แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อุตสาหกรรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อุตสาหกรรม แสดงบทความทั้งหมด

30 พฤษภาคม 2568

JB Group สยายปีก ปักธงตลาดจีน ยึดความสำเร็จการค้า "Laos Model"

จับตา JB Group ภายใต้การกุมบังเหียน ของ “ CEO JIM ” ชาคริต นักสอน สยายปีก ผนึกพันธมิตรนำทัพสินค้าไทยเปิดตลาดจีน นำร่องปักธง "สิบสองปันนา" ยึดแนวทางความสำเร็จการค้า "Laos Model” ก่อนตั้งเป้า รุกเชื่อมโยง เส้นทางสายไหมยุคใหม่ (BRI - Belt and Road Initiative) สู่นคร คุนหมิง และมหานคร ฉงชิ่ง, คาซัคสถาน ,รัสเซีย จนถึงยุโรป ด้าน กงศุลพาณิชย์คุนหมิง พร้อมหนุนผู้ประกอบการไทย โกอินเตอร์ เวทีตลาดโลก

เมื่อวันที่  29 พฤษภาคม 2568 คุณชาคริต นักสอน ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท เจ บี  (JB Group) ร่วมลงนามในพิธีเซ็นเอ็มโอยู (MOU) ระหว่าง บริษัท JB Bangkok กับ คุณอันซาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Xishuangbanna Taibanna จำกัด ผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่จากประเทศจีน  ณ ห้องประชุมบริษัท JB Bangkok โดยมีคณะผู้บริหารของทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นสักขีพยานและแสดงความยินดีในความร่วมมือเป็นคู่ค้า นำสินค้าไทยไปจำหน่ายประเทศจีนตอนใต้ นำร่องในพื้นที่สิบสองปันนา 

คุณชาคริต  เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาบริษัท เจบี กรุ๊ป มีธุรกิจ หลัก ในการจัดจำหน่ายสินค้าใน สปป.ลาว  มากกว่า 20 ปี ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก มีอัตราเติบโตของ ยอดขาย เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากการที่ เป็นตัวแทน จัดจำหน่าย สินค้าอุปโภคบริโภคแต่เพียงผู้เดียวใน สปป..ลาว ให้กับ กลุ่ม  บริษัท พันธมิตร อาทิ บริษัทดัชมิลล์ ประเทศไทย, บริษัทในเครือ BJC เบอร์ลี่ ยุคเกอร์,บริษัท อาหารยอดคุณ ,บริษัท f-plus (ฟ้าไทย) เป็นต้น 

จากความสำเร็จอย่างมากในการสร้างรากฐานการจัดจำหน่ายสินค้าที่แข็งแกร่ง ใน สปป. ลาว จึงจุดประกายให้ตนเองจะยึดเป็น "โมเดลลาว" ในการขยายโอกาสมุ่งหน้าสู่ตลาดจีน และมีการเซ็นเอ็มโอยู กับ  บริษัทคู่ค้าจากจีน คือ Xishuangbanna Taibanna ในครั้งนี้




โอกาสนี้ ยังได้เชิญ ผู้บริหาร Xishungbanna Taibanna มาร่วมแนะนำสินค้าของแบรนด์พันธมิตรในงาน THAIFEX-Anuga Asia 2025 อิมแพค เมืองทองธานี ด้วย ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากเจ้าของสินค้าทุกแบรนด์ที่เคยร่วมค้าขายด้วยกันมา จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการขยายการจัดจำหน่ายสู่ ตลาดจีนตอนใต้ สิบสองปันนา ก่อนในระยะแรก


สำหรับแผนในอนาคตอันใกล้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นภายใน 2 ปีข้างหน้า ทาง JB Bangkok  ตั้งเป้าที่จะทำการค้าเชื่อมโยงบนเส้นทางสายไหมยุคใหม่ (BRI - Belt and Road Initiative) เพื่อขยายการจัดจำหน่ายไปสู่ นครคุนหมิง และมหานคร ฉงชิ่ง, คาซัคสถาน ,รัสเซีย จนถึงยุโรปต่อไป "  ผมหวังว่า เรื่องราวความสำเร็จของ
JB Bangkok จะเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทย ผู้ประกอบการสินค้าไทย กล้าที่จะมองโลกให้กว้างขึ้น และก้าวออกไปทำการตลาดในต่างประเทศ ดังเช่นที่ JB Bangkok กำลังทำ ถ้ามองภาพ ให้ชัดเจนขึ้นคือ ปัจจุบันประชากรในลาวและจีนตอนใต้  (สิบสองปันนา) มีประมาณ 9 ล้านคน แต่หากรวมประชากรทั้งหมดตามเส้นทาง BRI ไปจนถึงยุโรป ตัวเลขจะพุ่งสูงเกือบ 900 ล้านคน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า โอกาส
ทางธุรกิจนั้นมีอยู่มากมายมหาศาลสำหรับประเทศไทย"  คุณชาคริต กล่าวย้ำ



ด้านคุณอันซาน กล่าวว่า  บริษัท เป็นผู้จำหน่ายสินค้า ในมณฑลยูนนานและสิบสองปันนา ประเทศจีน มานาน ซึ่งที่ผ่านมาก็นำเข้าผลผลิตการเกษตร ผลไม้ สินค้าอุปโภคบริโภค จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลักอยู่แล้ว  ส่วนเหตุผลที่เลือกค้ากับ ทาง JB Bangkok เนื่องจาก ได้รู้จักชื่อเสียง และจากคำแนะนำ ของท่านกงศุลพาณิชย์ นครคุนหมิงรวมทั้งได้มีโอกาส พบปะในงานแสดงสินค้าที่ภาครัฐและเอกชนไทยจัดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว และทราบว่า เจบี กรุ๊ป ทำธุรกิจในลาว ประสบความสำเร็จ อย่างมาก จึงมั่นใจว่าการตกลงทำการค้าร่วมกันครั้งนี้ จะประสบความสำเร็จเหมือนที่ใน ประเทศลาวได้ 

ขณะที่ คุณณัฐ วิมลจันทร์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครคุนหมิง (กงศุล
ฝ่ายพาณิชย์) เปิดเผยว่า มีความยินดีและภาคภูมิใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนทั้งสองบริษัท ได้พบปะเจรจาการค้าร่วมกัน จนบรรลุข้อตกลงการเซ็นเอ็มโอยู สู่การดำเนินธุรกิจต่อไป"ผมมั่นใจว่า การเซ็นเอ็มโอยู ร่วมกันระหว่าง JB Bangkok และ Xishuangbanna Taibanna เป็นก้าวสำคัญที่ผู้ประกอบการไทย ได้สามารถทำให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จัก เป็นที่ยอมรับ และเปิดตัวเข้าสู่ตลาดจีนในสิบสองปันนา เชียงรุ้ง มณฑลยูนนาน และมณฑลต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้น และถือเป็นความภาคภูมิใจของของสถานกงศุลใหญ่ ณ นครคุนหมิง ที่ได้ช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย สามารถโกอินเตอร์ และเติบโตต่อไปในอนาคตครับ"
คุณณัฐ กล่าวในตอนท้าย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงาน "THAIFEX-Anuga Asia 2025" อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 27-31 พ.ค.68 นั้น คุณชาคริต ยังนำคณะผู้บริหาร JB Bangkok และบริษัท Xishungbanna พร้อมคณะสื่อมวลชน ร่วมเยี่ยมชมบูธแสดงสินค้า ของแบรนด์สินค้าชั้นนำที่เป็นพันธมิตรของBJC (บริษัท เบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด(มหาชน)โดยมี คุณพัชร ปรีดาศักดิ์ Sr.Business Manager-laos & Vietnam ให้การต้อนรับ  และยังเยี่ยมชมบูธ บริษัท อาหารยอดคุณ จำกัด  อย่างดีมาตลอด ได้แก่ดัชมิลล์, BJC ,ยอดคุณ, เอฟพลัส ผงปรุงรสฟ้าไทย, เซปเป้บิวตี้ดริ้ง,  ฉั่วฮะเส็ง ,thai coco และ ครัววังทิพย์ เป็นต้น การเยี่ยมชมบูธแสดงสินค้าต่างๆ ดังกล่าว ยังได้รับการต้อนรับและแนะนำสินค้าอย่างอบอุ่น เป็นกันเอง จากผู้บริหารและเจ้าของผลิตภัณฑ์ต่างๆ สร้างความประทับใจต่อคณะผุู้บริหาร JB Bangkok และ บริษัท Xishuangbanna เป็นอย่างมาก 


ล่าสุด คุณชาคริต พร้อมด้วยผู้บริหาร บริษัท Xishuangbanna ยังเข้าพบปะเจรจาการค้ากับคณะผู้บริหารบริษัท  เอสดี กัทธรี อินเตอร์เนชั่นแนล มรกต จำกัด (มหาชน)  ผู้ผลิตน้ำมันและผลิตภัณฑ์ ประกอบอาหารจากปาล์ม ถั่วเหลือง เมล็ดดอกทานตะวัน ข้าวโพด และดอกคาโนลา ชั้นนำของประเทศไทยอีกด้วย โดยมีคุณอัสนี มาลัมพุช กรรมการผู้จัดการ, คุณนุชนาถ สุขมงคล ผู้จัดการทั่วไป ให้การต้อนรับ ซึ่งมีผลสรุปร่วมกันอย่างดี ในการนำน้ำมันพืชมรกต ไปจำหน่ายที่สิบสองปันนา ในเร็วๆ นี้

27 พฤษภาคม 2568

เครือเฮอริเทจมาพร้อมคอนเซ็ปต์ "เปิดประตูสู่โลกแห่งสุขภาพ"

ยกขบวนผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม มาตรฐานสากล

กรุงเทพ-เครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เตรียมสร้างความฮือฮาอีกครั้งในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Beyond Food Experience” การนำเสนอประสบการณ์ที่มากกว่าเพียงรสชาติ สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ในเครือที่ได้รับการยอมรับในมาตรฐานการผลิตระดับโลก ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 31 พฤษภาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ในปีนี้ เครือเฮอริเทจมาพร้อมคอนเซ็ปต์ "เปิดประตูสู่โลกแห่งสุขภาพ" นำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพเยี่ยมหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น “เฮอริเทจ” ผลิตภัณฑ์ถั่ว ธัญพืช และผลไม้อบแห้งพรีเมียม สำหรับเป็นวัตถุดิบประกอบอาหาร, ”บลูไดมอนด์” ผลิตภัณฑ์ถั่วอัลมอนด์จากแคลิฟอร์เนีย และเครื่องดื่มน้ำนมอัลมอนด์ "อัลมอนด์ บรีซ", “ซันคิสท์” ผลิตภัณฑ์ถั่วพิสทาชิโอ ถั่วพรีเมียมคุณภาพหลากหลายชนิด และเครื่องดื่มน้ำนมพิสทาชิโอ, “นัท วอล์คเกอร์” ขนมขบเคี้ยวประเภทถั่วและเมล็ดพืช, “เนเจอร์ เซ็นเซชั่น” ผลิตภัณฑ์ธัญพืชและผลไม้อบแห้ง, “วันเดอร์พัฟฟ์” ข้าวโพดอบกรอบผสมถั่วพรีเมียม, “ฟรังซัว” คุ้กกี้สไตล์โฮมเมด, “เลอรูท” อาหารคลีนพร้อมทาน, “ลาชายา” ผลิตภัณฑ์ชาดอกไม้และผลไม้ออร์แกนิค  

ภายในงานมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นไฮไลท์หลายรายการ อาทิเช่น เครื่องดื่มน้ำนมข้าวโอ๊ต แบรนด์ ลัฟ นมทางเลือกยอดนิยม เปิดตัวมา 2 รสชาติ ได้แก่ สูตรไม่เติมน้ำตาล และ รสช็อกโกแลต ลัฟ นมโอ๊ต มีวิตามินอี ใยอาหาร และแคลเซียมสูง ปราศจากแลคโตสและกลูเตน ไม่มีส่วนผสมของถั่วเหลือง หอม อร่อย ดื่มง่ายได้ทุกเพศทุกวัย โดยมี “คุณศิริลักษณ์ คอง หรือ หลิง หลิง คอง” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ สื่อภาพลักษณ์ของการเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีสุขภาพดี ดูแลตัวเอง และใส่ใจในสุขภาพอยู่เสมอ ให้เป็นตัวแทนสื่อสาร โดยได้รับกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก

"เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เข้าร่วมงาน THAIFEX – ANUGA ASIA อีกครั้ง งานนี้เป็นเวทีสำคัญให้เราได้นำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพของเราสู่สายตาผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ และยังเป็นโอกาสอันดีในการสร้างเครือข่ายกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ เรามั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่หลากหลายและมีคุณภาพของเราจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพได้อย่างแน่นอน โดยในปีนี้ มีการนำเอาเครื่องดื่มน้ำนมข้าวโอ๊ต แบรนด์ ลัฟ มาเป็นส่วนประกอบหลัก ในการทำเครื่องดื่มสลัชชี่ หอมมันกลมกล่อมอย่างลงตัว มีทั้งหมด 3 เมนู ได้แก่ Choco Pistachio Crunchy / Oat Milk Perfect Match / Triple Choco Banana เพื่อแสดงให้ผู้ประกอบการเห็นถึงความสามารถในการนำผลิตภัณฑ์ของเราไปต่อยอดได้ เพิ่มมูลค่าสินค้า อีกทั้งยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่ชื่นชอบในการบริโภคเครื่องดื่มที่มีความแปลกใหม่ อร่อย และได้สุขภาพ " คุณวศธร พลไพศาล ผู้บริหารเครือเฮอริเทจ กล่าว


“แบรนด์ “นัท วอล์คเกอร์” ปีนี้ มาพร้อมความอร่อยซีรีส์ใหม่ กับครั้งแรกในไทยที่นำอัลมอนด์คุณภาพพรีเมียมมาเคลือบกรุบกรอบ   เพิ่มประสบการณ์ความแซ่บเผ็ดซี้ดถึงใจ 2 รสชาติ 2 สไตล์ ไม่ว่าจะเป็น Nut Walker Fiery Hot Crunchy Almonds ที่ได้แรงบันดาลใจจากรสชาติยอดนิยมฝั่งตะวันตก เน้นความอร่อยแบบดุดัน เข้มข้น เผ็ดร้อน เคี้ยวมันส์ และ Nut Walker Sizzling BBQ Crunchy Almonds นำเสนอเอกลักษณ์รสบาร์บีคิวสไตล์เอเชียนแท้ ๆ  ผสานความกลมกล่อมจากเครื่องเทศนานาชนิด หอมกรุ่นกลิ่นรมควัน จัดจ้านถึงใจ อร่อยเต็มคำ ทานเล่นแบบเพลิน ๆ จนหมดซอง และยังได้ประโยชน์หลากชนิดจากอัลมอนด์ที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน”

“นอกจากนี้ เครื่องดื่มน้ำนมอัลมอนด์ แบรนด์ บลูไดมอนด์ อัลมอนด์ บรีซ ยังได้รับเกียรติจากผู้บริโภค ที่ร่วมโหวตให้แบรนด์คว้ารางวัล Thailand’s Most Admired Brand ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร BrandAge โดยทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคชาวไทย เกี่ยวกับแบรนด์ที่พวกเขาชื่นชอบและประทับใจมากที่สุดอีกปีหนึ่ง โดย อัลมอนด์ บรีซ ได้รับรางวัลนี้ถึง 3 ปีซ้อน ได้แก่ ปี  2023 จากกลุ่มนมจากธัญพืช ในปี 2024 และ ปี 2025 จากกลุ่มนมอัลมอนด์ ถือได้ว่าเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเรา ในการนำเสนอนมอัลมอนด์ที่มีคุณภาพ ผลิตจากอัลมอนด์นำเข้าจากแคลิฟอร์เนีย รสชาติอร่อย และดีต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เรา พัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภคชาวไทย” คุณวศธร เสริม

“และอีกหนึ่งรางวัลที่เครือเฮอริเทจภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก คือ รางวัล Prime Minister’s Export Award สาขา Best Halal 2024 นับเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในด้านระบบการผลิตที่ได้มาตรฐานระดับสากล ไม่ใช่แค่เพื่อผู้บริโภคชาวไทย แต่คำนึงถึงความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคทั่วโลก” คุณวศธร กล่าวปิดท้าย

ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเครือเฮอริเทจได้รับการคัดสรรวัตถุดิบธรรมชาติคุณภาพสูง ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานระดับสากล ได้รับการจดทะเบียนรับรองทั้ง HACCP, GHPs, BRCGS, และ ISO 22000 พร้อมด้วยมาตรฐานอาหารฮาลาลและโคเชอร์ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดและมีคุณค่าทางโภชนาการแก่ผู้บริโภค นอกจากนี้ ภายในบูทของเครือเฮอริเทจ ผู้เข้าชมงานจะได้พบกับกิจกรรมที่น่าสนใจ การชิมผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะงานนี้เท่านั้น

ติดตามกิจกรรมและข่าวสารของเครือเฮอริเทจได้ที่ www.facebook.com/Heritagegroupthwww.instagram.com/heritagegroupth 
และ www.heritagethailand.com 

“THAIFEX – ANUGA ASIA 2025” เปิดฉากวันแรก ยิ่งใหญ่ระดับโลก

“พิชัย” นำทัพต้อนรับผู้ซื้อจาก 140 ประเทศ หนุนไทยสู่ “ครัวโลก” คาดมูลค่าสั่งซื้อกว่า 98,000 ล้านบาท

วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน “THAIFEX – ANUGA ASIA 2025” งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่และครบวงจรที่สุดแห่งเอเชีย เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พบกับนวัตกรรมอาหารจากทั่วโลก สร้างโอกาสเจรจาการค้า และตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะผู้นำด้านอุตสาหกรรมอาหารโลกภายใต้นโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ เยอรมนี


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านอุตสาหกรรมอาหารที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายของวัตถุดิบ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนวัฒนธรรมอาหารที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ด้วยศักยภาพเหล่านี้ รัฐบาลจึงเดินหน้าผลักดันนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพอาหารไทยสู่มาตรฐานสากล ส่งผลให้ในปี 2567 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้ส่งออกสินค้าอาหารรายใหญ่อันดับ 12 ของโลก และคาดว่าในปี 2568 จะมีมูลค่าการส่งออก 1.75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 จากปีที่ผ่านมา

THAIFEX – ANUGA ASIA ถือเป็นกลไกสำคัญที่กระทรวงพาณิชย์ใช้ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทย โดยได้รับการยอมรับว่าเป็นงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก และยังเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอาหารไทยทุกระดับ ตั้งแต่ SMEs และสตาร์ตอัป ไปจนถึงบริษัทรายใหญ่ ได้พบปะเจรจาการค้า สร้างพันธมิตรทางธุรกิจระดับนานาชาติ และขยายโอกาสการส่งออกสู่ตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรม

การจัดงาน THAIFEX – ANUGA ASIA ในปีนี้มีขนาดของงานและจำนวนผู้เข้าร่วมงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีผู้ประกอบการกว่า 3,200 บริษัท จากประเทศไทยและอีก 56 ประเทศ ร่วมจัดแสดงสินค้ารวมกว่า 6,200 คูหา ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มในอุตสาหกรรมอาหาร ตั้งแต่สินค้าเกษตร สินค้าแปรรูป เทคโนโลยีอาหาร ไปจนถึงสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง คาดว่าตลอดช่วงวันเจรจาธุรกิจจะมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 90,000 ราย จาก 140 ประเทศทั่วโลก และจะก่อให้เกิดมูลค่าการสั่งซื้อทั้งในงานและภายใน 1 ปีหลังงานรวมกันกว่า 98,000 ล้านบาท



“ความสำเร็จของงานนี้และการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหาร สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจอาหารระดับโลก และแหล่งสำรองอาหารที่น่าเชื่อถือของโลก ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมรอบด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก เครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง และการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นจากนานาชาติ และผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมบริการระดับโลกในอนาคต” นายพิชัย กล่าว

THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 จัดเจรจาธุรกิจในวันที่ 27-30 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00-18.00 น. เจรจาธุรกิจและจำหน่ายปลีกสำหรับประชาชนทั่วไปในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ฮอลล์ 5-12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นอกจากจะจัดแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มอย่างครอบคลุมครบทุกประเภทแล้ว ภายในงานยังมีนิทรรศการ สัมมนา และกิจกรรมพิเศษ ที่จะช่วยอัปเดตเทรนด์อาหาร ความต้องการของผู้บริโภค และข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ ที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ร่วมงาน เพื่อต่อยอดสู่ความสำเร็จที่มากขึ้น

#toptotravel #thaifex2025 #THAIFEXANUGAASIA2025

04 มีนาคม 2568

ไทย-ญี่ปุ่น จัดตั้ง Sustainable Business Desk


ไทย-ญี่ปุ่น หนุนอุตสาหกรรมสีเขียว ล่าสุด เจโทร จับมือ บีโอไอ และ สกพอ.จัดตั้ง Sustainable Business Desk ด้านเอกชนใหญ่เครือเจริญโภคภัณฑ์ พีทีที โกลบอล เคมิคอล และเอกชนญี่ปุ่นขานรับ เผยผลรูปธรรมพัฒนาธุรกิจยั่งยืนและความเป็นกลางทางคาร์บอน

นายคุโรดะ จุน ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กรุงเทพฯ กล่าวถึง การจัดตั้ง Sustainable Business Desk ในการเป็นศูนย์กลางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น ในการพัฒนาแนวทางธุรกิจที่ยั่งยืนและผลักดันไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality - CN) ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมส่งผลกระทบต่อโลกอย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น ความรุนแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตร ฯลฯ ทำให้หลายประเทศร่วมมือกันประกาศเป้าหมายด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) โดยหลายหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมโลกได้กำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต้องปฏิบัติตาม ส่วนผู้บริโภคและคู่ค้านั้นก็ให้ความสำคัญกับธุรกิจหรือสินค้าที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG) มากขึ้น


ดังนั้นเจโทร กรุงเทพฯ จึงจัดตั้ง Sustainable Business Desk ขึ้น ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น โดยบทบาทสำคัญของศูนย์ฯ มีหน้าที่ช่วยเหลือภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั้งไทยและญี่ปุ่นในการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลของความร่วมมือสะท้อนผ่านการจัดงาน Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025 เวทีความร่วมมือของภาครัฐไทยและญี่ปุ่น ทั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ สำนักงานคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EECO) รวมถึงความร่วมมือจากภาคเอกชนไทยและญี่ปุ่น ที่ได้ร่วมกันทำงานจนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) ที่ร่วมกับ บริษัท Thermalytica ในด้านการดำเนินงาน พร้อมนำเสนอแนวทางความยั่งยืนในโครงการนำร่องด้านเทคโนโลยีการลดอุณหภูมิในโรงเรือนเพื่อทดสอบแนวคิด กระบวนการ และขั้นตอน (Proof of Concept (PoC)) การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ หรือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) และ บริษัท CBT/Toray ที่ร่วมกันพัฒนาเศษวัสดุทางการเกษตร เช่น น้ำตาลชีวภาพจากชีวมวลที่ไม่ใช้เป็นอาหารไปสู่การผลิตเรซินชีวภาพและเส้นใยชีวภาพเพื่อการพาณิชย์ เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ รวมถึงยังมีการเซ็นต์สัญญาความร่วมมือระหว่างโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP Power Limited) และ บริษัท Algal Bio ในโครงการนำร่องการส่งเสริมเทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) โดยอาศัยจุลสาหร่ายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Microalgae CCUS)


ด้านนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า การจัดตั้ง Sustainable Business Desk นับเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นในการผลักดันอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอน โดยศูนย์แห่งนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการช่วยภาคธุรกิจปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ผ่านการลงทุน การพัฒนานวัตกรรม และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดล BCG (Bio Circular and Green Economy) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาลและ BOI


ที่ผ่านมา BOI มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนที่ยั่งยืน ผ่านมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรม BCG โดยในปี 2567 BOI ได้อนุมัติโครงการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม BCG เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวมวล ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด หรือผลิตภัณฑ์จากการรีไซเคิล เป็นต้น รวม 939 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 230,000 ล้านบาท หากนับตั้งแต่ปี 2561-2567 BOI ได้ให้การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม BCG รวม 5,380 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสะสมกว่า 1.15 ล้านล้านบาท ซึ่งแสดงถึงทิศทางการเติบโตของธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และความมุ่งมั่นของไทยในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสีเขียวของภูมิภาค
BOI ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น การขยายการส่งเสริมกิจการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ที่กำลังเป็นเทรนด์ของโลก การพัฒนา Bio Hub ในภาคต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรของไทย และการปรับปรุงมาตรการ Smart & Sustainable Industry เพื่อช่วยให้กิจการต่างๆ สามารถลงทุนเพื่อยกระดับการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงส่งเสริมให้ได้รับมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับสากล ทั้งนี้ BOI จะยังคงทำงานร่วมกับเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการส่งเสริมการลงทุนของไทยสามารถรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างยั่งยืน
สำหรับบทบาทของนักลงทุนญี่ปุ่นต่อการลงทุนในพื้นที่ EEC นั้น ดร.ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า การลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC นับจากการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนโดย BOI ระหว่างปี 2561-2567 ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,823,805 ล้านบาท หรือประมาณ 52.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ


ทั้งนี้ สัดส่วนเฉลี่ยการลงทุนในพื้นที่ EEC คิดเป็นร้อยละ 52 เทียบกับทั้งประเทศ ในปี 2567 มีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC นับจากการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนโดย BOI สูงถึง 374,407 ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ EEC เมื่อปี 2561 โดยแบ่งเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ 2,425 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ 110,681 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมยานยนต์ 75,302 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG 27,609 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมบริการ 41,686 ล้านบาท และคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง 116,704 ล้านบาท สำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนต่างชาติรายสำคัญในพื้นที่ EEC ด้วยสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 12 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในพื้นที่ EEC ระหว่างปี 2561-2567 โดยนักลงทุนญี่ปุ่นมีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน รวมถึงอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ สำนักงาน EEC ตั้งเป้าหมายการลงทุนปี 2568 ไว้ที่ 150,000 ล้านบาท โดยในระยะเวลา 5 ปี (ปี 2566 - ปี 2570) ตั้งเป้าการลงทุนรวมไว้ที่ 500,000 ล้านบาท

ในปัจจุบัน สำนักงานมีความร่วมมือกับหลายภาคส่วนของญี่ปุ่นในการขับเคลื่อนการลงทุนในพื้นที่ EEC หลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG การจัดตั้ง Sustainable Business Desk นั้น สกพอ. ยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง โดยทางญี่ปุ่นเองถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในระดับภูมิภาคในกลุ่มอุตสาหกรรมสีเขียว เช่น เทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและประหยัดพลังงาน การผลิตพลังงานสะอาด เทคโนโลยีการติดตามและบริหารจัดการคาร์บอนในองค์กร ฯลฯ ซึ่งอุตสาหกรรมไทยอยู่ระหว่างการปรับตัวจากอุตสาหกรรมเดิมไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวและยังมีช่องว่างในการเติบโตที่สูง จึงเหมาะกับการจับคู่ทางธุรกิจให้เกิดการลงทุนใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีของบริษัทญี่ปุ่น และในอนาคตจะไม่จำกัดเฉพาะการซื้อและใช้งานเทคโนโลยีเท่านั้น แต่จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในรูปแบบการร่วมทุน (Joint Venture) ระหว่างกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดในประเทศและภูมิภาคมากขึ้น สอดคล้องกับการส่งเสริมด้านการลงทุนที่เน้น Co-creation ของรัฐบาลญี่ปุ่นอีกด้วย

25 กุมภาพันธ์ 2568

กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าจัด “งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569”


วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568, เวลา 17.00 น. กรุงเทพมหานคร : ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมาย นางสาวอนงค์นาถ จ่าแก้ว เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ให้เกียรติเป็นประธานงานแถลงข่าวงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ.2569


โดยมี นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร มอบหมายให้ นางวิลาวัณย์ ใคร่ครวญ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร พร้อมด้วย นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ร่วมแถลงข่าว ถึงความพร้อมการจัด “งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ.2569” ภายใต้แนวคิด “Diversity of Life, connecting people, water and plants for sustainable living ความหลากหลายแห่งสรรพชีวิต : สายสัมพันธ์แห่งผู้คน สายน้ำและพืชพรรณ สู่การดำรงชีวิตที่ยั่งยืน” พร้อมชูวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” รวมพื้นที่จัดงาน 1,030ไร่ เพื่อนำความรู้แลกเปลี่ยนวิชาการและเทคโนโลยีสู่ระดับนานาชาติ โชว์ศักยภาพพืชสวนโลก โดยเฉพาะการจัดงานบนพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นครั้งแรกของโลก มุ่งสู่เป้าหมาย “เมืองอัจฉริยะศูนย์กลางการค้าการลงทุน การท่องเที่ยวและไมซ์ (MICE) ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” ซึ่งตรงกับเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 10 ปีของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระชนมายุครบ 6 รอบ หรือ 72 พรรษา และวันครบรอบวันสถาปนาเมืองอุดรธานี 134 ปี โดยงานจัดขึ้นในช่วงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2569 - 14 มีนาคม 2570 |ณ พื้นที่ชุ่มน้ำหนองแด ตำบลกุดสระ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

นางวิลาวัณย์ ใคร่ครวญ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า “งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569” สิ่งที่พิเศษที่สุดที่สะท้อนถึงความโดดเด่น คือ เป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมพืชสวนโลกจัดขึ้นในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) และเป็นงานพืชสวนโลกบนพื้นที่ชุ่มน้ำครั้งแรกของโลก/Wet Land ณ พื้นที่ชุ่มน้ำหนองแด ตำบลกุดสระ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี พื้นที่จัดงานรวม 1,030 ไร่ สำหรับการออกแบบพื้นที่และกิจกรรมแบ่งการใช้งานออกเป็นทั้งหมด 6 โซน โดยมีพื้นที่ไฮไลท์การจัดกิจกรรม ได้แก่ โซนพื้นที่ทางเข้า จุดประชาสัมพันธ์ จุดจำหน่ายบัตร ,โซนสวนนานาชาติ สำหรับการประกวดสวนนานาชาติ, โซนอาคารเรือนกระจก (Greenhouse) สำหรับการประกวดพืช และอาคารอำนวยการ (Exhibition Building) สำหรับการประกวดสวนนานาชาติในอาคาร, โซนพื้นที่จัดแสดงนวัตกรรมทางการเกษตรที่ทันสมัย รวมไปถึงแปลงรวบรวมพันธุ์ การปลูกพืชผสมผสาน, โซนสวนการเกษตรไทย และอาคารหลักต่าง ๆ โซนสวนป่าคาร์บอนเครดิตและเรือนเพาะชำ รวมถึงพื้นที่ไฮไลท์การจัดกิจกรรมตลอดทั้งงาน ทั้งหมดนี้สามารถแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการพัฒนาด้านพืชสวนและสมุนไพรของไทย โดยเฉพาะพื้นที่ชุ่มน้ำ อีกทั้งการแลกเปลี่ยน พร้อมส่งเสริมพัฒนาและต่อยอดการเกษตรในระดับนานาชาติ ทั้งทางด้านวิชาการ นวัตกรรม เทคโนโลยี และการวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ให้เป็นศูนย์กลางด้านการค้าการลงทุน และศูนย์กลางนวัตกรรมด้านการเกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิต การวิจัย และการต่อยอดไปสู่ BCG Model (Bio Economy, Circular Economy, Green Economy) เศรษฐกิจชีวภาพ ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และระบบเศรษฐกิจสีเขียว สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ” ​“งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569” คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานทั้งสิ้นประมาณ 3.6 ล้านคน ทำให้มีกระแสเงินสดหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนมหาศาล จากภาคการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายเงินของภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน รวมถึงเกิดการกระตุ้นการใช้จ่าย ตลอดช่วงระยะเวลาจัดงาน 134 วัน รายได้สะพัดกว่า 32,000 ล้านบาท (สามหมื่นสองพันล้านบาท)​นอกจากนี้ “งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569” ยังมีจัดกิจกรรมการประกวดออกแบบมาสคอต เปิดโอกาสให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนทั่วไป ในนามบุคคลหรือกลุ่ม ได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ ออกแบบมาสคอตให้สอดคล้องกับคอนเซปต์ของโครงการฯ “ความหลากหลายแห่งสรรพชีวิต สายสัมพันธ์แห่งผู้คน สายน้ำ และพืชพรรณ สู่การดำรงชีวิตที่ยั่งยืน” เพื่อชิงเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท



โดยสามารถส่งผลงานได้ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ - 1 เมษายน 2568​ส่วน นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ยังได้ฝากเพิ่มเติมต่ออีกว่า “งานนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระดับนานาชาติร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อต่อยอดงานวิจัยและการพัฒนาพืชสวนของไทย โดยมีเป้าหมายหลักในครั้งนี้ คือ สร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ให้เป็นศูนย์กลางด้านการค้าการลงทุนของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง การนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของคนในท้องถิ่น ซึ่งครั้งนี้ กรมวิชาการเกษตร เชื่อมั่นว่าทุกภาคส่วนพร้อมร่วมมือและขับเคลื่อนในการจัดงาน มีกรอบการทำงานชัดเจน หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง เน้นย้ำว่าประเทศไทยยืนยันในความพร้อม และสร้างความมั่นใจให้แก่คณะกรรมการ AIPH ในการดำเนินการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานีให้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์และทันในการเปิดงานภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2569 อย่างแน่นอน”ด้าน นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวถึงความพร้อมของการจัดงานว่า “ในนามจังหวัดอุดรธานี หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนทุกภาคส่วนมีความพร้อมและยืนยันให้การสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือในการจัด “งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569” มีแผนการดำเนินงาน และระยะเวลาในการดำเนินงานขั้นตอนต่าง ๆ ที่ชัดเจน ซึ่งจังหวัดอุดรธานีพร้อมก้าวเข้าสู่เมืองที่ยั่งยืน (Sustainable Cities)




โดยมีเป้าหมายหลักคือ สร้างสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ดี สร้างสังคมเข้มแข็ง สะดวก สะอาด ปลอดภัย นำ ไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของคนในท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการเกษตรให้เป็นการเกษตรแม่นยำสูง (Precision Agriculture) จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดอุดรธานี (ศูนย์ AIC) ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี โดยเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการเกษตรเพื่อลดค่าใช้จ่าย และช่วยให้เกษตรกรคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อการต่อยอดและพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งไม่จำกัดอยู่แค่ในพืชสวนเท่านั้น แต่รวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนอีกด้วยทั้งนี้จังหวัดอุดรธานีมีความพร้อมในการจัดงานในทุกด้าน โดยในด้านลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของจังหวัดอุดรธานี คือ พื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetland) หรือที่ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “ป่าบุ่ง ป่าทาม” ที่มีอยู่กว่า 900 จุด รวมเป็นพื้นที่กว่า 2,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งพื้นที่ชุ่มน้ำ คือ พื้นที่บริเวณรอยต่อ ระหว่างพื้นที่บกและพื้นที่น้ำ เป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลาย และก่อให้เกิดประโยชน์แก่มนุษยชาติมากมายในด้านการดำเนินชีวิต การหลอมรวมเป็นหนึ่งของวิถีชีวิตและธรรมชาติ ยกระดับวิถีชุมชนและถ่ายทอดอัตลักษณ์ของชุมชน ต่อยอดสู่แนวคิดวิถีชีวิตสีเขียว (Green Living) ที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลของ “มนุษย์” ในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติที่มีความหลากหลายอย่างยั่งยืน นอกจากนี้จังหวัดอุดรธานียังมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น คือดอกบัวแดง และศิลปะบนเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง มาผสมผสานจนเกิดเป็นสัญลักษณ์ดอกบัวลายไหบ้านเชียง ซึ่งดอกบัวแดง สื่อถึงทะเลบัวแดง ที่ได้รับการจัดอันดับโดย CNN ให้เป็น 1 ใน 15 ทะเลสาบที่แปลกที่สุดในโลก เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดอุดรธานีที่มีชื่อเสียงระดับโลก“






“งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569” เป็นงานมหกรรมพืชสวนโลกที่จัดขึ้นในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) และเป็นงานพืชสวนโลกบนพื้นที่ชุ่มน้ำครั้งแรกของโลก ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2569 - วันที่ 14 มีนาคม 2570 ณ พื้นที่ชุ่มน้ำหนองแด ตำบลกุดสระ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี”

07 ตุลาคม 2567

อุตสาหกรรมฮาลาลประเทศไทยกับพัฒนาการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลฮาลาล


วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2567 นายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นำทีมงานเข้าเยี่ยมชมกิจการของศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศวฮ.) โดยมี  รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน
ผู้อำนวยการ ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยให้การต้อนรับ ผอ.ศวฮ.ระบุว่ากลุ่มประเทศมุสลิมสนใจพัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์ฮาลาลของประเทศไทยมา
โดยตลอด ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ผอ.ศวฮ.ได้รับเชิญให้นำเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ฮาลาล เพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ฮาลาลเชิงอุตสาหกรรมแก่หลายประเทศมุสลิม ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย, กาตาร์, บาห์เรน, โอมาน, ยูเออี, คูเวต, จอร์แดน, อิรัก, คาซักสถาน และมาเลเซีย อีกทั้งยังมีงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์ฮาลาลเพื่ออนาคตร่วมกับทีมนักวิจัยจากหลายประเทศ


ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ศวฮ.พัฒนางานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีฮาลาลเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม ฮาลาลมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การจัดตั้ง ศวฮ.ตามมติคณะรัฐมนตรีในวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2546  ศวฮ.พัฒนาระบบการมาตรฐานฮาลาล โดยประยุกต์ใช้นวัตกรรมในหลายขั้นตอนผ่านกระบวนการมาตรฐานฮาลาลที่
ชื่อว่า HAL-Q มีการใช้นวัตกรรม, H numbers, น้ำยาดินชำระล้าง, งานทางนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาล วางระบบในโรงงานอุตสาหกรรม 1,112 โรงงาน ครอบคลุมคนงาน 158,823 คน ตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ไปกว่า 188,731 ตัวอย่าง นำไปสู่พัฒนาการด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การสร้างบิ๊กดาต้า การพัฒนาระบบ   “ฮาลาลบล็อกเชน” เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคในกระบวนการทวนสอบย้อนกลับ (Traceability)   ผ่านแอปพลิเคชันในรูป Thailand Diamond Halal Blockchain เป็นไปตามมติคณะรัฐมตรีวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2558 และ 10 กันยายน พ.ศ.2562 ตามการนำเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรมและสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ






เพื่อให้อุตสาหกรรมฮาลาลประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ ศวฮ.พัฒนาแพลตฟอร์ม “THAIs” หรือ Thailand Halal Trustworthy A.I. เพื่อสร้างความไว้วางใจต่อผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทย โดยประยุกต์ใช้เอไอสองแนวทาง โดย “เอไอที่หนึ่ง” คือ Actual Implementation ซึ่งเป็นการปฏิบัติงานด้วยมือและสมองของมนุษย์ เป็นต้นว่า การวางระบบ   HAL-Q,
งานห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาล, การใช้นวัตกรรม, การตัดสินทางศาสนา (ฟัตวา) “เอไอที่สอง” คือ Artificial Intelligence โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่  (Big Data) แพลตฟอร์ม THAIs จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรม ภาคผู้บริโภคและภาคธุรกิจ เกิดความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์ฮาลาลของประเทศไทย เป้าหมายเพื่อลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนการดำเนินงาน เพิ่มความสามารถด้านการแข่งขัน นี่คือภาพความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมฮาลาลประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างแท้จริงตามแนวทางที่ ศวฮ.นำเสนอต่อกระทรวงอุตสาหกรรม

18 เมษายน 2567

THAIFEX - Anuga Asia 2024

งาน THAIFEX - Anuga Asia 2024 เป็นงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลายและน่าสนใจมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา จากการที่มีจำนวนผู้แสดงสินค้าถึง 45 ประเทศในหลายภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งขณะนี้มีผู้จองบูธเต็มพื้นที่ โดยงานนี้จะทำให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง เกิดการร่วมมือกันทางการค้า และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจต่างๆ มากมาย

กรุงเทพฯ ประเทศไทย - THAIFEX - Anuga Asia 2024 งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กลับมาอีกครั้งพร้อมกับจำนวนผู้แสดงสินค้าระดับนานาชาติมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม ถึง 1 มิถุนายน 2567 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี กรุงเทพฯ ประเทศไทย ด้วยพื้นที่จัดแสดงสินค้าที่หลากหลายถึง 11 ฮอลล์ และพื้นที่จัดแสดงสินค้าพิเศษอีก 6 โซน ที่นำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยตอบสนองความต้องการที่มากขึ้นของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน พร้อมเน้นย้ำถึง 11      เทรนด์ธุรกิจซึ่งจะจัดแสดงให้เห็นทั่วทั้งพื้นที่การจัดงาน ผู้ซื้อและผู้ค้าจากทั่วทุกมุมโลกจะได้รับโอกาสซึ่งไม่สามารถหาได้จากที่ไหนในการเรียนรู้กลยุทธ์สำหรับเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม



Mathias Kuepper กรรมการผู้จัดการและรองประธานของ Koelnmesse Asia Pacific กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า "งาน THAIFEX - Anuga Asia ในปีนี้จะแตกต่างจากครั้งอื่นๆ แม้ว่าการจัดงานเมื่อปี 2023 จะประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่งานในปี 2024 นี้ บูธจัดแสดงสินค้าได้รับการจับจองเต็มพื้นที่เร็วกว่าทุกปีที่ผ่านมา และยังมีประเทศใหม่ๆ มาเข้าร่วมงานด้วย ผู้เข้าร่วมงานมั่นใจได้ว่างาน THAIFEX - Anuga Asia ปีนี้จะเต็มไปด้วยสินค้าและบริการที่หลากหลายและมีคุณภาพอย่างยิ่ง ในฐานะงานแสดงสินค้าที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เป้าหมายหนึ่งเดียวของเราคือการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับนิยามของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก"

การรวบรวมรสชาติที่หลากหลายทั่วโลกไว้ในงานเดียว งานในปีนี้จะมีผู้แสดงสินค้าจาก 45 ประเทศ จากภูมิภาคต่างๆ โดยมีประเทศใหม่ๆ มาเข้าร่วมงาน ได้แก่ แคนาดา สาธารณรัฐเช็ก อียิปต์ มาเก๊า โมนาโก มาซิโดเนียเหนือ โรมาเนีย อุรุกวัย และเยเมน ซึ่งประเทศเหล่านี้ได้ตอกย้ำว่างานนี้จะเป็นงานแสดงสินค้าที่ทุกคนจะได้สัมผัสประสบการณ์และรสชาติระดับโลกอย่างแท้จริง

ค้นพบความอร่อยจากมาเก๊า: มาเก๊าเข้าร่วมงาน THAIFEX - Anuga Asia 2024 เป็นครั้งแรก โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของอาหารมาเก๊าและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ Vincent U ประธานสถาบันส่งเสริมการค้าและการลงทุนของมาเก๊า (IPIM) กล่าวว่า "การเข้าร่วมงาน THAIFEX - Anuga Asia ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของมาเก๊าที่จะเข้าสู่ธุรกิจอาหารระดับโลก ปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่สถาบันฯ เข้าร่วมออกบูธและช่วยประสานความร่วมมือต่างๆ ให้ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ของมาเก๊า การนำผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ของมาเก๊ามาร่วมงาน THAIFEX - Anuga Asia ถือเป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นสำหรับเราในการนำเสนออาหารที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และช่วยสร้างเครือข่ายการค้าส่งและการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งและมั่นคงต่อไปในเวทีระดับโลก เราหวังว่าจะได้พบกับความร่วมมือใหม่ๆ ทางการค้าและสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จร่วมกัน”

นวัตกรรมจากแคนาดาที่น่าจับตา
ประเทศแคนาดาจะนำบริษัทที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมอันหลากหลายเข้าร่วมงานในปีนี้หลายบริษัท เช่น บริษัท Cross Frontier Merchandise จะนำเสนอสินค้าแก่ผู้ค้าปลีกที่กำลังมองหาขนมทานเล่นออร์แกนิกและเครื่องปรุงรสระดับพรีเมียมที่คำนึงถึงเรื่องสุขภาพ บริษัท Padmashri Naturals จะนำเสนอผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสมุนไพรที่ส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม และบริษัท Royal Classical Agriculture ซึ่งให้ความสำคัญกับวิถีเกษตรยั่งยืน นำเสนอผักและผลไม้ออร์แกนิก

สำรวจความหลากหลายอาหารอเมริกัน:
USDA หรือกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกาภูมิใจนำเสนอผู้จัดแสดงสินค้าจากองค์กรต่างๆ เช่น กรมวิชาการเกษตรวิสคอนซิน สมาคมถั่วเมล็ดแห้งแห่งสหรัฐอเมริกา  และคณะกรรมการที่ปรึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นมแคลิฟอร์เนีย ซึ่งแต่ละองค์กรตอกย้ำให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมที่แตกต่างกันไปต่อพื้นที่การเกษตรอันอุดมสมบูรณ์ของอเมริกา ทางด้าน Bamas Gourmet Sauces และสถาบันอลาสก้าซีฟู๊ดมาร์เก็ตติ้ง จะนำซอสจากวัตถุดิบท้องถิ่นและอาหารทะเลอะลาสก้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมานำเสนอ นอกจากนี้ ด้วยความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนาน กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกายังได้ประกาศครั้งสำคัญว่าจะให้การสนับสนุนงาน THAIFEX – Anuga Asia อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป


งาน THAIFEX – Anuga Asia ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการส่งเสริมพันธมิตรทางการค้าและยกระดับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอเมริกันให้มีชื่อเสียงระดับโลก เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่จะประกาศสนับสนุนงาน THAIFEX - Anuga Asia อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นงานแสดงสินค้าที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดแสดงสินค้าด้านการเกษตรและอาหารที่ยอดเยี่ยมของสหรัฐอเมริกาให้เป็นที่รู้จักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" Kelly Stange ที่ปรึกษาด้านการเกษตรประจำภูมิภาคของ USDA กล่าวเน้นย้ำ

เป็นมากกว่างานแสดงสินค้า
งาน THAIFEX - Anuga Asia 2024 จะเป็นมากกว่างานแสดงสินค้าที่เต็มไปด้วยสีสัน เพราะงานนี้จะมอบโอกาสพิเศษให้แก่ผู้เข้าร่วมงานที่จะได้ค้นพบโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และสร้างความได้เปรียบให้อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

สำหรับการประชุมและการสัมมนาที่น่าสนใจในงานนี้ จะมีทั้ง Future Food Experience+ การประกวดโปรตีนทดแทนที่เน้นความอร่อยและรสชาติทางเลือก( Alternative Protein Flavour and Taste Contest ) และการแข่งขันสุดยอดเชฟไทยแห่งปี Thailand Ultimate Chef Challenge  ซึ่งจัดขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างบุคลากรในอุตสาหกรรมอาหาร ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับเทรนด์ใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ความต้องการของผู้บริโภค และความเคลื่อนไหวของตลาดที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในอนาคต"

นอกจากนี้ งาน THAIFEX - Anuga Asia 2024 มีความภูมิใจและยินดีที่ได้รับความร่วมมือจากองค์กรการกุศลชั้นนำ ได้แก่ UNICEF, SOS, ZY Movement, UNHCR และมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นต่อพันธกิจด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของงาน THAIFEX – Anuga Asia