เที่ยวทั่วไทย อร่อยทั่วโลก อัพเดทข่าวรายวัน Lifestyle บันเทิง ทันทุกกระแสข่าว!

30 มิถุนายน 2563

ททท.ชวนนักเดินทางแพ็คกระเป๋าออกตามหาความสุขที่คุณคิดถึง กับแคมเปญ “We miss the rain”

60 เส้นทางความสุขหน้าฝน @ เมืองไทย เดอะ ซีรีส์  

พร้อมข้อเสนอพิเศษที่มากับสายฝนให้คนไทยเที่ยวให้ฉ่ำใจตลอดหน้าฝนนี้

1 กรกฎาคม 2563, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับพันธมิตรท่องเที่ยว เปิดตัวแคมเปญ
“We miss the rain” 60 เส้นทางความสุขหน้าฝน @ เมืองไทย เดอะ ซีรีส์ Hello Rainy ต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยว
หน้าฝน ชวนคนไทยแพ็คกระเป๋าออกเดินทางตามหาความสุขที่มากับสายฝน พร้อมจัดโปรโมชั่นที่พัก บัตรโดยสาร แพ็กเกจทัวร์ รถเช่า สปา กิจกรรม ในราคาสุดพิเศษให้คนรักฝนออกเดินทางเที่ยวเมืองไทยให้หายคิดถึง  
 






นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า กรีนซีซั่นหน้าฝนปีนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษที่ทุกคนรอคอย หลังจากต้อง stay home, work from home กันมานาน ททท. จัดแคมเปญพิเศษ “We miss the rain” ชวนเที่ยวหน้าฝนกับ 60 สถานที่เที่ยวหน้าฝนที่ได้รับการโหวตจากนักท่องเที่ยวว่าเป็นที่ที่คิดถึงและอยากไปที่สุดในหน้าฝนนี้ ตัวอย่างเช่น 1. บ้านป่าบงเปียง  จ.เชียงใหม่ 2.นาขั้นบันได โครงการปิดทองหลังพระ จ.น่าน 3.นาข้าวขั้นบันได บ้านผาหมอน จ.เชียงใหม่ 4.ไร่ชาลุงเดช จ.เชียงใหม่ และ 5.ไร่ชา 2000 จ.เชียงใหม่ ฯลฯ  ททท. ร่วมกับพันธมิตรมอบข้อเสนอพิเศษให้คนไทยเที่ยวให้ฉ่ำใจตลอดหน้าฝนนี้ อาทิเช่น

·                   สายการบินไทยสมายล์ มอบโปรโมชั่นบัตรโดยสารราคาพิเศษ “Rainy Me & My Gang”  เริ่มต้นเพียง 1,250 บาทต่อเที่ยวบิน สำหรับเส้นทาง เชียงใหม่  สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และนราธิวาส สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางเส้นทางกรุงเทพฯ-ภูเก็ต ลุ้นรับ Voucher ที่พักจากโรงแรมในเครือ Blu Monkey Phuket กว่า 60 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 150,000 บาท พร้อมบินอุ่นใจ ด้วยมาตรฐานด้านสุขอนามัยขั้นสูง เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร สำรองที่นั่งได้ตั้งแต่วันที่ 1– 15 กรกฎาคม 2563 เท่านั้น เดินทาง 16 กรกฎาคม 2563 – 15 กันยายน 2563 นี้

·         สายการบินนกแอร์ มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้โดยสาร 60 ท่านแรก ที่ซื้อบัตรโดยสาร Go Solo Go Far เส้นทางกรุงเทพ-เชียงใหม่ จะได้รับ Gift Voucher ที่พักจาก Baan Phuen hostel & Rooftop เชียงใหม่ ฟรีทันที ! สายการบินนกแอร์มีมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างเข้มงวดตามมาตรฐานสากลทุกเที่ยวบิน

·            แอร์เอเชีย มอบโปรโมชั่น เที่ยวเหนือฉ่ำใจ เที่ยวใต้สุดชิล สำรองที่นั่งพร้อมกันได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป พร้อมเดินทางปลอดภัยไปกับแอร์เอเชียได้แล้วในทุกเส้นทางบินภายในประเทศ

·         Trip.com จัดกิจกรรม Flash Sale “Family Fun Fin” ลดราคาที่พักจัดหนักสำหรับกลุ่มครอบครัวสูงสุดถึง 75% เพียง 3 วันเท่านั้น สามารถซื้อดีลสุดพิเศษได้ตั้งแต่วันที่ 1-3 กรกฎาคม นี้ และดีลพิเศษสำหรับคนรักฝนมากมายอาทิเช่น

·       Trip.com มอบส่วนลดโรงแรมสูงสุดถึง 50% และ ส่วนลดตั๋วเครื่องบินในประเทศราคาสุดประหยัด

·       สายการบิน VietJet  เส้นทางกรุงเทพ-เชียงใหม่ ราคาพิเศษเพียง 1,225 บาท เริ่มจองได้ตั้งแต่วันนี้ - 25 กรกฎาคม 2563 เดินทางได้ตั้งแต่วันนี้ - 30 สิงหาคม 2563

·       Grab มอบส่วนลดการเดินทาง 60% สำหรับนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการ Just Grab และ Grab Car เพียงใส่โค้ด TATRAINY

·       ASAP มอบส่วนลดรถเช่า 30% เพียงใส่โค้ด 60WHP

·       BUDGET เช่ารถในราคาพิเศษ เริ่มต้น 800 บาท เพียงใส่โค้ด TATBUD20

·       OASIS SPA มอบสิทธิพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวซื้อ SPA Package ผ่านโครงการฯ ในราคาสุดพิเศษ เริ่มต้นเพียง 2,548 บาท จากราคาปกติ 5,900 บาท

·       เมืองไทยประกันภัย มอบส่วนลดพิเศษเบี้ยประกันภัย 15% สำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันภัย และเมื่อครบ 400 บาท ขึ้นไปรับ Gift card จาก Tesco Lotus มูลค่า 100 บาท

·       Cigna ประกันภัย มอบสิทธิพิเศษ ประกันอุบัติเหตุ ค่ารักษา 5,000 บาท/อุบัติเหตุ นาน 3 เดือน ฟรี! เพียงลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแคมเปญ We miss the rain

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวสรุป “สำหรับนักเดินทางทุกคนที่ซื้อดีลท่องเที่ยวและจองซื้อตั๋วเครื่องบินผ่านทาง เว็บไซต์กิจกรรม https://www.hellorainy.60เส้นทางความสุข.com จะได้รับสิทธิ์ลุ้นรางวัลตั๋วเครื่องบิน, บัตรกำนัลโรงแรม, แพ็กเกจท่องเที่ยว ของพรีเมียมอื่นๆ กว่า 100 รางวัล มูลค่ารวม 1 ล้านบาท กำหนดจับฉลากในวันที่ 30 กันยายน 2563 นักท่องเที่ยวสามารถติดตามกิจกรรมต่างๆ ในโครงการจากเพจ 60 เส้นทางความสุขนะครับ”  

 

ติดตามเรื่องราวของ 60 เส้นทางความสุข @ เมืองไทย เดอะ ซีรีส์ 

Website:  https://www.hellorainy.60เส้นทางความสุข.com

Facebook:  www.facebook.com/60happinessroute/


มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระบบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ แจกหน้ากากเปิดเทอมวันแรก

วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหารลงตรวจความพร้อมมาตรการอำนวยความสะดวก ในการให้บริการ และมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระบบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล  ลิงก์


ช่วงเริ่มเปิดภาคเรียนการศึกษา ซึ่งคาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังได้แจกหน้ากากอนามัยให้แก่ผู้โดยสาร ณ แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีรามคำแหง และสถานีมักกะสัน

การประกวด TAT Travel Tech Startup Season 2 ประจำปี 2563

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ขอเชิญชวน นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป ที่มีความฝันอยากมีธุรกิจ startup เป็นของตัวเอง มีไอเดีย มีความสามารถในการพัฒนา นวัตกรรมทางสารสนเทศเพื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เข้าร่วมแข่งขันการประกวด TAT Travel Tech Startup Season 2 ประจำปี 2563
ชิงเงินรางวัล มูลค่ากว่า 1,000,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตรและของที่ระลึก

คุณสมบัติผู้เข้าร่วมสมัคร ดังนี้
- นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป
- อายุ 18 ปีขึ้นไป
- ทีมละ 3-5 คน
- ผู้สมัครต้องอยู่ในประเทศไทย ไม่จำกัดสัญชาติ ทีมสามารถมีสมาชิกสัญชาติอื่นนอกจากสัญชาติไทยได้ไม่เกิน 2 คนต่อทีม ผู้สมัครควรมีการศึกษา อาชีพ หรือความชำนาญหลากหลายแตกต่างกัน
รายละเอียดเพิ่มเติม
https://tatstartup.tech 
รับสมัครวันที่ 1 - 30 กรกฎาคม 63 นี้

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
อีเมล์ : support@tatstartup.tech

#startup #thailand #AWarpToTheFuture #ททท #TAT #TATStartup
#Startupthailand #NewSCurveBusiness #TravelTech #Hackathon

29 มิถุนายน 2563

รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ดำเนินมาตรการผ่อนปรนการเว้นระยะห่างการนั่ง และยืนในขบวนรถ ให้สอดคล้องตามปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มสูงขึ้น ตามนโยบายกรมการขนส่งทางราง


รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ดำเนินมาตรการผ่อนปรนการเว้นระยะห่างการนั่ง และยืนในขบวนรถ ให้สอดคล้องตามปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มสูงขึ้น ตามนโยบายกรมการขนส่งทางราง แต่ยังคงขอความร่วมมือผู้โดยสารในการปฏิบัติมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
 
นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เปิดเผยว่าตามที่กรมการขนส่งทางรางได้เสนอขอให้คลายล็อคมาตรการเว้นระยะห่างภายในรถไฟฟ้าและรถไฟชานเมือง เพื่อป้องกันผู้โดยสารที่จะเพิ่มมากขึ้นจนอาจทำให้เกิดการติดเชื้ออื่น ๆ เข่น ไข้หวัด จากการรอบริเวณสถานีในชั่วโมงเร่งด่วนต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ซึ่ง ศบค. ได้มีมติเห็นชอบคลายล็อคมาตรการเว้นระยะห่างภายในรถไฟฟ้าดังกล่าว ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องตามนโยบายของกรมการขนส่งทางราง บริษัทจึงผ่อนปรนมาตรการการเว้นระยะห่างบนรถไฟฟ้า  โดยกำหนดเพิ่มความหนาแน่นจากเดิมได้ไม่เกินร้อยละ 50 เป็น 70 กำหนดจุดยืนแบบหันหลังชนกันภายในรถ และอนุญาตให้นั่งในที่นั่งติดกันได้ แต่ยังคงเน้นย้ำมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อย่างเคร่งครัด
โดยผู้โดยสารทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยก่อนเข้าใช้บริการ และขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing เว้นระยะห่าง 2 เมตรขณะรอซื้อตั๋วโดยสาร และตรวจวัดอุณหภูมิ รวมถึง ยืนในระยะห่างที่เหมาะสมขณะใช้ลิฟต์ และบันไดเลื่อน งดเว้นการพูดคุยภายในตู้โดยสาร และหากในกรณีมีผู้โดยสารหนาแน่น จะดำเนินการจำกัดปริมาณผู้โดยสารที่จะขึ้นสู่ชั้นชานชาลาและภายในขบวนรถไฟฟ้า    ( Group Release ) โดยกำหนดพื้นที่ในการยืนรอห่างกัน 1 เมตร รวมทั้งมีการเพิ่มความถี่ในการดูแลทำความสะอาด และฆ่าเชื้อโรคภายในบริเวณสถานี และขบวนรถอย่างเข้มงวด
ทั้งนี้ในช่วงเปิดภาคเรียนซึ่งคาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล  ลิงก์ เพิ่มมากขึ้นจากเดิมเฉลี่ย 34,000 คน/วัน เป็น 40,000 คน/วัน บริษัทได้เตรียมขบวนรถเสริม ในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น
วันจันทร์ – ศุกร์ จำนวน 24 เที่ยว/วัน เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้นของผู้โดยสารได้ หรือหากมีผู้โดยสารใช้บริการหนาแน่นมากก็จะพิจารณาเพิ่มเติมขบวนรถเสริมอีก เพื่อให้
เพียงพอต่อการใช้บริการของผู้โดยสาร
หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข Call Center 1690 หรือ www.srtet.co.th , www.facebook.com/AirportRailLink และ Twitter : Airport Rail Link

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ จังหวัดอุบลราชธานี สืบสานประเพณีไทย

 งานเทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี
“อนุรักษ์เทียนพรรษา มุทิตาหลวงปู่มั่น”

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ จังหวัดอุบลราชธานี สืบสานประเพณีไทย งานเทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี “อนุรักษ์เทียนพรรษา มุทิตาหลวงปู่มั่น” ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ สืบทอดติดต่อกันมากว่า 119 ปี ภายในงานพบกับกิจกรรมที่น่าสนใจ 7 อาทิ โซนการจัดแสดงแสงเสียงเทียนพรรษา, โซนนิทรรศการหลวงปู่มั่นและพุทธศาสนา, โซนการจัดแสดงภาพถ่ายขบวนแห่เทียนพรรษาที่ได้รับรางวัลจากชมรมถ่ายภาพจังหวัดอุบลราชธานี, โซนถนนสายเทียน เป็นต้น

ห้ามพลาด มาสืบสานประเพณีไทยไปด้วยกัน ในวันที่ 3-7 กรกฎาคม 2563 เวลา 10.00-22.00 น. ณ ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://thailandfestival.org

นอกจากนี้ ททท. ได้สร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว โดยจัดกิจกรรมในรูปแบบ New Normal ด้วยระบบ Live Map โดยควบคุมจำนวนผู้เข้าร่วมงานให้เหมาะสมกับพื้นที่ ครั้งละไม่เกิน 2,000 คน โดยสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ตั้งแต่ว้นที่ 1-7 กรกฎาคม นี้


งานเทียนพรรษาอุบลราชธานี2563
ตั้งต่วันที่ 3  - 7 กรกฎาคม  นี้
www.thailandfestival.org/


27 มิถุนายน 2563

ททท.ร่วมกับจ.อุบลฯ เตรียมจัดงาน “อนุรักษ์เทียนพรรษา มุทิตาหลวงปู่มั่น” ชูรูปแบบ New Normal ด้วยระบบ Live Map



การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ จังหวัดอุบลราชธานี สืบสานประเพณีไทย งานเทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี “อนุรักษ์เทียนพรรษา มุทิตาหลวงปู่มั่น” ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ สืบทอดติดต่อกันมากว่า 119 ปี 
ภายในงานพบกับกิจกรรมที่น่าสนใจ 7 โซน ดังนี้


🔸โซนการจัดแสดงแสงเสียงเทียนพรรษา ชม เทียนพระราชทาน ต้นเทียนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในปีที่ผ่านมา รวมจำนวน 5 ต้น ได้แก่ ประเภทแกะสลัก/ ติดพิมพ์ ขนาดใหญ่-กลาง จากวัดผาสุการาม ,วัดเลียบ ,วัดพลแพน , วัดมหาวนาราม โดยมีการจัดแสดงผสมผสานแสง เสียงและคำบรรยาย เพื่อสร้างความน่าสนใจ

🔹️โซนนิทรรศการหลวงปู่มั่นและพุทธศาสนา แสดงถึงนิทรรศการเกี่ยวกับอัตชีวประวัติของหลวงปู่มั่นครบรอบ 150 ปีชาตกาล ซึ่งได้รับการยกย่องเชิดชูให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกสาขาสันติภาพ และนิทรรศการพุทธประวัติ


🔸โซนการจัดแสดงภาพถ่ายขบวนแห่เทียนพรรษาที่ได้รับรางวัลจากชมรมถ่ายภาพจังหวัดอุบลราชธานี

🔹️โซนถนนสายเทียน มีกิจกรรม การหล่อเทียน ทำดอกผึ้ง การติดพิมพ์ และแกะสลักเทียน
🔸โซนต้นเทียนจำลองแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอต่างๆ 10 อำเภอ

🔹️โซนการแสดงศิลปวัฒนธรรม ศิลปวัฒนธรรม การแสดงทางวัฒนธรรม ดนตรีพื้นเมือง หมอลำ ลูกทุ่ง และการแสดงร่วมสมัย

🔸โซนของดีเมืองอุบล การนำเสนอสินค้าจากชุมชนเพื่อมาสาธิตและจำหน่ายในงาน เช่น ซาลาเปา จากอำเภอพิบูลมังสาหาร , ปลาส้มสามพันโบก , ผ้ากาบบัว , เครื่องทองเหลืองบ้านปะอาว , เทียนหอม อำเภอเดชอุดม เป็นต้น


ห้ามพลาด มาสืบสานประเพณีไทยไปด้วยกัน ในวันที่ 3-7 กรกฎาคม 2563 เวลา 10.00-22.00 น. ณ ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://thailandfestival.org

นอกจากนี้ ททท. ได้สร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว โดยจัดกิจกรรมในรูปแบบ New Normal ด้วยระบบ Live Map โดยควบคุมจำนวนผู้เข้าร่วมงานให้เหมาะสมกับพื้นที่ ครั้งละไม่เกิน 2,000 คน โดยสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ตั้งแต่ว้นที่ 1-7 กรกฎาคม 2563 ทาง www.thailandfestival.org/งานเทียนพรรษาอุบลราชธานี2563

26 มิถุนายน 2563

พบนวัตกรรมล่าสุดของ ARROW กับ หน้ากากอนามัยจากผ้า “ViralOff”

ช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (H3N2) 
ในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ออนไลน์ ปี 63 ระหว่างวันที่ 2-5 ก.ค. 63 

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ส่งผลกระทบทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมไปทั่วโลก 
ด้วยวิถีชีวิตใหม่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปเป็น 
“NEW NORMAL” หรือ ความปกติในรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม 
ทำให้ทุกคนต้องหันมาดูแลสุขภาพตัวเองกันมากขึ้น ผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกาย
 ARROW ขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมต่อสู้กับ
วิกฤตที่เกิดขึ้นในทุกช่วงสถานการณ์ เพื่อการดูแลสุขภาพของตัวเองและคนรอบข้างด้วยความห่วงใย เพื่อทุกย่างก้าวของการ
ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท
 
ผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกาย ARROW จึงได้จัดทำ หน้ากากอนามัยจากผ้า “ViralOff” เพื่อสุขอนามัยจากนวัตกรรม 
เนื้อผ้ายับยั้งไวรัส ที่พัฒนามาพร้อมความอินเทรนด์ ช่วยยับยั้งการสะสมของ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (H3N2) ได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 2 ชั่วโมง พร้อมคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของ เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอับชื้น ด้วยเนื้อผ้าแห้งไว ระบายอากาศได้ดี จากส่วนผสมเส้นใย 55% COTTON 45% POLYESTER ตามมาตรฐาน CoolMode มีสาร Silver Chloride ที่เคลือบบนผ้า ViralOff ผ่านมาตรฐาน OEKO-TEX Standard Class I ที่ตรวจสอบแล้วว่า สามารถใช้ได้กับ เด็กอ่อน 0-36 เดือน (Baby New Born) อีกทั้งหลังผ่านการซัก 20 ครั้ง ประสิทธิภาพจะยังคงอยู่

สำหรับทุกท่านที่สนใจ หน้ากากอนามัยจากผ้า “ViralOff” ช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (H3N2) นวัตกรรมใหม่ล่าสุดจาก ARROW จำหน่ายราคาชิ้นละ 299 บาท สามารถเป็นเจ้าของได้ใน งานสหกรุ๊ปแฟร์ ออนไลน์ ปี 63” 
ระหว่างวันที่ 2-5 ก.ค. 63 
หรือคลิกแล้วคุ้มที่ : www.sahagroupfair.com

“พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน”ปีที่ 8

จัดกิจกรรมอบรมและเอามื้อสามัคคีที่จังหวัดลพบุรี ชัยภูมิ และฉะเชิงเทรา ภายใต้แนวคิด สู้ทุกวิกฤต รอดพอดีด้วยศาสตร์พระราชา
โครงการ “ตามรอยพ่อฯดกิจกรรมอบรมและเอามื้อสามัคคีที่จังหวัดลพบุรี ชัยภูมิ และฉะเชิงเทรา ภายใต้แนวคิด “สู้ทุกวิกฤต รอดพอดีด้วยศาสตร์พระราชา” เพื่อสร้างความรู้ความตระหนักแก่ประชาชนในการเตรียมความพร้อมรับมือกับน้ำท่วม น้ำแล้ง และสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมนำเสนอตัวอย่างความสำเร็จของคนมีใจที่ใช้ศาสตร์พระราชาเป็นแนวทางปฏิบัติทำให้รอดในทุกวิกฤต เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นต่อ ๆ ไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมวางมาตรการความปลอดภัยในการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับภาวะปกติใหม่ (New Normal) 
 
โครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” (ตามรอยพ่อฯ) เกิดจากความร่วมมือของบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน ภาคศาสนา และสื่อมวลชน เพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และน้อมนำศาสตร์พระราชาด้านการบริหารจัดการ ดิน น้ำ ป่า และพัฒนาคน มาเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ เกิดความตระหนัก และนำไปสู่การปฏิบัติที่เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยดำเนินงานอย่างต่อเนื่องจนก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 ในปีนี้ 
ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร นายกสมาคมดินโลก และที่ปรึกษามูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ กล่าวว่า “จากการที่โครงการตามรอยพ่อฯ ได้ขับเคลื่อนมาจนเข้าสู่ปีที่ 8 ซึ่งเป็นระยะที่ 3 ของแผนหลัก 9 ปี (แบ่งเป็น 3 ระยะ ๆ ละ 3 ปี) ของโครงการ ซึ่งระยะแรก คือ การตอกเสาเข็ม สร้างการรับรู้ ระยะที่ 2 การแตกตัว เป็นการขยายผล สร้างคน สร้างครู สร้างเครื่องมือเพื่อยกระดับเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ระยะที่ 3 การขยายผลเชื่อมโยงทั้งระบบ ซึ่งเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม สามารถยกระดับสู่การแข่งขันได้ ต่อยอดการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานให้เกิดความยั่งยืนขึ้น ด้วยการเดินตามบันได 9 ขั้น ไปสู่ความพอเพียงตามแนวทางศาสตร์พระราชา และการวางรากฐานการพัฒนามนุษย์ เพราะหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนและพัฒนา คือ คน  โครงการจึงพยายามสร้างคน จากคนมีใจ สู่เครือข่าย และแม่ทัพผู้พาทำ เพื่อร่วมกันสืบสานศาสตร์พระราชาต่อไป 

 จากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เห็นผลเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ศาสตร์พระราชา คือ องค์ความรู้ในการจัดการ ดิน น้ำ ป่า และพัฒนาคน ทำให้คนสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีพื้นฐานปัจจัย 4 ครบ ทั้งอาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ทำให้คนพอมี พอกิน พออยู่ พอใช้ และยังสามารถแบ่งปัน สร้างรายได้ เป็นการสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตอะไร ก็สามารถอยู่รอดได้และยังช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วย 
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานข้อความเตือนสติคนไทยผ่าน ส.ค.ส. ปี พ.ศ. 2547 ที่ว่า ’สามัคคีเป็นพลังค้ำจุนแผ่นดินไทย’ พร้อมทรงวาดภาพระเบิด 4 ลูกล้อมรอบประเทศไทยอยู่ ซึ่งถึงวันนี้ประจวบเหมาะพอดีกับสถานการณ์ปัจจุบัน ระเบิด 4ลูก หมายถึงวิกฤต 4 ด้านที่มนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่ คือ วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม โรคระบาด ภัยแล้ง หมอกควัน วิกฤตด้านเศรษฐกิจ วิกฤตด้านความเหลื่อมล้ำทางสังคม และวิกฤตด้านการเมือง ซึ่งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือเสาหลักที่จะกู้วิกฤตทั้ง 4 ด้านนี้ได้ โดยต้องปรับแนวคิดการดำเนินชีวิตใหม่ จะเห็นได้ว่าทรงคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ทรงเตือนคนไทยล่วงหน้าหลายปีเพื่อให้เตรียมพร้อมระวังภัย และได้พระราชทานศาสตร์พระราชาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้คนไทยปฏิบัติเพื่อพึ่งพาตัวเองได้
และใช้ชีวิตอย่างพอเพียงเพื่อเป็นทางรอดจากทุกวิกฤตดังกล่าว”  


 นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ
บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิตจำกัด 
ด้าน นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวถึงการจัดกิจกรรมในโครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” ปี 8 ว่า “ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันลดการแพร่ระบาดด้วยการรักษาระยะห่าง โครงการตามรอยพ่อฯ จึงได้ปรับแผนการดำเนินกิจกรรมโดยเน้นช่องทางออนไลน์เป็นหลักมากว่า 4 เดือน (มี.ค.-มิ.ย.63) เพื่อให้กำลังใจและความรู้แก่ประชาชนในการนำศาสตร์พระราชามาใช้รับมือวิกฤตในครั้งนี้ ขณะนี้จากมาตรการเข้มข้นของภาครัฐกอปรกับความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องชาวไทย ทำให้เราสามารถรับมือกับวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนได้รับเสียงชื่นชมจากหลายประเทศ ภาครัฐจึงมีมาตรการผ่อนปรนเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตในแบบ New Normal หรือ วิถีชีวิตแบบปกติใหม่ที่ยังคงเน้นการดูแลตัวเองเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิด-19 

โครงการตามรอยพ่อฯ จึงได้กำหนดแผนการดำเนินกิจกรรมออนกราวด์ขึ้นอีกครั้ง ทั้งกิจกรรมฝึกอบรมและกิจกรรมเอามื้อสามัคคี หรือ การลงแขกอย่างโบราณนั่นเอง เพื่อน้อมนำศาสตร์พระราชาด้านการบริหารจัดการ ดิน น้ำป่า และพัฒนาคน มาเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ เกิดความตระหนัก และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมกิจกรรมแล้วกว่า 20,000 คน” 

ทั้งนี้ กิจกรรมออนกราวด์ของโครงการตามรอยพ่อฯ ปี 8 จะเริ่มด้วยการฝึกอบรม หลักสูตรการป้องกัน
เตือนภัย และฟื้นฟูชุมชนในภาวะวิกฤต หรือ CMS (Crisis Management Survival Camp) หัวข้อของการ
ฝึกอบรม คือ ‘CMS สู้ อยู่ หนี รอดพอดีด้วยศาสตร์พระราชา’ ณ ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชาคืนป่าสัก
ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (วัดใหม่เอราวัณ) อ.เมือง จ.ลพบุรี
 
ส่วนกิจกรรมเอามื้อสามัคคี ปีนี้กำหนดจัด 2 ครั้ง ครั้งแรกที่ศูนย์ปราชญ์ศาสตร์พอเพียงบอกเล่าก้าวตาม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ศูนย์การเรียนรู้ที่อดีตผู้ว่าราชการ จ. ชัยภูมิ นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ว่าราชการ จ.ภูเก็ต ได้รวบรวมคนมีใจและมีความรู้ด้านหลักกสิกรรม มาถ่ายทอดความรู้ศาสตร์พระราชาเพื่อแก้ปัญหาด้านสุขภาพและด้านเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนให้แก่ชาวชัยภูมิ  และครั้งที่ 2  ณ โคก หนอง นาขาวัง จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่ง ขาวัง คือ ร่องน้ำรอบแปลงนา  เป็นผืนนามหัศจรรย์แห่งภูมิปัญญาในการจัดการน้ำของชาวนาบางปะกง  ผืนนาที่นี่เป็นพื้นที่ระบบนิเวศ 3 น้ำ มีทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม ทำนาในฤดูฝน ส่วนฤดูแล้งตั้งแต่น้ำกร่อยจนน้ำเค็มก็เลี้ยงกุ้งหอยปูปลา ซึ่งที่นี่อาจเป็นผืนนานิเวศ 3 น้ำที่เดียวในโลก  โดยจะ



มีกิจกรรมการปั่นจักรยานรณรงค์จากโคก หนอง นามหานคร (หนองจอก) ถึง โคก หนอง นาขาวัง จ.ฉะเชิงเทรา อีกด้วย นอกจากนี้ โครงการยังมีช่องทางสื่อสารในรายการเจาะใจ ซึ่งจะออกอากาศทางช่อง MCOT HD ในเดือนธันวาคม 2563

ทั้งนี้ สำหรับกิจกรรมออนกราวด์ โครงการฯ ได้จัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ร่วมกิจกรรม อาทิ หน้ากากอนามัย เฟซชิลด์ ถุงมือผ้า ถุงมือยาง แอลกอฮอล์ทั้งแบบน้ำและแบบเจล และพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคบริเวณที่พักและอาคารที่มีการรวมตัวกัน ทั้งกำหนดระยะห่างระหว่างบุคคลในขณะทำกิจกรรม เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย New Normal ของรัฐบาลอีกด้วย 
 
 ผู้ที่สนใจติดตามกิจกรรมในโครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน”
ได้ทาง www.facebook.com/ajourneyinspiredbytheking
ดูรายละเอียดที่ https://ajourneyinspiredbytheking.org

25 มิถุนายน 2563

โครงการยืดอายุผลิตภัณฑ์ OTOP อาหารถิ่นรสไทยแท้” ปั้นแบรนด์ “OTOP Thai Taste”

มุ่งสร้างรายได้คืนกลับชุมชน เสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานราก
 

เมื่อเร็ว ๆ นี้, นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน (พช.) กระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน
ในพิธีส่งมอบสินค้าต้นแบบ และแถลงผลการดำเนินงาน ภายใต้ “โครงการยืดอายุผลิตภัณฑ์ OTOP อาหารถิ่นรสไทยแท้” ณ ห้องประชุม 3003 กรมการพัฒนาชุมชน โดยมีผู้แทนสถาบันอาหาร และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน โดยโครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างกรมการพัฒนาชุมชน และ  สถาบันอาหาร ในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม พัฒนาคุณภาพการผลิต การแปรรูป การเก็บรักษา เมนูอาหาร
ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานอาหารถิ่นรสไทยแท้ จากโครงการยกระดับมาตรฐานอาหารถิ่นรสไทยแท้ (OTOP Authentic Thai Taste) จัดทำสินค้าต้นแบบเชิงพาณิชย์ สร้างสรรค์เมนูอาหารถิ่นรสไทยแท้ที่มีความโดดเด่นของส่วนประกอบที่มีอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น 10 เมนู เพื่อยกระดับและเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้แก่อาหารถิ่นรสไทยแท้ที่เป็นอาหารปรุงสด ให้เป็นอาหารที่มีอายุการเก็บรักษาเพื่อการบริโภคได้ยาวนานขึ้น สะดวกต่อการรับประทานรองรับเทรนด์ในยุคปัจจุบัน พร้อมขยายตลาดสู่เครือข่ายผู้ผลิต
อาหารไทยและผู้บริโภค

 

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน (พช.) เผยว่า โครงการยืดอายุผลิตภัณฑ์ OTOP อาหารถิ่นรสไทยแท้ เป็นโครงการที่ต่อยอดความสำเร็จมาจากการดำเนินการโครงการอาหารถิ่นรสไทย
แท้ (OTOP Authentic Thai Taste) ในปีงบประมาณ 2561 ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานอาหารถิ่นรสไทยแท้กว่า 500 เมนู จาก 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ โดยอาหารถิ่นที่ได้รับการคัดสรรหลายเมนู มีเครื่องเทศ สมุนไพร และพืชผักพื้นบ้านหลายชนิดเป็นส่วนประกอบ ดีต่อสุขภาพ ซึ่งเมนูอาหารถิ่นรสไทยแท้ดังกล่าว เหมาะสำหรับการบริโภคทันทีเมื่อปรุงเสร็จ มีช่วงเวลาเก็บรักษาที่สั้น ทำให้ไม่สามารถทำการตลาดในวงกว้างได้
 



ในปี2563 นี้ กรมการพัฒนาชุมชน จึงได้จัดทำ “โครงการยืดอายุผลิตภัณฑ์ OTOP อาหารถิ่นรสไทยแท้" โดยมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาอาหารไทยที่มีสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคมาพัฒนา โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตมาใช้เพื่อการยืดอายุผลิตภัณฑ์ พัฒนาเป็นสินค้าอาหารแปรรูป ที่สะดวกต่อการบริโภค สอดคล้องตามความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน รสชาติอร่อย แต่ยังคงคุณประโยชน์ คุณภาพ และความปลอดภัย เพิ่มการออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ และใช้ตราสัญลักษณ์หรือแบรนด์  OTOP Thai Taste ระบุข้อมูลโภชนาการต่อหน่วยบริโภค และจุดเด่นเรื่องราว (Story) ของผลิตภัณฑ์ ลงบนฉลากบรรจุภัณฑ์ตามมาตรฐานสินค้าระดับสากล  โดยนอกจากได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ในท้องตลาด ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าและกระจายรายได้ไปสู่ชุมชน เดิมจากอาหารที่ปรุงสด ในราคา 30 บาท สามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์ OTOP ได้ในราคาขาย 50 บาทหรืออาจสูงกว่า จากข้อมูลสำรวจปี 2562 (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) มีครัวเรือนทั่วประเทศ 21 ล้านครัวเรือน หากแต่ละครัวเรือนซื้อผลิตภัณฑ์ OTOP อาหารถิ่นรสไทยแท้ 1 ถ้วย/ปี จะได้ 21 ล้านถ้วย สามารถสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 1,050 ล้านบาท ซึ่งรายได้ดังกล่าว จะกระจายกลับคืนสู่ชุมชนและอีกหลายชีวิต ก่อให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจฐานรากได้ สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างความเข้มแข็งในระดับชุมชนอย่างยั่งยืน


            “การส่งมอบสินค้าต้นแบบวันนี้ เพื่อดำเนินการทดสอบตลาดแบบครบวงจรและสร้างการรับรู้ไปสู่เครือข่ายการผลิตอาหารไทย และผู้บริโภค เช่น บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จำกัด ทั้ง 76 จังหวัด ผู้ประกอบการอาหาร และ ผู้บริโภคทั่วไป จำนวน 10 ผลิตภัณฑ์ ไม่น้อยกว่า 2,600 ชิ้น/จังหวัด รวม 205,000 ชิ้น ซึ่งกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมกับ สภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ประสานความร่วมมือดำเนินการกระจายสินค้าส่งไปยังทั่วประเทศ และคาดว่าจะรับมอบสินค้าจากสถาบันอาหารครบตามจำนวนภายในเดือนสิงหาคมนี้ ” นายสุทธิพงษ์กล่าว

              ด้าน ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวว่า “สภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ มีความยินดีอย่างยิ่งต่อความร่วมมือและประสานงานดำเนินงานที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มสตรีและสังคม จากโครงการยืดอายุผลิตภัณฑ์ OTOP อาหารถิ่นรสไทยแท้ เป็นโอกาสในการสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นโอกาสการจำหน่ายวัตถุดิบพืชผักทางการเกษตรของกลุ่มเกษตรกร การผลิตเครื่องปรุง เครื่องเทศ การจ้างแรงงานในชุมชนเพื่อการเก็บเกี่ยว การเตรียมวัตถุดิบเพื่อการส่งผลิต สามารถลดปัญหาการว่างงาน เพิ่มรายได้ให้กับชุมชนทั่วประเทศในสภาวการณ์ปัจจุบันได้”

              ขณะที่นางนิตยา พิระภัทรุ่งสุริยา รองผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า สินค้าต้นแบบที่ส่งมอบนี้เป็นสินค้าต้นแบบเชิงพาณิชย์ที่ผ่านการควบคุมกระบวนการผลิตตามมาตรฐานสากล เพื่อให้การผลิตสินค้ามีคุณภาพ และความปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยใช้เทคโนโลยียืดอายุผลิตภัณฑ์ ซึ่งสถาบันอาหารรับดำเนินการผลิตเป็นสินค้าต้นแบบเชิงพาณิชย์จำนวน 10 ผลิตภัณฑ์ด้วย 2 เทคโนโลยี คือ 1) เทคโนโลยีการยืดอายุด้วยเครื่องฟรีซดราย (Freeze Dryer) หรือเทคโนโลยีการทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง จำนวน 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ น้ำยา(น้ำเงี้ยว) แกงไตปลา  แกงป่าไก่  แกงเห็ด และแกงกระวานไก่  และ 2) เทคโนโลยีการยืดอายุอาหารโดยใช้เครื่องรีทอร์ท (Retort) หรือเครื่องฆ่าเชื้อภายใต้แรงดัน จำนวน 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ แกงฮังเลไก่ มัสมั่นไก่ ต้มโคล้งปลาย่าง น้ำยาป่า และแกงส้มมะละกอ โดยผลิตภัณฑ์ทั้ง 10 เมนูนี้ สามารถเก็บรักษาได้นานกว่า 1 ปี ทั้งนี้เมื่อนำสินค้าต้นแบบกระจายสู่ตลาดแล้ว จะมีการประเมินผลการทดสอบตลาดในแต่ละจังหวัดเพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพ รสชาติ และบรรจุภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการตลาดต่อไป

เกษตร-พาณิชย์ ขับเคลื่อน “ตลาดนำการผลิต” เปิดตัวแอพฯ M-Help Me ยกระดับรายได้เกษตรกรไทย



เดินหน้าบูรณาการ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” เปิดตัวแพลตฟอร์มหลักในการจำหน่ายสินค้าเกษตร M-Help Me แอปพลิชัน ซื้อ-ขาย-ขนส่ง-ประกัน-ชำระเงิน-ออนไลน์ อย่างครบวงจร ชูมาตรฐานการรับประกันสินค้า ยกระดับรายได้ของเกษตรกรไทย สร้างอาชีพใหม่ให้คนตกงาน ชวนประชาชนอุดหนุนผลผลิต ร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19  
โครงการคืนคุณแผ่นดิน ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการส่งเสริมการเกษตรและกรมส่งเสริมสหกรณ์ ,กระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในและกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และหน่วยงานภาคเอกชน ได้แก่ สมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทยสมาคมขนส่งสมาคมสินค้าและโลจิสติกส์ไทย, สมาคมตัวแทนขนส่งทางอากาศไทย, สมาคมผู้ค้าและส่งออกผลไม้ไทย , สมาคมผู้ประกอบการผักผลไม้ไทย บริษัท ไทยฟิน เทค จำกัด และ บริษัท Grab Taxi ประเทศไทยจำกัด รวม 13 หน่วยงาน
ทั้งนี้เป้าหมายหลักในการบูรณาการในการทำงานร่วมกันให้เบ็ดเสร็จและครบวงจรเพื่อให้ประสิทธิภาพในการหาแนวทางบริหารจัดการการขนส่งผลไม้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรค covid-19 มีดังต่อไปนี้

1. ร่วมบูรณาการในทุกมิติ ทางด้านการขนส่งทางอากาศทางบกและทางเรือให้สามารถดำเนินการกระจายผลผลิตไปได้ 77จังหวัดและนอกประเทศได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 
2. ร่วมบูรณาการเชื่อมต่อระบบการจัดส่งเดลิเวอรี่ที่มีอยู่ในประเทศและแพลตฟอร์มหน่วยงานภาคเอกชนที่มีอยู่บริหารจัดการให้เกิดประโยชน์ทางด้านระบบการขนส่ง เพื่อระบายสินค้าได้อย่างรวดเร็วและสร้างโอกาสที่จะขยายตลาดได้เพิ่มขึ้น 
3. หน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องคำนวณอัตราค่าระวาง ค่าบริการต่างๆด้วยความเป็นธรรมพร้อมให้ความสนับสนุนช่วยเหลือให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์อำนวยความสะดวกอย่างเต็มกำลัง


นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เกษตรกรไทยยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง จากอุปสรรคในการส่งออก  และช่องทางการกระจายสินค้า ขณะที่สินค้าเกษตรของไทยยังมีผลผลิตออกมา


ตามฤดูกาลตลอดทั้งปี แต่ด้วยสภาพความเปลี่ยนแปลงของตลาดในปีนี้ ทำให้เกษตรกรเป็นจำนวนมากต้องประสบปัญหาสินค้าล้นตลาด ดังนั้นภายใต้การบูรณาการของกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ออกแบบช่องทางการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์แบบครบวงจร เพื่อเชื่อมโยงสินค้าระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ขนส่ง เพื่อให้เกิดระบบการกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ช่วยเหลือเกษตรกรไทย อันเป็นการกระจายรายได้ให้กับชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ

โดยไม่นานมานี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ได้จับมือผนึกกำลังเพื่อบูรณาการทำงานร่วมกัน ภายใต้วิสัยทัศน์ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด สร้างโอกาสไทยทุกคน” โดยใช้ยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต”  โดยการบูรณาการในครั้งนี้ ทั้ง 2 กระทรวง มีพันธกิจร่วมกัน คือ สร้าง Single Big Data ใช้ข้อมูลจากฐานเดียวกัน เพื่อสร้างแพลตฟอร์มกลาง “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” สร้างความเชื่อมั่นด้วยคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับ พัฒนาคนและผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของตลาด เน้นยุทธศาสตร์การตลาดนำการผลิต



ล่าสุด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงพาณิชย์  ร่วมกับ โครงการคืนคุณแผ่นดิน เปิดตัวแอปพลิเคชัน M-Help Me แพลตฟอร์มซื้อ-ขาย-ขนส่ง-ประกัน-ชำระเงิน-ออนไลน์ ครบจบบนแอปฯเดียวที่ ครบวงจร เป็นช่องทางการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากผลผลิตทางการเกษตร จากสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โดยแพลตฟอร์มนี้จะเป็นช่องทางหลักในการกระจายสินค้าที่ครบวงจร  ซึ่งมีทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ขนส่ง อยู่ในแอปพลิเคชันเดียว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรไทย รวมถึงการนำแพลตฟอร์มหลักนี้กระจายสินค้าในอนาคตได้อย่างยั่งยืน



นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน กล่าวว่า แพลตฟอร์ม M-Help Me เรียกว่า  M Man เป็นแอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าออนไลน์อย่างครบวงจร เพื่อใช้แก้ปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดในช่วงฤดูกาลผลผลิต และยังมีอุปสรรคด้านการส่งออกและการขนส่ง รวมทั้งการบริโภคที่ลดลง จากภาคการท่องเที่ยวที่ยังรอคอยการฟื้นตัว 



ภายในแอปพลิเคชัน M-Help Me ประกอบด้วย 5 ส่วนหลัก ได้แก่
1.ผู้ซื้อ สามารถเข้ามาแสดงความจำนงค์ในการหาซื้อสินค้า หรือเลือกซื้อสินค้าที่มีอยู่                              
2.ผู้ขาย สามารถนำเสนอรายละเอียดในการขายผลผลิตด้านการเกษตรพร้อมราคา 
3.การขนส่ง จะเปิดให้ผู้ที่สนใจในแต่ละพื้นที่เข้าสมัครเป็นพนักงานขนส่งอิสระ เพื่อช่วยประชาชนที่กำลังตกงานให้มีอาชีพและรายได้ เป็นส่วนเสริมนอกเหนือจากบริการขนส่งจากภาคเอกชนที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว เช่น Grab, Lineman ฯลฯ
4.การรับประกันสินค้า เป็นการยกระดับมาตรฐานการขายสินค้าทางออนไลน์  สร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อว่าจะได้รับสินค้าดีมีคุณภาพตามที่ระบุ และเพื่อให้ผู้ขายได้คำนึงถึงคุณภาพของสินค้า เพื่อความยั่งยืนในการซื้อขายในระยะยาว
5.การชำระเงิน นอกจากการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารแล้ว ยังสามารถจ่ายผ่านบัตรเครดิตของธนาคารต่างๆ ได้อีกด้วย ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อในทุกกลุ่ม 


นายประสิทธิ์ กล่าวเสริมว่า แอปพลิเคชัน M-Help Me เป็นแพลตฟอร์มทาง LINE ที่มุ่งเน้นการสื่อสารที่เข้าใจง่าย สามารถใช้ได้ทุกกลุ่ม ช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อขายได้ครบวงจร ภายใต้มาตรฐานและความน่าเชื่อถือ โดยคาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป ที่สามารถซื้อหาผลผลิตทางการเกษตรที่สดใหม่  เกษตรกรผู้ขายสามารถกระจายสินค้าและสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และผู้ที่มองหางาน สามารถเข้ามาสมัครเป็นพนักงานขนส่งสินค้าได้ ซึ่งทุกกระบวนการเป็นไปอย่างมีมาตรฐาน มุ่งเน้นความถูกต้องและโปร่งใส เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด

ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน M-Help Me เปิดให้ดาวน์โหลดได้แล้วทั้งระบบปฏิบัติการณ์ iOS และ Android โดยจะเป็นแพลตฟอร์มหลักในการกระจายสินค้าทางการเกษตร และจะขยายไปยังกลุ่มสินค้าอุปโภคอื่นๆต่อไป เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรไทยมีความเข้มแข็ง สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

วิธีการใช้แอพพลิเคชั่นในการสั่งซื้อหรือแลกเปลี่ยนสินค้ามี 3 วิธีดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 วิธีการค้นหาเข้า Application M- Help me โดยเริ่มจากให้พิมพ์ในช่องบอกสิ่งที่ คุณต้องการจากนั้นก็เลือกหาสินค้าจาก คนที่โพสต์ลงใน App 
ขั้นตอนที่ 2 ต้องการขายเข้า Application M- Help me จากนั้นกดเข้าไปเพื่อเลือกกรอกความต้องการขาย ใส่รายละเอียดสินค้าที่เราต้องการจะขาย พร้อมเลือกรูปสินค้าและอัพโหลดรูปสินค้าและกดส่งความต้องการของคุณเข้าระบบ
ขั้นตอนที่ 3 ต้องการซื้อ Application M - Help me จากนั้นกดเข้าไปเพื่อเลือกกรอกความต้องการซื้อ ใส่รายละเอียดความต้องการที่เราต้องการจะซื้อ พร้อมเลือกรูปสินค้าและอัพโหลดรูปสินค้าและกดส่งความต้องการของคุณเข้าระบบ และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกสร้างความคล่องตัวต่อระบบการซื้อการขายจึงมีแนวทางเพื่อดำเนินการชำระเงินผ่านทางระบบ Payment Gateway ในแบบ GB Prime pay ที่รวดเร็วและเที่ยงตรง