แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Creativity แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Creativity แสดงบทความทั้งหมด

31 สิงหาคม 2568

ไดมารุ - ซีจีโอ.คอม - สึกิซุเตะ อิงค์ เปิดมุมมองใหม่ธุรกิจไทย–ญี่ปุ่น ในงานสัมมนา JPOP Marketing Forum 2025


ไดมารุ - ซีจีโอ.คอม - สึกิซุเตะ อิงค์ เปิดมุมมองใหม่ธุรกิจไทย–ญี่ปุ่น ในงานสัมมนา JPOP Marketing Forum 2025 แนะเคล็ดลับใช้วัฒนธรรม JPOP, Gyaru และ Underground Idol สร้างพลังการตลาดเชื่อมโลกดิจิทัลและผู้บริโภครุ่นใหม่

ในงานสัมมนา Japan Pop Culture Marketing Forum in Thailand 2025 ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่น ทั้งภาคธุรกิจ ที่ปรึกษาการตลาด และวงการบันเทิง ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้วัฒนธรรมญี่ปุ่น JPOP และ Sub Culture เป็นเครื่องมือทางการตลาดยุคใหม่ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเปิดโอกาสธุรกิจใหม่ๆ แก่นักธุรกิจและนักการตลาดของไทย


นายหลุยส์ โอคาซากิ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจดิจิทัล บริษัท ไดมารุ มัตสึซากายะ ดีพาร์ทเมนท์ สโตร์ จำกัด ห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงอันดับต้นของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีบทบาทในการเชื่อมโยงวัฒนธรรม สินค้า และนวัตกรรมเข้ากับผู้บริโภคญี่ปุ่นและต่างประเทศ กล่าวในงานสัมมนา Japan Pop Culture Marketing Forum in Thailand 2025 เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์เชิงกลยุทธ์ สร้างแรงบันดาลใจ และโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ แก่นักการตลาดไทย ในการผสมผสานวัฒนธรรม JPOP จนเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงอิทธิพลว่า วัฒนธรรม JPOP ไม่ว่าจะเป็น อนิเมะ ศิลปะการแสดง และอินฟลูเอนเซอร์ มีการเติบโตและได้รับความนิยมจนเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจในญี่ปุ่นและขยายไปยังหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ในญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ผู้ค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ต่างมีการใช้การตกแต่ง จัดกิจกรรม และการแสดงที่ใช้วัฒนธรรม JPOP มาเป็นเครื่องมือการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยกลไกที่ทำให้การใช้วัฒนธรรม JPOP ในเชิงการตลาดประสบความสำเร็จ คือ การระดมแฟนคลับเพื่อสร้างความเชื่อมโยงและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการตลาดได้อย่างลึกซึ้งและเป็นระบบ ทั้งนี้การเป็นวัฒนธรรมเปิดของ JPOP ยังมีความยืดหยุ่นสูงทำให้ปรับเปลี่ยนรูปแบบฟังก์ชั่นและช่องทางการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม แม้ในกลุ่มเฉพาะอย่าง GenZ หรือ Sub Culture 


ปัจจุบันมีการใช้วัฒนธรรม JPOP เป็นเครื่องมือการสร้างการสื่อสารทั้งในเชิงลึกและกว้างไปพร้อมๆ กัน โดยในเชิงลึก (Depth) เพื่อสร้างคอนเทนต์กับกลุ่มแฟนให้เหนียวแน่น ส่วนในเชิงกว้าง (Breadth) เพื่อกระจายแบบไวรัลช่วยให้เข้าถึงผู้คนได้หลากหลายขึ้น นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาใช้วัฒนธรรม JPOP เฉพาะที่เป็น Sub Culture มากขึ้น อาทิ ไอดอลใต้ดิน (Underground Idol) หรือ สาวแกล (Gyaru culture) รวมถึงยังได้ขยายช่องทางการสื่อสารและพัฒนาธุรกิจที่เชื่อมโยงวัฒนธรรม JPOP เข้าไปสู่โลกดิจิทัล โซเชียลมีเดีย และเมทาเวิร์ส อีกด้วย ซึ่งนักการตลาดของไทยก็สามารถใช้แนวทางเดียวกันเพื่อเชื่อมโยงวัฒนธรรม JPOP และ Sub Culture เพื่อเป้าหมายทางการตลาด การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย และโลกดิจิทัลได้ด้วยแนวทางเดียวกัน

ส่วนนางสาวริคาโกะ ทาเคโนะ ผู้ก่อตั้งและประธาน บริษัท ซีจีโอ.คอม จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาการพัฒนาองค์กร นวัตกรรม ธุรกิจ การตลาดและการสื่อสาร ด้วยวัฒนธรรม Gyaru กล่าวในงานสัมมนาเดียวกันถึงบทบาทของวัฒนธรรม Gyaru และการเชื่อมโยงต่อยอดสู่ภาคธุรกิจว่า วัฒนธรรมแกล, เกล หรือ เกียวรุ (Gyaru) เริ่มขึ้นในย่านชุบุยะ โตเกียว ในฐานะภาพสะท้อนของการแสดงออกถึงความเป็นปัจเจกที่เข้มแข็ง สมาชิกแกล จะมีลักษณะเด่นด้วยการแต่งหน้าจัดจ้าน ผิวแทน ทำผมสีสว่างสดใส จนปลายทศวรรษ 2010 วัฒนธรรมนี้ได้แพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่นและต่างประเทศ ปัจจุบัน Gyaru ได้รับการยอมรับในความหมายที่ลึกซึ้งกว่ารูปลักษณ์ภายนอก โดยถูกมองว่าเป็น “ทัศนคติและวิถีชีวิต” ที่เป็นอิสระ มีความเชื่อมั่น และคิดบวก 

ดังนั้นวัฒนธรรม Gyaru จึงถูกนำมาเชื่อมโยงกับธุรกิจในหลายลักษณะ ในด้านการพัฒนาองค์กรและการสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน ทัศนคติแบบ Gyaru ช่วยขับเคลื่อนสร้างความเชื่อมั่นในสัญชาตญาณ การคิดบวก ส่งเสริมการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาและการทำงานเชิงรุก ด้านการสื่อสาร  การสื่อสารสไตล์ Gyaru จะเปิดกว้าง เท่าเทียม และเปิดเผยตนเองมากขึ้น ทำให้เกิดการสนทนาที่สร้างสรรค์ระหว่างคนต่างวัย-ต่างแผนกในองค์กร สำหรับในเชิงการตลาดนั้น วัฒนธรรม Gyaru มีความไวต่อเทรนด์และสะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจน ทำให้สื่อสารออกมาได้อย่างโดดเด่น ทั้งภาพลักษณ์ ภาษา และเข้าถึงง่าย พร้อมทั้งช่วยสื่อสารในเนื้อหาที่ยากหรือเป็นทางการให้น่าสนใจและง่ายขึ้น รวมถึงยังสร้างความสนใจจากสื่อจนเกิดเป็นกระแสไวรัลและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่นที่การตลาดแบบเดิมเข้าไม่ถึง ซึ่งการใช้วัฒนธรรม Gyaru เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กร ผลิตภัณฑ์ และบริการนั้น ทำได้ทั้งการส่งสมาชิก Gyaru เข้าไปในองค์กร เพื่อเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม (Gyaru-Style Brainstorming) หรือ แปลงไอเดียที่ได้จากเวิร์กช็อปกับสมาชิก Gyaru ให้เป็นผลิตภัณฑ์และธุรกิจจริง (Gyaru-Style Studio) ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีลูกค้ากว่า 100 ราย โดย 90% เป็นบริษัทขนาดใหญ่ อาทิ Mitsubishi Pencil Co., Ltd., Suzuki Motor Corporation, Nissan Motor Co., Ltd., Fujitsu Limited ฯลฯ 


สำหรับวัฒนธรรม Gyaru ในประเทศไทยนั้น แม้จะไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่แฟชั่นวัยรุ่นญี่ปุ่นก็ได้รับความนิยมอย่างมากในไทย บนสื่อสังคมออนไลน์ อย่าง TikTok หรือ แพลตฟอร์มอื่นๆ ก็มีผู้ใช้งานชาวไทยจำนวนมากโพสต์เลียนแบบสไตล์และการแต่งหน้าแบบ Gyaru พร้อมติดแฮชแท็ก #gyaru ซึ่งสร้างการรับรู้ ความสนใจ และเข้าถึงได้มากขึ้น ดังนั้นหากธุรกิจไทยมีการนำวัฒนธรรม Gyaru มาปรับใช้ก็จะช่วยเพิ่มคุณค่าและมูลค่ากับกลุ่มเป้าหมายที่สนใจวัฒนธรรมนี้ได้ทั้งตลาดในประเทศและขยายสู่ตลาดญี่ปุ่นได้อีกด้วย

ด้านนางสาวโนโดกะ ซากุระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สึกิซุเตะ อิงค์ ผู้ให้บริการด้านที่ปรึกษาธุรกิจ การฝึกอบรม และเวิร์กชอป โดยอาศัยทักษะและประสบการณ์จากวงการบันเทิงมาเชื่อมโยงธุรกิจกับกิจกรรมการตลาด การสื่อสาร และการสร้างแบรนด์ โดยธุรกิจหลักของบริษัทฯ ประกอบด้วยการสนับสนุนอาชีพที่สอง (Second-career support) แก่ไอดอล นักแสดง และบุคลากรในวงการบันเทิงที่ต้องการเปลี่ยนสายอาชีพ การให้คำปรึกษาและพัฒนาธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างความต้องการของวงการบันเทิงและภาคธุรกิจ การจัดเวิร์กช็อปที่นำทักษะของอดีตบุคลากรในวงการบันเทิงมาต่อยอดการเรียนรู้และสร้างคุณค่าใหม่ ซึ่งจุดแข็งสำคัญของบริษัทฯ คือการมีอดีตบุคลากรจากวงการบันเทิงเป็นแกนหลักของทีม ทำให้นำเสนอโซลูชันได้แบบครบวงจร ตั้งแต่การสนับสนุนศิลปิน การออกแบบโมเดลธุรกิจ ไปจนถึงการนำไปสู่การปฏิบัติจริง ปัจจุบัน สึกิซุเตะ อิงค์ ทำงานร่วมกับกว่า 150 บริษัท ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร และมากกว่า 30 แห่ง ในด้านที่ปรึกษาและการออกแบบธุรกิจ อาทิ บริษัทประกันชีวิตไดอิจิ (Dai-ichi Life Insurance Company) มหาวิทยาลัยเรียวโกกุ (Ryukoku University) และมหาวิทยาลัยคันไซ กากุอิน (Kansai Gakuin University)


ส่วนบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ Underground Idol ด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ ซึ่งต่างจากอินฟลูเอนเซอร์ กระแสหลักที่มีผู้ติดตามจำนวนมากนั้น นางสาวโนโดกะ เผยว่า Underground Idol อาจไม่โดดเด่นในแง่ยอดผู้ติดตาม แต่สร้างการมีส่วนร่วมที่มีคุณภาพและแปลงเป็นผลลัพธ์เชิงธุรกิจ (High-conversion, Experience-based Engagement) ได้จริง ผ่านกิจกรรมอย่างการแสดงสด งานพบปะแฟนคลับ การถ่ายภาพ (Cheki) หรือการทำสินค้า Co-branding ซึ่งประสบการณ์เฉพาะเหล่านี้ช่วยสร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งกับแฟนๆ และเพิ่มอัตราการแปลงผล (Conversion Rate) ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกับแคมเปญที่เน้นการสื่อสารเชิงประสบการณ์ (Immersive & Memorable Brand Interactions) ส่วนการนำ Underground Idol มาประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การตลาดของไทยนั้น นับเป็นโอกาสในการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ ที่ต้องการสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าให้ใกล้ชิดและแนบแน่นขึ้น พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ที่จริงใจขับเคลื่อนโดยชุมชน ทำให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการแสวงหาหรือสร้างความสัมพันธ์ที่มากกว่าการโฆษณาในรูปแบบเดิมอีกด้วย

สำหรับผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่คุณนาโอฮิสะ โอคาวะ
อีเมล์ naohisa.okawa@jfr.co.jp

29 สิงหาคม 2568

ครั้งแรกในไทย! เมื่อโลกธุรกิจมาพบกับ J-pop เปิดมุมมองใหม่ธุรกิจไทย–ญี่ปุ่น

ไดมารุ - ซีจีโอ.คอม - สึกิซุเตะ อิงค์ เปิดมุมมองใหม่ธุรกิจไทย–ญี่ปุ่น ในงานสัมมนา JPOP Marketing Forum 2025 แนะเคล็ดลับใช้วัฒนธรรม JPOP, Gyaru และ Underground Idol สร้างพลังการตลาดเชื่อมโลกดิจิทัลและผู้บริโภครุ่นใหม่

ในงานสัมมนา Japan Pop Culture Marketing Forum in Thailand 2025 ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่น ทั้งภาคธุรกิจ ที่ปรึกษาการตลาด และวงการบันเทิง ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้วัฒนธรรมญี่ปุ่น JPOP และ Sub Culture เป็นเครื่องมือทางการตลาดยุคใหม่ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเปิดโอกาสธุรกิจใหม่ๆ แก่นักธุรกิจและนักการตลาดของไทย
นายหลุยส์ โอคาซากิ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจดิจิทัล บริษัท ไดมารุ มัตสึซากายะ ดีพาร์ทเมนท์ สโตร์ จำกัด ห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงอันดับต้นของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีบทบาทในการเชื่อมโยงวัฒนธรรม สินค้า และนวัตกรรมเข้ากับผู้บริโภคญี่ปุ่นและต่างประเทศ กล่าวในงานสัมมนา Japan Pop Culture Marketing Forum in Thailand 2025 เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์เชิงกลยุทธ์ สร้างแรงบันดาลใจ และโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ แก่นักการตลาดไทย ในการผสมผสานวัฒนธรรม JPOP จนเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงอิทธิพลว่า วัฒนธรรม JPOP ไม่ว่าจะเป็น อนิเมะ ศิลปะการแสดง และอินฟลูเอนเซอร์ มีการเติบโตและได้รับความนิยมจนเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจในญี่ปุ่นและขยายไปยังหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ในญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ผู้ค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ต่างมีการใช้การตกแต่ง จัดกิจกรรม และการแสดงที่ใช้วัฒนธรรม JPOP มาเป็นเครื่องมือการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยกลไกที่ทำให้การใช้วัฒนธรรม JPOP ในเชิงการตลาดประสบความสำเร็จ คือ การระดมแฟนคลับเพื่อสร้างความเชื่อมโยงและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการตลาดได้อย่างลึกซึ้งและเป็นระบบ ทั้งนี้การเป็นวัฒนธรรมเปิดของ JPOP ยังมีความยืดหยุ่นสูงทำให้ปรับเปลี่ยนรูปแบบฟังก์ชั่นและช่องทางการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม แม้ในกลุ่มเฉพาะอย่าง GenZ หรือ Sub Culture
ปัจจุบันมีการใช้วัฒนธรรม JPOP เป็นเครื่องมือการสร้างการสื่อสารทั้งในเชิงลึกและกว้างไปพร้อมๆ กัน โดยในเชิงลึก (Depth) เพื่อสร้างคอนเทนต์กับกลุ่มแฟนให้เหนียวแน่น ส่วนในเชิงกว้าง (Breadth) เพื่อกระจายแบบไวรัลช่วยให้เข้าถึงผู้คนได้หลากหลายขึ้น นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาใช้วัฒนธรรม JPOP เฉพาะที่เป็น Sub Culture มากขึ้น อาทิ ไอดอลใต้ดิน (Underground Idol) หรือ สาวแกล (Gyaru culture) รวมถึงยังได้ขยายช่องทางการสื่อสารและพัฒนาธุรกิจที่เชื่อมโยงวัฒนธรรม JPOP เข้าไปสู่โลกดิจิทัล โซเชียลมีเดีย และเมทาเวิร์ส อีกด้วย ซึ่งนักการตลาดของไทยก็สามารถใช้แนวทางเดียวกันเพื่อเชื่อมโยงวัฒนธรรม JPOP และ Sub Culture เพื่อเป้าหมายทางการตลาด การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย และโลกดิจิทัลได้ด้วยแนวทางเดียวกัน
ส่วนนางสาวริคาโกะ ทาเคโนะ ผู้ก่อตั้งและประธาน บริษัท ซีจีโอ.คอม จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาการพัฒนาองค์กร นวัตกรรม ธุรกิจ การตลาดและการสื่อสาร ด้วยวัฒนธรรม Gyaru กล่าวในงานสัมมนาเดียวกันถึงบทบาทของวัฒนธรรม Gyaru และการเชื่อมโยงต่อยอดสู่ภาคธุรกิจว่า วัฒนธรรมแกล, เกล หรือ เกียวรุ (Gyaru) เริ่มขึ้นในย่านชุบุยะ โตเกียว ในฐานะภาพสะท้อนของการแสดงออกถึงความเป็นปัจเจกที่เข้มแข็ง สมาชิกแกล จะมีลักษณะเด่นด้วยการแต่งหน้าจัดจ้าน ผิวแทน ทำผมสีสว่างสดใส จนปลายทศวรรษ 2010 วัฒนธรรมนี้ได้แพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่นและต่างประเทศ ปัจจุบัน Gyaru ได้รับการยอมรับในความหมายที่ลึกซึ้งกว่ารูปลักษณ์ภายนอก โดยถูกมองว่าเป็น “ทัศนคติและวิถีชีวิต” ที่เป็นอิสระ มีความเชื่อมั่น และคิดบวก
ดังนั้นวัฒนธรรม Gyaru จึงถูกนำมาเชื่อมโยงกับธุรกิจในหลายลักษณะ ในด้านการพัฒนาองค์กรและการสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน ทัศนคติแบบ Gyaru ช่วยขับเคลื่อนสร้างความเชื่อมั่นในสัญชาตญาณ การคิดบวก ส่งเสริมการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาและการทำงานเชิงรุก ด้านการสื่อสาร การสื่อสารสไตล์ Gyaru จะเปิดกว้าง เท่าเทียม และเปิดเผยตนเองมากขึ้น ทำให้เกิดการสนทนาที่สร้างสรรค์ระหว่างคนต่างวัย-ต่างแผนกในองค์กร สำหรับในเชิงการตลาดนั้น วัฒนธรรม Gyaru มีความไวต่อเทรนด์และสะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจน ทำให้สื่อสารออกมาได้อย่างโดดเด่น ทั้งภาพลักษณ์ ภาษา และเข้าถึงง่าย พร้อมทั้งช่วยสื่อสารในเนื้อหาที่ยากหรือเป็นทางการให้น่าสนใจและง่ายขึ้น รวมถึงยังสร้างความสนใจจากสื่อจนเกิดเป็นกระแสไวรัลและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่นที่การตลาดแบบเดิมเข้าไม่ถึง ซึ่งการใช้วัฒนธรรม Gyaru เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กร ผลิตภัณฑ์ และบริการนั้น ทำได้ทั้งการส่งสมาชิก Gyaru เข้าไปในองค์กร เพื่อเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม (Gyaru-Style Brainstorming) หรือ แปลงไอเดียที่ได้จากเวิร์กช็อปกับสมาชิก Gyaru ให้เป็นผลิตภัณฑ์และธุรกิจจริง (Gyaru-Style Studio) ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีลูกค้ากว่า 100 ราย โดย 90% เป็นบริษัทขนาดใหญ่ อาทิ Mitsubishi Pencil Co., Ltd., Suzuki Motor Corporation, Nissan Motor Co., Ltd., Fujitsu Limited ฯลฯ
สำหรับวัฒนธรรม Gyaru ในประเทศไทยนั้น แม้จะไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่แฟชั่นวัยรุ่นญี่ปุ่นก็ได้รับความนิยมอย่างมากในไทย บนสื่อสังคมออนไลน์ อย่าง TikTok หรือ แพลตฟอร์มอื่นๆ ก็มีผู้ใช้งานชาวไทยจำนวนมากโพสต์เลียนแบบสไตล์และการแต่งหน้าแบบ Gyaru พร้อมติดแฮชแท็ก #gyaru ซึ่งสร้างการรับรู้ ความสนใจ และเข้าถึงได้มากขึ้น ดังนั้นหากธุรกิจไทยมีการนำวัฒนธรรม Gyaru มาปรับใช้ก็จะช่วยเพิ่มคุณค่าและมูลค่ากับกลุ่มเป้าหมายที่สนใจวัฒนธรรมนี้ได้ทั้งตลาดในประเทศและขยายสู่ตลาดญี่ปุ่นได้อีกด้วย

ด้านนางสาวโนโดกะ ซากุระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สึกิซุเตะ อิงค์ ผู้ให้บริการด้านที่ปรึกษาธุรกิจ การฝึกอบรม และเวิร์กชอป โดยอาศัยทักษะและประสบการณ์จากวงการบันเทิงมาเชื่อมโยงธุรกิจกับกิจกรรมการตลาด การสื่อสาร และการสร้างแบรนด์ โดยธุรกิจหลักของบริษัทฯ ประกอบด้วยการสนับสนุนอาชีพที่สอง (Second-career support) แก่ไอดอล นักแสดง และบุคลากรในวงการบันเทิงที่ต้องการเปลี่ยนสายอาชีพ การให้คำปรึกษาและพัฒนาธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างความต้องการของวงการบันเทิงและภาคธุรกิจ การจัดเวิร์กช็อปที่นำทักษะของอดีตบุคลากรในวงการบันเทิงมาต่อยอดการเรียนรู้และสร้างคุณค่าใหม่ ซึ่งจุดแข็งสำคัญของบริษัทฯ คือการมีอดีตบุคลากรจากวงการบันเทิงเป็นแกนหลักของทีม ทำให้นำเสนอโซลูชันได้แบบครบวงจร ตั้งแต่การสนับสนุนศิลปิน การออกแบบโมเดลธุรกิจ ไปจนถึงการนำไปสู่การปฏิบัติจริง ปัจจุบัน สึกิซุเตะ อิงค์ ทำงานร่วมกับกว่า 150 บริษัท ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร และมากกว่า 30 แห่ง ในด้านที่ปรึกษาและการออกแบบธุรกิจ อาทิ บริษัทประกันชีวิตไดอิจิ (Dai-ichi Life Insurance Company) มหาวิทยาลัยเรียวโกกุ (Ryukoku University) และมหาวิทยาลัยคันไซ กากุอิน (Kansai Gakuin University)


ส่วนบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ Underground Idol ด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ ซึ่งต่างจากอินฟลูเอนเซอร์ กระแสหลักที่มีผู้ติดตามจำนวนมากนั้น นางสาวโนโดกะ เผยว่า Underground Idol อาจไม่โดดเด่นในแง่ยอดผู้ติดตาม แต่สร้างการมีส่วนร่วมที่มีคุณภาพและแปลงเป็นผลลัพธ์เชิงธุรกิจ (High-conversion, Experience-based Engagement) ได้จริง ผ่านกิจกรรมอย่างการแสดงสด งานพบปะแฟนคลับ การถ่ายภาพ (Cheki) หรือการทำสินค้า Co-branding ซึ่งประสบการณ์เฉพาะเหล่านี้ช่วยสร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งกับแฟนๆ และเพิ่มอัตราการแปลงผล (Conversion Rate) ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกับแคมเปญที่เน้นการสื่อสารเชิงประสบการณ์ (Immersive & Memorable Brand Interactions) ส่วนการนำ Underground Idol มาประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การตลาดของไทยนั้น นับเป็นโอกาสในการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ ที่ต้องการสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าให้ใกล้ชิดและแนบแน่นขึ้น พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ที่จริงใจขับเคลื่อนโดยชุมชน ทำให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการแสวงหาหรือสร้างความสัมพันธ์ที่มากกว่าการโฆษณาในรูปแบบเดิมอีกด้วย
สำหรับผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ คุณนาโอฮิสะ โอคาวะ อีเมล์ naohisa.okawa@jfr.co.jp

27 สิงหาคม 2568

สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส เผยนวัตกรรมสร้างสรรค์ออกมาเพื่อใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า

นับเป็นครั้งแรกที่ทีมงาน Toptotravel มีโอกาส เยี่ยมชมธุรกิจ ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร ทำให้ทุกคนได้เห็นภาพองค์กรใหญ่อย่างบริษัท สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด พร้อมเผยผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด “เชือกทองคำ” เชือกเกษตร ชูศักยภาพ ผลิตโดยคนไทยเพื่อคนไทย  ทนทาน ราคาถูกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม




บริษัท สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด ชมนวัตกรรม และเทคโนโลยีเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับการแปรรูปที่ทันสมัย และบรรจุภัณฑ์อาหาร การรักษาสภาพอาหาร และวัสดุสิ้นเปลือง และอีกหลากหลายชนิด สยามโกลเด้นเซลส์ แอนด์เซอร์วิส ด้วยประสบการณ์มากกว่า 30 ปี  บ.สยาม โกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จก. ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบบรรจุภัณฑ์ โรงงานผลิตสายรัดพลาสติก ระบบบรรจุภัณฑ์อัตโนมัติในสายการผลิต ภายใต้การบริหารงานของ นายปราการ พรสกุลไพศาล และนายวสุโรจน์ ทายาทที่ขยายปีกและเติบโตอย่างมั่นคง รองรับผู้บริโภคตั้งแต่ระดับรากหญ้า จนถึงธุรกิจระดับอุตสาหกรรม โดยการพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์ออกมาเพื่อใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่ามากขึ้น ส่งผลกระทบกับธรรมชาติให้น้อยลง ล่าสุด เปิดตัว เชือกเกษตร ผลิตภัณฑ์ใหม่รองรับตลาดเกษตรอย่างเต็มตัว ภายใต้ชื่อ แบรนด์ “เชือกทองคำ” สินค้าจากฝีมือคนไทยเพื่อคนไทย ที่สำคัญเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรมพลังงานครบวงจร เห็นภาพรวมและแนวทางขององค์กรชัดเจนมากยิ่งขึ้น






คุณปราการ พรสกุลไพศาล ประธานกรรมการ บริษัท สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด เล่าถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2532 ก้าวสู่การเป็นผู้จำหน่ายเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์และวัสดุสิ้นเปลือง และวันนี้เรายังคงเดินหน้าต่อไป เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ธุรกิจที่ผลิตวัสดุหรืออุปกรณ์สำหรับห่อหุ้ม ป้องกัน และนำเสนอสินค้า เพื่อให้สินค้ามีความสมบูรณ์ ปลอดภัยและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดย บ. สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จก. และบริษัทในเครือ ซึ่งได้แก่ บริษัท เรืองนครแพคเซอร์วิส จำกัด และ บริษัท ปราการอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ จำกัด

คุณปราการ พรสกุลไพศาล ประธานกรรมการ บริษัท สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด


ปราการ พรสกุลไพศาล ประธานกรรมการ  กล่าวถึง เชือกเกษตร แบรนด์ “เชือกทองคำ” ว่า เชือกเกษตร เป็นสินค้าใหม่ที่บริษัทตั้งใจในการผลิตขึ้น เป็นการทำเชือกฟางครบวงจร ภายใต้ชื่อ เชือกทองคำ สามารถนำไปใช้งานด้านเกษตรเพื่อห่อหุ้มผลไม้ได้ทุกชนิด  ซึ่งผลิตจากเม็ดพลาสติกเม็ดใหม่ มีความทนทาน เหนียว ไม่เจ็บมือ ใส่ยูวีทำให้สีไม่จืดไม่ลอก รวมถึงสินค้าอีกตัวหนึ่งคือ สายรัด PP  ก่อนหน้านี้ขายเป็นกิโล ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเป็นขายความยาว 1 เมตร ต้นทุนที่ลูกค้าซื้อไปเท่ากับ 25 - 30 สตางค์ เมื่อก่อน 1 เมตรจะอยู่ที่ 50 – 80 สตางค์ต่อ 1 เมตร ที่เด่นคือ ใช้เม็ดพลาสติกเม็ดใหม่ เมื่อเกษตรกรตัดผลไม้แล้ว เชือกฟางที่ไม่ใช้แล้ว สามารถนำกลับมาที่โรงงาน ทางเราจะรับซื้อกลับมาเพื่อหลอมใหม่ โดยหลายนวัตกรรมสร้างสรรค์ออกมาเพื่อใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่ามากขึ้น ส่งผลกระทบกับธรรมชาติให้น้อยลง ซึ่งเราดำเนินการ กระบวนกาผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ถือเป็นหนึ่งนวัตกรรมที่ทำให้เชือกนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีราคาไม่แพงและทนทานกว่าที่มีอยู่ในท้องตลาดทั่วไป เป็นความแตกต่างที่คุ้มค่าสำหรับคนไทย ที่สำคัญเป็นสินค้าแบรนด์ไทยที่ผลิตโดยคนไทยเพื่อคนไทย 




นายวสุโรจน์ พรสกุลไพศาล รองประธานกรรมการ สยามโกลเด้นเซลส์ แอนด์ เซอร์วิส  เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจของ สยามโกลเด้น ฯ  เป็นบริษัทในเครือ โกลเด้นกรุ๊ป มีธุรกิจ 3 อย่าง


1. ตัวแทนนำเข้าเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์ จากประเทศจีนและไต้หวัน

2 เซอร์วิสโพรไวเดอร์ ( ผู้ให้บริการ ) แนะนำโซลูชั่น โพรดักส์ แพคเกจจิ้งหรือบรรจุภัณฑ์ วัสดุที่ใช้สำหรับห่อหุ้มสินค้าเพื่อป้องกันความเสียหาย รักษาคุณภาพและอำนวยความสะดวกในการขนส่ง เครื่องจักรสำหรับบรรจุภัณฑ์สำหรับลูกค้า ตั้งแต่ธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีความต้องการและพัฒนาอย่างไรให้เข้าอยู่ในบรรจุภัณฑ์ รวมไปถึงอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ 

3 ผู้ผลิตวัสดุสิ้นเปลือง  ที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์ เช่นสายรัดพีอีที่ใช้ในการรัดขนส่งและปัจจุบันมีเชือกเกษตร
ใช้ในการเกษตรเช่น เชือกโยงทุเรียน เชือกเกษตรทำหน้าที่ในการปกป้องผลผลิตไม่ให้เสียหาย นอกเหนือจากการให้บริการแก่กลุ่มผู้ประกอบการเป็นหลัก ยังยึดแนวคิด Consumer Centricity โดยการคำนึงถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ 

นายวสุโรจน์ พรสกุลไพศาล รองประธานกรรมการ สยามโกลเด้นเซลส์ แอนด์ เซอร์วิส 




นายวสุโรจน์ กล่าวต่อว่า  ในส่วนแรกด้าน เครื่องจักร  อาทิเช่นเมื่อเรามีสินค้าตัวหนึ่งออกมา ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ แต่บริษัทฯ ทำหน้าที่เป็นคู่คิดตอบโจทย์ลูกค้าด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร โดยได้มีการออกแบบพัฒนาบรรจุภัณฑ์และบริการที่หลากหลายเพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าอีกกด้วยธูรกิจหลัก และตลาดของเราจะมีสองกลุ่ม ถ้าเป็นตลาดกลุ่มใหญ่ จะเป็นโรงงานขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ เช่น โรงงานขนาดใหญ่ก็มีโอกาสได้ให้บริการกับซีพี อภิวัน น้ำยาปรับผ้านุ่ม กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์หรือโรงงานแปรรูปอาหารทะเล หรือโรงงานทำสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ OTOP ทำโรงสีข้าว ค่อนข้างหลากหลายเพราะธุรกิจทุกอย่างแม้กระทั่งร้านค้า ร้านอาหาร หรือหน้าร้าน จะต้องมีการใช้บรรจุภัณฑ์ ซึ่งเมื่อมีการใช้บรรจุภัณฑ์เข้ามาเกี่ยวก็ช่วยเราหลายๆอย่าง หนึ่งเลยคือเรื่องความสะอาด เรื่องการเก็บรักษาก็ช่วยได้ หรือโรงงานอุตสาหกรรมก็บรรจุเพื่อขนส่ง  ซึ่งหากท่านใดสนใจไม่ต้องกลัว เราวางเครื่องจักรในส่วนของการให้คำปรึกษา ตั้งแต่ต้นจนจบ” 





นอกจากนี้ยังให้บริการด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์ เพื่อช่วยให้คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ และ ล่าสุดบริษัทฯ ได้ผลิต เชือกโยงการเกษตรคุณภาพดี เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมลงตลาดเป็นเจ้าแรกของไทย
จากมุมมองทางธุรกิจที่เห็นถึงความต้องการของเกษตรกรระดับรากหญ้าของไทยและการเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

นายวสุโรจน์ กล่าวเสริมศักยภาพของเชือกทองคำ ด้วยเหตุผลที่ ว่าด้วยลักษณะการใช้งานไม่แตกต่างกัน  ความแข็งแรงไม่เหมือนกัน ต้องแยกดูเรื่องสูตรในการผลิต ปัจจุบันคนค่อนข้างแอนตี้พลาสติก ต้องบอกว่าพลาสติกไม่เชิงว่าเป็นผู้ร้ายเสียทีเดียว ขึ้นอยู่กับการจัดการมากกว่า 

การดำเนินธุรกิจของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเครื่องจักร หรือในส่วนของการผลิตสินค้าพลาสติก จะเห็นได้จากนวัตกรรมจะคำนึงถึง Bio - Circulation - Green Industry  มีการทำ circulate ของผลิตภัณฑ์ภายในโรงงาน รวมถึงเมื่อเราส่งสินค้าให้ลูกค้าแล้ว มีการรับซื้อกลับมา นอกจากเรามีโรงงานผลิต เรามีโรงหลอมด้วย ของที่ส่งกลับมาสามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นผลิตภัณฑ์ปรับปรุงขึ้นมาได้ เป็นงานรีไซเคิลร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อลดมลภาวะเป็นพลังงานสะอาด ตอนนี้ที่โรงงานในการผลิตใช้ไฟฟ้าเยอะมาก เราก็ใช้โซลาเซลส์ด้วย 


นายวสุโรจน์ ทายาท สยามโกลเด้นฯ กล่าวต่อว่า “จริง ๆ ถ้าสนใจ ไม่ต้องกลัว จะเป็น SME สามารถติดต่อสอบถามเข้ามาได้ เรายินดีให้คำแนะนำให้คำปรึกษา เพราะที่นี่มีเครื่องจักรในหลากรูปแบบ เช่น ระบบบรรจุภัณฑ์อัตโนมัติในสายการผลิต เช่นเครื่องบรรจุซองแนวนอนอัตโนมัติ ที่เหมาะสำหรับบรรจุสินค้าที่เป็นชิ้น รูปทรงกลม สี่เหลี่ยม วงรี ใส่กล่องหรือถาด เช่นขนมปังกรอบ เบเกอรี่ เป็นต้น 

เรียกได้ว่า เครื่องบรรจุซองแนวตั้งอัตโนมัติ เครื่องรัดสายพลาสติกเครื่องรัดอัตโนมัติใช้กับสายรัดพลาสติกชนิด PP หรือ PET เครื่องรัดกึ่งอัตโนมัติ เครื่องพันฟิล์มพาเลท/เครื่องรัดพาเลท เครื่องจัดเรียงสินค้าบนพาเลท เครื่องปิดเทปกาวโอพีพี เครื่องขึ้นรูปกล่อง เครื่องแพ็คซีลสูญญากาศ ใช้สำหรับแพ็คสินค้าประเภทอาหาร อุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ อะไหล่รถยนต์ เครื่องติดฉลากสติกเกอร์ เครื่องซีลปิดปากถุงพลาสติก และยังมีสินค้าที่เหมาะกับในหลากหลายผลิตภัณฑ์ เครื่องอัตโนมัติขนาดเริ่มต้นก็ได้ ใช้คนกรอกก็ได้ เครื่องอัตโนมัติเริ่มต้นราคาหลักหมื่น ไปจนถึงหลักล้าน ซึ่งตรงนี้สามารถคุยกันได้


บริษัท สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.siamgoldengroup.com
E-mail  siamgolden@siamgoldengroup.com
Line ID : @goldenpack

โทรศัพท์: 02 878 1371-5, 02 878 0342-3
โทรสาร: 02 476 8802

26 สิงหาคม 2568

GIT สร้างปรากฏการณ์ 2 เวทีระดับโลก ดันไทยสู่ศูนย์กลางอัญมณีและเครื่องประดับสากล

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT ประกาศความสำเร็จ 2 เวทีการประกวดระดับโลก ตอกย้ำศักยภาพไทยสู่ศูนย์กลางอัญมณีและเครื่องประดับโลกประจำปี 2025 อย่างยิ่งใหญ่ การประกวดออกแบบเครื่องประดับโลก ครั้งที่ 19 (The 19th GIT’s World Jewelry Design Awards 2025) และ การประกวดพลอยเจียระไนโลก (GIT’s World Challenge Gems Faceting Master 2025) การจัดงานทั้งสองไม่เพียงแต่เป็นการแข่งขันเพื่อชิงรางวัลอันทรงเกียรติ แต่ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยให้ก้าวสู่ระดับโลกอย่างสง่างาม พร้อมทั้งสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางอัญมณีและเครื่องประดับของโลก โดยมีนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล นางนันทวัน ศกุณตนาค ประธานคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ กล่าวรายงานการจัดงาน ณ ลาน Living Hall ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามพารากอน 


นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งด้านการสร้างงาน การค้า และการลงทุน โดยมีมูลค่าการส่งออกรวมปีละกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งล้วนมาจากภูมิปัญญาของช่างไทยที่สั่งสมกันมาทั้งความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและความประณีตวิจิตรในการสร้างสรรค์ชิ้นงานจนเป็นที่ยอมรับในระดับโลก

GIT เป็นหน่วยงานในกำกับของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งเสริมการสร้างนักออกแบบเครื่องประดับรุ่นใหม่ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล ผ่านการประกวดออกแบบเครื่องประดับระดับโลก ปีนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 19 ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากนักออกแบบทั่วโลกส่งผลงานเข้าร่วมประกวดและได้ส่งเสริมศักยภาพและทักษะการเจียระไนพลอยของช่างไทย ผ่านการประกวดพลอยเจียระไนระดับโลก 

ซึ่งปีนี้มีพลอยเจียระไนทั้งพลอยเนื้อแข็งและพลอยทั่วไป โดยการจัดประกวดดังกล่าว ถือเป็นการแสดงศักยภาพและสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะ “ศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลก” และเป็นการช่วยยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยสู่ระดับสากล”

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ กล่าวว่า จุดประสงค์หลักของการจัดโครงการคือการเปิดให้นักออกแบบรุ่นใหม่ได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ ผลงานการออกแบบไม่เพียงสร้างรายได้และความแตกต่างทางการแข่งขัน แต่ยังเป็นการเสริมสร้าง “Soft Power” ที่ช่วยเผยแพร่เอกลักษณ์ของแต่ละประเทศออกมาผ่านเครื่องประดับ ในขณะเดียวกันยังเป็นสนามแห่งการเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการต่อยอดสู่นวัตกรรมใหม่ ๆ ทั้งสองโครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นเวทีการแข่งขัน แต่คือเวทีแห่งการสร้างสรรค์และการเชื่อมโยง ที่จะผลักดันศักยภาพของไทยให้ก้าวไกลในตลาดโลก




GIT’s World Jewelry Design Awards ในปีนี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากนักออกแบบทั่วโลก โดยมีผลงานส่งเข้าร่วมมากถึง 899 ผลงาน จาก 37 ประเทศ แบ่งเป็นผลงานจากต่างประเทศ 475 ผลงาน และจากประเทศไทย 424 ผลงาน นับเป็นสถิติที่สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของการประกวดในระดับนานาชาติ ผู้ชนะจะได้รับรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 เหรียญสหรัฐ (กว่า 230,000 บาท) พร้อม โล่พระราชทานสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ซึ่งนับเป็นเกียรติสูงสุดในสายอาชีพ

นายสุเมธ กล่าวต่อว่า “ในอีกด้านหนึ่ง การประกวด GIT’s World Challenge Gems Faceting Master 2025 ได้รับผลงานรวม 55 เม็ด แบ่งเป็นพลอยเนื้อแข็ง 18 เม็ด และพลอยทั่วไป 37 เม็ด แต่ละผลงานสะท้อนให้เห็นถึงทักษะ ความวิริยะ และความประณีตที่ทัดเทียมมาตรฐานสากล โดยเวทีนี้ยังเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ระหว่างช่างฝีมือไทยกับช่างจากต่างประเทศ อันจะนำไปสู่การพัฒนาเทคนิคและยกระดับคุณภาพอุตสาหกรรมการเจียระไนของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ความสำเร็จของการจัดทั้งสองโครงการในปีนี้ไม่เพียงเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงศักยภาพของนักออกแบบและช่างฝีมือไทย แต่ยังเป็นหมุดหมายสำคัญในการเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การผลิต ออกแบบ เจียระไน ไปจนถึงการสร้างแบรนด์และขยายตลาดระดับโลก GIT จึงตอกย้ำบทบาทในฐานะผู้นำการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก ทั้งด้านคุณค่าเชิงศิลปะ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม 

อีกทั้งยังได้รับกับสนับสนุนโดยรัฐบาลไทย ทั้งการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Gem and Jewelry Hub ของโลก การยกเว้นภาษีนำเข้าอัญมณีบางประเภท การสนับสนุนการสร้างมาตรฐานอัญมณี และการผลักดันให้เกิดการพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการไทยและเชื่อมโยงกับตลาดโลกอีกด้วย”


นอกเหนือจากความสำเร็จในการจัดการประกวดทั้งสองเวทีนี้   ในเดือนกันยายน GIT ยังเตรียมจัดงานระดับนานาชาติที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ งาน Bangkok Gem & Jewelry Fair (BGJF) จะจัดขึ้นในวันที่ 9 – 13 กันยายน 2568 เป็นงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ดึงดูดผู้ซื้อและผู้ผลิตจากทั่วโลก ถือเป็นงานสำคัญที่สร้างมูลค่าการส่งออกมหาศาลและเสริมภาพลักษณ์ไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าอัญมณีโลก  

และอีกหนึ่งงานสำคัญอย่าง International Gem and Jewelry Conference (GIT 2025) จะจัดขึ้นในวันที่ 8 – 9 กันยายน 2568 งานสัมมนาวิชาการนานาชาติที่รวมผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และผู้ประกอบการจากทั่วโลก เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ ในแวดวงอัญมณีและเครื่องประดับ อันจะช่วยยกระดับมาตรฐานและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตต่อไป




ด้านผลการประกวดพลอยเจียระไนระดับโลก ภายใต้หัวข้อ “Jewel Mastery” ได้แก่ 

รางวัลชนะเลิศ รางวัลมูลค่า 2,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมโล่รางวัลพระราชทานจาก สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ได้แก่  คุณภูเบศ สินสวัสดิ์  

รางวัลรองชนะเลิศลำดับ 1 ได้รับเงินรางวัล 1,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมโล่เกียรติยศ จะเป็นของ คุณวีริศ แว่นไธสงค์

รางวัลรองชนะเลิศลำดับ 2 ได้รับเงินรางวัล 500 เหรียญสหรัฐ พร้อมโล่เกียรติยศ ได้แก่ คุณจันทร์หอม ปัญญากุล     

รางวัลที่ 4  รางวัลความคิดสร้างสรรค์ในการเจียระไน  ได้รับเงินรางวัล 500 เหรียญสหรัฐ พร้อมโล่เกียรติยศ ได้แก่ คุณเซ​ จึ่งต๊ะ

สำหรับผลการประกวดออกแบบเครื่องประดับครั้งที่ 19 (GIT’s World Jewelry Design Awards 2025) ได้แก่ 

-  รางวัลชนะเลิศ  เงินรางวัลมูลค่า 3,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมพร้อมโล่พระราชทาน จากสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒนวรขัตติยราชนารี

  Mr. Tan Minghui ผลงานชื่อ In the prime of life ผลิตโดย บริษัท บริษัท บิวตี้เจมส์แฟคตอรี่ จำกัด 

- รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1  เงินรางวัลมูลค่า 2,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมโล่เกียรติยศ 

Ms. Shirin Kazemi ผลงานชื่อ: Time network ผลิตโดย บริษัท ชายน์นิ่ง โกลด์ จำกัด

-  รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2   เงินรางวัลมูลค่า 1,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมโล่เกียรติยศ

Mrs. Qiu Linjie ผลงานชื่อ: Tomorrow’s Beauty ผลิตโดยบริษัท บริษัท เทวิกา จิวเวลรี่ จํากัด

- รางวัลชมเชย  เงินรางวัลมูลค่า 500  เหรียญสหรัฐ พร้อมโล่เกียรติยศ     

Mr. Hamed Ja’afari นําเสนอผลงานชื่อ: Echo of Eternity ผลิตโดย บริษัท รินญาดา จิวเวลรี่ จํากัด

- รางวัล GIT Popular Design ๒๐๒๕    เงินรางวัลมูลค่า 500  เหรียญสหรัฐ พร้อมโล่เกียรติยศ มีผู้ร่วมโหวตผลงานจากทั่วทุกมุมโลก กว่า 300,000 คะแนน คุณพลวัฒน์ ชอบสน กับผลงานชื่อ Giza Mustaqbal ด้วยคะแนนโหวต 123,259 คะแนน