลองให้กับความสนุกสนานของชีวิตริมทะเลในอังกฤษในรูปแบบที่แปลกตา ยิ่งไปกว่านั้นคอลเลคชั่นนี้ยังผสานองค์ประกอบของเสื้อผ้าทำงานไว้ด้วย เช่น เสื้อแจ็คเก็ตผ้าเดนิมในสไตล์วินเทจยุค 50 และเสื้อทูนิคที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องแบบตำรวจอังกฤษแบบดั้งเดิม ตลอดจนการตกแต่งที่บ่งบอกว่าเป็นผลงานของ JW ANDERSON เช่น ลายทางและงานแพชเวิร์ค (Patchwork) บนเสื้อเชิ้ตและกระโปรง

คอลเลคชั่นนี้ใช้สีสันอ่อนๆ พร้อมกับเติมแต่งด้วยสีแดงซันเบิร์น น้ำเงินทรูบลู แดงป๊อปปี้เรด ขาว เบจ และเขียวหม่น นอกจากนี้ยังอวดดีไซน์ที่เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากของแบรนด์ JW ANDERSON เพิ่มเติมเข้ามาอีกด้วย อาทิ ลายตาหมากรุกสีเหลืองและสีน้ำเงินสว่าซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากดีไซน์สนุกๆ ของตะกร้าปิคนิคที่มีเต็มไปด้วยลายสาน


ยูนิโคล่ เผย คอลเลคชั่น UNIQLO and JW Anderson Spring/Summer 2018
สำหรับผู้ชายและผู้หญิงจะเริ่มวางจำหน่ายในร้านยูนิโคล่สาขาที่ร่วมรายการ และทางออนไลน์
สโตร์ผ่าน www.uniqlo.com/th ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 20 เมษายนนี้เป็นต้นไป