“ASEAN Sustainable Energy Week 2023 (ASEW)” วางเป้าพาธุรกิจไทยเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
กระทรวงพลังงาน จับมือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย รวมพลังภาครัฐ - เอกชน เตรียมจัดงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2023 (ASEW) งานแสดงสินค้าด้านพลังงานทดแทนและสิ่งแวดล้อมที่ครบครันที่สุดของอาเซียน วางเป้าดันไทยขานรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างเท่าทัน ชูพลังงานสะอาดจุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมโลกอนาคต
การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) จากแหล่งพลังงานเดิม อาทิ น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ไปสู่การใช้พลังงานรูปแบบใหม่ เช่น พลังงานหมุนเวียน เป็นสิ่งที่ทั่วโลกหันมากำหนดเป็นเป้าหมายเดียวกัน คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) กระทรวงพลังงาน จับมือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงานแสดงสินค้าและการประชุมเพื่อเชื่อมต่อธุรกิจระดับโลกในประเทศไทย ได้ผนึกกำลังความร่วมมือทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE), องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) เป็นต้น ร่วมกันจัดงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2023 (ASEW) มีเป้าหมายในการเป็นเวทีระดับนานาชาติเชื่อมโอกาสให้ผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจ รวมถึงกูรู ผู้เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีทางด้านพลังงานจากหลากหลายประเทศมาแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อร่วมกันพัฒนาและเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสะอาด สร้างความยั่งยืนและเพิ่มโอกาสให้กับไทยในอนาคต
ดร. พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในปี 2023 นี้ ความต้องการใช้พลังงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากหลากหลายปัจจัย อาทิ การฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการระบาดของโรคโควิด 19 ดังนั้น การจัดหาพลังงานให้เพียงพอ รวมทั้งการพัฒนาด้านพลังงานสะอาดจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องเร่งพัฒนาเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลจากต่างประเทศ และตอบสนองต่อพันธกิจของกระทรวงพลังงานในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงาน ซึ่งประเทศไทยก็ได้มีการกำหนดเป้าหมายและจัดทำแผนการดำเนินงานด้านพลังงานที่ท้าทายขึ้นอย่างมาก เพื่อเร่งพัฒนาด้านพลังงานสะอาดให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยขณะนี้กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพลังงานชาติและแผนพลังงานรายสาขาใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานพร้อมๆ กับการส่งเสริมพลังงานสะอาดเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี ค.ศ. 2065 โดยการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าใหม่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2050
“วันนี้พลังงานสะอาดมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านการเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าและความร้อนในภาคอุตสาหกรรม ไปจนถึงการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคขนส่ง ฉะนั้นกระทรวงพลังงานในฐานะหน่วยงานหลักในการกำหนดทิศทางพลังงานของประเทศ จึงได้มองหาเวทีระดับภูมิภาคในการเชื่อมโอกาสให้กับทุกภาคส่วนได้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ งาน ASEAN Sustainable Energy Week ถือเป็นหนึ่งงานด้านพลังงานที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาค และทางกระทรวงฯก็ได้เข้าร่วมจัดสัมมนาและกิจกรรมภายในงานทุกปี และในปีนี้ก็ได้ส่งผู้แทนเพื่อเป็นวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานของไทย รวมทั้งมีการจัดบูธแสดงนิทรรศการภายในงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมงานนี้จะได้เรียนรู้ทิศทางพลังงานโลกจากเวทีเสวนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่เป็นบุคคลสำคัญจากภาคส่วนต่าง ๆ ทางด้านพลังงาน มีโอกาสได้รับข้อมูลข่าวสารและได้เรียนรู้เทคโนโลยีพลังงานใหม่ ๆ เพื่อปรับตัวและเตรียมความพร้อมสู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของพลังงานสะอาด” ดร พูลพัฒน์ กล่าวเสริม
“จากบทบาทข้างต้น TGO ยังคงเดินหน้าสร้างการตระหนักรู้ให้กับภาคธุรกิจในแพลตฟอร์มต่างๆ และหนึ่งในนั้นคือการเข้าร่วมงาน ASEAN Sustainable Energy Week โดยทาง TGO ได้จัดกิจกรรมสัมมนาทางวิชาการ (Side Event) หัวข้อ การใช้กลไกคาร์บอนเครดิตและกลไกตลาดสนับสนุนการมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ในระดับองค์กร” ในส่วนของการจัดนิทรรศการภายในงาน ปีนี้ TGO ได้จัดเตรียมข้อมูล TGO service ได้แก่ T-VER, Carbon Credit, Carbon Offset และ Carbon Neutral เพื่อสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อน และผลักดันให้ประเทศไทยสามารถบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน และมุ่งสู่การลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์อย่างยั่งยืน” นายเกียรติชาย กล่าวเสริม
โดยทั้งหมดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2566
ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ประเทศไทย
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเข้าชมงานได้ทันทีที่ www.asew-expo.com
expo.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น