แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เกษตรกรรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เกษตรกรรม แสดงบทความทั้งหมด

27 สิงหาคม 2568

สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส เผยนวัตกรรมสร้างสรรค์ออกมาเพื่อใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า

นับเป็นครั้งแรกที่ทีมงาน Toptotravel มีโอกาส เยี่ยมชมธุรกิจ ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร ทำให้ทุกคนได้เห็นภาพองค์กรใหญ่อย่างบริษัท สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด พร้อมเผยผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด “เชือกทองคำ” เชือกเกษตร ชูศักยภาพ ผลิตโดยคนไทยเพื่อคนไทย  ทนทาน ราคาถูกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม




บริษัท สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด ชมนวัตกรรม และเทคโนโลยีเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับการแปรรูปที่ทันสมัย และบรรจุภัณฑ์อาหาร การรักษาสภาพอาหาร และวัสดุสิ้นเปลือง และอีกหลากหลายชนิด สยามโกลเด้นเซลส์ แอนด์เซอร์วิส ด้วยประสบการณ์มากกว่า 30 ปี  บ.สยาม โกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จก. ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบบรรจุภัณฑ์ โรงงานผลิตสายรัดพลาสติก ระบบบรรจุภัณฑ์อัตโนมัติในสายการผลิต ภายใต้การบริหารงานของ นายปราการ พรสกุลไพศาล และนายวสุโรจน์ ทายาทที่ขยายปีกและเติบโตอย่างมั่นคง รองรับผู้บริโภคตั้งแต่ระดับรากหญ้า จนถึงธุรกิจระดับอุตสาหกรรม โดยการพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์ออกมาเพื่อใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่ามากขึ้น ส่งผลกระทบกับธรรมชาติให้น้อยลง ล่าสุด เปิดตัว เชือกเกษตร ผลิตภัณฑ์ใหม่รองรับตลาดเกษตรอย่างเต็มตัว ภายใต้ชื่อ แบรนด์ “เชือกทองคำ” สินค้าจากฝีมือคนไทยเพื่อคนไทย ที่สำคัญเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรมพลังงานครบวงจร เห็นภาพรวมและแนวทางขององค์กรชัดเจนมากยิ่งขึ้น






คุณปราการ พรสกุลไพศาล ประธานกรรมการ บริษัท สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด เล่าถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2532 ก้าวสู่การเป็นผู้จำหน่ายเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์และวัสดุสิ้นเปลือง และวันนี้เรายังคงเดินหน้าต่อไป เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ธุรกิจที่ผลิตวัสดุหรืออุปกรณ์สำหรับห่อหุ้ม ป้องกัน และนำเสนอสินค้า เพื่อให้สินค้ามีความสมบูรณ์ ปลอดภัยและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดย บ. สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จก. และบริษัทในเครือ ซึ่งได้แก่ บริษัท เรืองนครแพคเซอร์วิส จำกัด และ บริษัท ปราการอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ จำกัด

คุณปราการ พรสกุลไพศาล ประธานกรรมการ บริษัท สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด


ปราการ พรสกุลไพศาล ประธานกรรมการ  กล่าวถึง เชือกเกษตร แบรนด์ “เชือกทองคำ” ว่า เชือกเกษตร เป็นสินค้าใหม่ที่บริษัทตั้งใจในการผลิตขึ้น เป็นการทำเชือกฟางครบวงจร ภายใต้ชื่อ เชือกทองคำ สามารถนำไปใช้งานด้านเกษตรเพื่อห่อหุ้มผลไม้ได้ทุกชนิด  ซึ่งผลิตจากเม็ดพลาสติกเม็ดใหม่ มีความทนทาน เหนียว ไม่เจ็บมือ ใส่ยูวีทำให้สีไม่จืดไม่ลอก รวมถึงสินค้าอีกตัวหนึ่งคือ สายรัด PP  ก่อนหน้านี้ขายเป็นกิโล ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเป็นขายความยาว 1 เมตร ต้นทุนที่ลูกค้าซื้อไปเท่ากับ 25 - 30 สตางค์ เมื่อก่อน 1 เมตรจะอยู่ที่ 50 – 80 สตางค์ต่อ 1 เมตร ที่เด่นคือ ใช้เม็ดพลาสติกเม็ดใหม่ เมื่อเกษตรกรตัดผลไม้แล้ว เชือกฟางที่ไม่ใช้แล้ว สามารถนำกลับมาที่โรงงาน ทางเราจะรับซื้อกลับมาเพื่อหลอมใหม่ โดยหลายนวัตกรรมสร้างสรรค์ออกมาเพื่อใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่ามากขึ้น ส่งผลกระทบกับธรรมชาติให้น้อยลง ซึ่งเราดำเนินการ กระบวนกาผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ถือเป็นหนึ่งนวัตกรรมที่ทำให้เชือกนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีราคาไม่แพงและทนทานกว่าที่มีอยู่ในท้องตลาดทั่วไป เป็นความแตกต่างที่คุ้มค่าสำหรับคนไทย ที่สำคัญเป็นสินค้าแบรนด์ไทยที่ผลิตโดยคนไทยเพื่อคนไทย 




นายวสุโรจน์ พรสกุลไพศาล รองประธานกรรมการ สยามโกลเด้นเซลส์ แอนด์ เซอร์วิส  เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจของ สยามโกลเด้น ฯ  เป็นบริษัทในเครือ โกลเด้นกรุ๊ป มีธุรกิจ 3 อย่าง


1. ตัวแทนนำเข้าเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์ จากประเทศจีนและไต้หวัน

2 เซอร์วิสโพรไวเดอร์ ( ผู้ให้บริการ ) แนะนำโซลูชั่น โพรดักส์ แพคเกจจิ้งหรือบรรจุภัณฑ์ วัสดุที่ใช้สำหรับห่อหุ้มสินค้าเพื่อป้องกันความเสียหาย รักษาคุณภาพและอำนวยความสะดวกในการขนส่ง เครื่องจักรสำหรับบรรจุภัณฑ์สำหรับลูกค้า ตั้งแต่ธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีความต้องการและพัฒนาอย่างไรให้เข้าอยู่ในบรรจุภัณฑ์ รวมไปถึงอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ 

3 ผู้ผลิตวัสดุสิ้นเปลือง  ที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์ เช่นสายรัดพีอีที่ใช้ในการรัดขนส่งและปัจจุบันมีเชือกเกษตร
ใช้ในการเกษตรเช่น เชือกโยงทุเรียน เชือกเกษตรทำหน้าที่ในการปกป้องผลผลิตไม่ให้เสียหาย นอกเหนือจากการให้บริการแก่กลุ่มผู้ประกอบการเป็นหลัก ยังยึดแนวคิด Consumer Centricity โดยการคำนึงถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ 

นายวสุโรจน์ พรสกุลไพศาล รองประธานกรรมการ สยามโกลเด้นเซลส์ แอนด์ เซอร์วิส 




นายวสุโรจน์ กล่าวต่อว่า  ในส่วนแรกด้าน เครื่องจักร  อาทิเช่นเมื่อเรามีสินค้าตัวหนึ่งออกมา ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ แต่บริษัทฯ ทำหน้าที่เป็นคู่คิดตอบโจทย์ลูกค้าด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร โดยได้มีการออกแบบพัฒนาบรรจุภัณฑ์และบริการที่หลากหลายเพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าอีกกด้วยธูรกิจหลัก และตลาดของเราจะมีสองกลุ่ม ถ้าเป็นตลาดกลุ่มใหญ่ จะเป็นโรงงานขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ เช่น โรงงานขนาดใหญ่ก็มีโอกาสได้ให้บริการกับซีพี อภิวัน น้ำยาปรับผ้านุ่ม กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์หรือโรงงานแปรรูปอาหารทะเล หรือโรงงานทำสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ OTOP ทำโรงสีข้าว ค่อนข้างหลากหลายเพราะธุรกิจทุกอย่างแม้กระทั่งร้านค้า ร้านอาหาร หรือหน้าร้าน จะต้องมีการใช้บรรจุภัณฑ์ ซึ่งเมื่อมีการใช้บรรจุภัณฑ์เข้ามาเกี่ยวก็ช่วยเราหลายๆอย่าง หนึ่งเลยคือเรื่องความสะอาด เรื่องการเก็บรักษาก็ช่วยได้ หรือโรงงานอุตสาหกรรมก็บรรจุเพื่อขนส่ง  ซึ่งหากท่านใดสนใจไม่ต้องกลัว เราวางเครื่องจักรในส่วนของการให้คำปรึกษา ตั้งแต่ต้นจนจบ” 





นอกจากนี้ยังให้บริการด้านโซลูชันบรรจุภัณฑ์ เพื่อช่วยให้คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ และ ล่าสุดบริษัทฯ ได้ผลิต เชือกโยงการเกษตรคุณภาพดี เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมลงตลาดเป็นเจ้าแรกของไทย
จากมุมมองทางธุรกิจที่เห็นถึงความต้องการของเกษตรกรระดับรากหญ้าของไทยและการเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

นายวสุโรจน์ กล่าวเสริมศักยภาพของเชือกทองคำ ด้วยเหตุผลที่ ว่าด้วยลักษณะการใช้งานไม่แตกต่างกัน  ความแข็งแรงไม่เหมือนกัน ต้องแยกดูเรื่องสูตรในการผลิต ปัจจุบันคนค่อนข้างแอนตี้พลาสติก ต้องบอกว่าพลาสติกไม่เชิงว่าเป็นผู้ร้ายเสียทีเดียว ขึ้นอยู่กับการจัดการมากกว่า 

การดำเนินธุรกิจของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเครื่องจักร หรือในส่วนของการผลิตสินค้าพลาสติก จะเห็นได้จากนวัตกรรมจะคำนึงถึง Bio - Circulation - Green Industry  มีการทำ circulate ของผลิตภัณฑ์ภายในโรงงาน รวมถึงเมื่อเราส่งสินค้าให้ลูกค้าแล้ว มีการรับซื้อกลับมา นอกจากเรามีโรงงานผลิต เรามีโรงหลอมด้วย ของที่ส่งกลับมาสามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นผลิตภัณฑ์ปรับปรุงขึ้นมาได้ เป็นงานรีไซเคิลร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อลดมลภาวะเป็นพลังงานสะอาด ตอนนี้ที่โรงงานในการผลิตใช้ไฟฟ้าเยอะมาก เราก็ใช้โซลาเซลส์ด้วย 


นายวสุโรจน์ ทายาท สยามโกลเด้นฯ กล่าวต่อว่า “จริง ๆ ถ้าสนใจ ไม่ต้องกลัว จะเป็น SME สามารถติดต่อสอบถามเข้ามาได้ เรายินดีให้คำแนะนำให้คำปรึกษา เพราะที่นี่มีเครื่องจักรในหลากรูปแบบ เช่น ระบบบรรจุภัณฑ์อัตโนมัติในสายการผลิต เช่นเครื่องบรรจุซองแนวนอนอัตโนมัติ ที่เหมาะสำหรับบรรจุสินค้าที่เป็นชิ้น รูปทรงกลม สี่เหลี่ยม วงรี ใส่กล่องหรือถาด เช่นขนมปังกรอบ เบเกอรี่ เป็นต้น 

เรียกได้ว่า เครื่องบรรจุซองแนวตั้งอัตโนมัติ เครื่องรัดสายพลาสติกเครื่องรัดอัตโนมัติใช้กับสายรัดพลาสติกชนิด PP หรือ PET เครื่องรัดกึ่งอัตโนมัติ เครื่องพันฟิล์มพาเลท/เครื่องรัดพาเลท เครื่องจัดเรียงสินค้าบนพาเลท เครื่องปิดเทปกาวโอพีพี เครื่องขึ้นรูปกล่อง เครื่องแพ็คซีลสูญญากาศ ใช้สำหรับแพ็คสินค้าประเภทอาหาร อุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ อะไหล่รถยนต์ เครื่องติดฉลากสติกเกอร์ เครื่องซีลปิดปากถุงพลาสติก และยังมีสินค้าที่เหมาะกับในหลากหลายผลิตภัณฑ์ เครื่องอัตโนมัติขนาดเริ่มต้นก็ได้ ใช้คนกรอกก็ได้ เครื่องอัตโนมัติเริ่มต้นราคาหลักหมื่น ไปจนถึงหลักล้าน ซึ่งตรงนี้สามารถคุยกันได้


บริษัท สยามโกลเด้น เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.siamgoldengroup.com
E-mail  siamgolden@siamgoldengroup.com
Line ID : @goldenpack

โทรศัพท์: 02 878 1371-5, 02 878 0342-3
โทรสาร: 02 476 8802

07 กรกฎาคม 2568

สหฟาร์ม เดินหน้ายกระดับสู่ความยั่งยืน ขับเคลื่อนโครงการ GO Green

สหฟาร์ม เดินหน้ายกระดับสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ติดตั้งโซลาร์เซลล์ร่วม WHAUP พร้อมทดสอบระบบ EV หนุนองค์กรก้าวสู่อนาคตพลังงานสะอาด โชว์แผนลดต้นทุนพลังงานจาก 260 ล้านบาทต่อเดือน เผยแนวคิดสอดคล้องวิสัยทัศน์ผู้นำ “เติบโตเคียงคู่สิ่งแวดล้อม”

บริษัท สหฟาร์ม จำกัด ผู้นำการผลิตและส่งออกไก่ครบวงจรอันดับ 1 ของประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “การเติบโตที่ยั่งยืนควบคู่สิ่งแวดล้อมและชุมชน” ด้วยการเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ GO Green อย่างเป็นรูปธรรม โดยร่วมมือกับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) – WHAUP ผู้นำด้านโซลูชันพลังงานครบวงจร ในการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์จำนวน 14 โครงการทั่วทั้งเครือข่ายโรงงานและฟาร์มของสหฟาร์ม



ดร. จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ ประธานสายบัญชีและการเงิน และเลขานุการคณะกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด เปิดเผยว่า “การติดตั้งโซลาร์เซลล์ร่วมกับ WHAUP ไม่ใช่เพียงการลดต้นทุนพลังงาน แต่เป็นก้าวยุทธศาสตร์ขององค์กร ในการปักหมุดสู่อนาคตที่ยั่งยืน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อชุมชน โครงการนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของผู้นำรุ่นใหม่ ที่มองว่าองค์กรในวันนี้ต้องไม่เพียงแค่สร้างกำไร แต่ต้องสร้างคุณค่าให้กับโลกใบนี้ในระยะยาว”

“การจับมือ WHAUP เป็นพันธมิตรในโครงการ GO Green ครั้งนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นของสหฟาร์มในมาตรฐานระดับสากลขององค์กรพันธมิตร โดยทั้งสองบริษัทต่างมีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันพลังงานสะอาดให้เป็นกลไกสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง” ดร.จารุวรรณ กล่าว


โครงการโซลาร์พลังงานสะอาดเฟสแรกของสหฟาร์ม ได้ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 9 โครงการจากทั้งหมด 14 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 46,473.59 กิโลวัตต์พีก (kWp) ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์กว่า 67,000 แผง คาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้กว่า 46.8 ล้านหน่วยต่อปี ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงกว่า 35,089 ตัน/ปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ถึง 1.9 ล้านต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเฟส 2 ขนาด 6 เมกะวัตต์ พร้อมแผนการขยายเฟส 3 ต่อเนื่อง

ปัจจุบัน สหฟาร์มมีค่าไฟฟ้าเฉลี่ยสูงถึง 260 ล้านบาทต่อเดือน โครงการนี้ช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ราว 30% คิดเป็นเงินประหยัดมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าจะประหยัดรวมได้ถึง 1,600 ล้านบาทภายใน 14 ปี ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจด้านพลังงานสะอาดในอนาคต

ในขณะเดียวกัน สหฟาร์มและบริษัทในเครือ โกลเด้น ไลน์ บิสซิเนส จำกัด (GLB) ยังได้ขยายขอบเขตของโครงการ GO Green ไปยังมิติอื่น ๆ อย่างครอบคลุม เช่น การวางระบบบำบัดน้ำเสียที่ทันสมัยบนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ เพื่อให้น้ำที่ปล่อยกลับสู่ธรรมชาติไม่มีผลกระทบต่อแหล่งน้ำในชุมชน การปลูกต้นไม้เป็นแนวกันชนรอบโรงงานกว่า 1 ล้านต้น เพื่อเพิ่มออกซิเจนในอากาศ ลดเสียง ฝุ่น และความร้อน รวมถึงการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในด้านพลังงานทดแทนอื่นๆ สหฟาร์มยังศึกษาการใช้ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวมวล (Biomass) มาทดแทนเชื้อเพลิงถ่านหินในระบบ Hot Oil Boiler ของโรงงานแปรรูป พร้อมทั้งริเริ่มทดลองใช้ รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV) แทนรถดีเซล โดยหากผลการทดลองประสบความสำเร็จ องค์กรมีแผนทยอยเปลี่ยนรถในระบบโลจิสติกส์กว่า 50 คันให้เป็น EV ภายในปี 2569

“โครงการ GO Green คือหัวใจของการเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนของสหฟาร์ม เราไม่ได้เพียงมุ่งเน้นผลประกอบการ แต่ต้องการเป็นองค์กรต้นแบบที่สามารถส่งมอบคุณค่าทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน” ดร. จารุวรรณ กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ พิธีส่งมอบพลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นทางการจากโครงการโซลาร์เซลล์ จะจัดขึ้นในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ณ โรงงานแปรรูปของสหฟาร์ม จ.เพชรบูรณ์ และ จ.ลพบุรี โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสหฟาร์มและ WHAUP เข้าร่วม เพื่อร่วมประกาศจุดยืนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารไทย ในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และเป็นต้นแบบของธุรกิจที่เติบโตควบคู่กับการดูแลโลกใบนี้อย่างแท้จริง

02 มิถุนายน 2568

‘พังงา’ จุดกระแสกีฬาโต้คลื่นไทย ชูความสำเร็จงานแข่งขันเซิร์ฟ “Khaolak Grom Patrol 2025”

เขาหลัก พังงา – [2 มิถุนายน 3568] สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพังงา ผนึกกลุ่มชุมชนโต้คลื่นในเขาหลัก และองค์กรโต้คลื่นนานาชาติ Asian Surf Co บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ประกาศความสำเร็จการจัดงาน Khaolak Grom Patrol 2025 การแข่งขันกีฬาโต้คลื่นเยาวชน ณ หาดปะการัง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา รวมตัวนักเซิร์ฟรุ่นใหม่จาก 10 ประเทศทั่วโลก ลุยแมตช์สุดท้าทายบนผืนท้องทะเลภาคใต้ พร้อมยกระดับเวทีการแข่งขันโต้คลื่นเยาวชนไทยสู่ระดับนานาชาติ รวมถึงปักหมุด “เขาหลัก” ให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอีเวนต์กีฬาโต้คลื่นมาตรฐานโลก

จบลงอย่างสวยงามกับงาน Khaolak Grom Patrol 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 - 31 พฤษภาคม 2568 ณ หาดปะการัง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ภายใต้แนวคิด “Surf with Respect – Compete with Heart” ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีที่พิเศษมากกว่าที่เคย โดยได้จับมือร่วมการแข่งขันกับองค์กรโต้คลื่นระดับนานาชาติอย่าง Asian Surf Co บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และมีนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันจาก 10 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ มาเลเซียและอีกหลายประเทศ

ตลอดสองวันของกิจกรรมเต็มไปด้วยความคึกคัก มีนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ รวมถึงประชาชนท้องถิ่นเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ภายในงานมีกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นแก่ผู้เข้าร่วมงานจากทั่วโลก อาทิ เวิร์กช็อปศิลปะสำหรับเยาวชน นิทรรศการเกี่ยวกับทะเล กิจกรรมเก็บขยะบริเวณชายหาด “Beach Clean Together” เพื่อแสดงจุดยืนร่วมกันของชาวโต้คลื่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชั้นนำอย่าง อาร์มแชร์ และ Serious Bacon ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม

ในขณะที่การแข่งขันโต้คลื่นเยาวชนซึ่งเป็นไฮไลต์ของงาน สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมและนักกีฬาอย่างมาก โดยปีนี้มีคลื่นขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ทำให้ทุกแมตช์การแข่งขันเต็มไปด้วยความท้าทาย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความกล้าหาญของนักกีฬาแต่ละคนได้อย่างชัดเจน โดย 3 เยาวชนไทยกวาดแชมป์มาได้ถึง 4 รายการ ได้แก่ เอิง จิราภัทร รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี หญิง (Shortboard), ณัฐกร แซ่เอียว รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ชาย (Shortboard) และ ระมิล อารมณ์ชื่น คว้าแชมป์ 2 รายการ จากรุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ชาย (Shortboard) และ รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ชาย (Longboard)


การจัดงานในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพังงา หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดพังงา รวมถึงกลุ่มชุมชนโต้คลื่นในเขาหลักที่ร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง โดยใช้เวลากว่า 6 เดือนในการเตรียมการ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับเยาวชน นักกีฬา ครอบครัว และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งในด้านการแข่งขัน ความปลอดภัย การสร้างความเข้าใจ และการให้ความเคารพต่อธรรมชาติและชุมชนในท้องถิ่น

ติดตามการกิจกรรมการโต้คลื่นจังหวัดพังงา ได้ทาง
Facebook: https://www.facebook.com/khaolaksurftown

#Khaolakgrompatrol2025 #สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพังงา

22 พฤษภาคม 2568

เอกชน ผนึก บิ๊ก รง.ปุ๋ย จัดให้ "ปุ๋ยพร้อมใช้ แบ่งจ่ายสองรอบ" ช่วยเหลือเกษตรกร


ปุ๋ยพร้อมใช้ แบ่งจ่ายสองรอบ" ช่วยเหลือเกษตรกร  การวาง Concept ฟื้นฟูดิน ลดต้นทุน เพิ่มกำไร ให้เกษตรกร ผ่านระบบการใช้สินค้าแบบแบ่งจ่าย ชูความคุ้มค่าต้นทุนไร่ละ 390 บาท เปิดโอกาสเกษตรกรจ่ายเงินหลังเก็บเกี่ยว พร้อมดึงผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรคอยเป็นพี่เลี้ยงเกษตรกร แนะนำเทคนิคการใช้สินค้าที่ตรงกับพืช และการทำเกษตรที่ถูกต้อง วางเป้าหมายสร้างเกษตรกรใช้ปุ๋ยในโครงการ 100,000 - 200,000 ไร่ต่อเดือน  นายปวัตร วงษ์ชูแก้ว กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮลท์ อินโนเวชั่น โปรดักส์ จำกัด  ในฐานะบริษัทเจ้าของโครงการ ปุ๋ยพร้อมใช้ แบ่งจ่ายสองรอบ เปิดเผยว่า 



การค้าปุ๋ยในลักษณะเงินผ่อน มีการทำกันอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่การให้เกษตรกรซื้อปุ๋ยเงินผ่อนแล้วสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ด้วย และมีพี่เลี้ยงที่เชี่ยวชาญด้านการเกษตรคอยให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรด้วย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่เราจะต้องทำ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรให้กับเกษตรกรในประเทศ "โครงการ ปุ๋ยพร้อมใช้ แบ่งจ่ายสองรอบ สามารถช่วยเกษตรกรได้ 5 เรื่องหลัก ก็คือ 1. เกษตรกรมีโอกาสซื้อสินค้าคุณภาพในราคาที่ต่ำ 2. ทำให้เกษตรกรมีโอกาสในการลดต้นทุนการผลิตได้ดีขึ้น 3. โครงการเปิดโอกาสให้เกษตรกรสามารถจ่ายเงินค่าสินค้า 50% หลังเก็บเกี่ยวได้ และ 4. ช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับปรุงดินในพื้นที่ของตัวเองให้ดีขึ้น เพราะปัจจุบันเราพบว่าดินในการทำเกษตรของบ้านเรากลับแย่ลงทุกวัน จึงส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และข้อสุดท้ายคือ 5. ประโยชน์จากการที่เกษตรกรมีพี่เลี้ยง" 

นายปวัตร กล่าวต่อว่า สำหรับสินค้าที่เรานำเข้ามาร่วมในโครงการครั้งนี้มีทั้งหมด 5 สูตรด้วยกัน ซึ่งทั้ง 5 สูตรนอกจากจะมีสูตรปรับปรุงดินแล้ว อีก 4 สูตร ยังให้ธาตุอาหารครบทั้งธาตุหลัก ธาตุรอง และธาตุเสริม ครบตามที่พืชต้องการอีกด้วย

"ทั้ง 5 สูตรนี้ เกษตรกรสามารถนำไปใช้ได้ตั้งแต่ช่วงการปรับปรุงดิน, ช่วงพืชปลูกใหม่หรือช่วงบำรุงพืชหลังเก็บเกี่ยว, ช่วงเร่งการแตกตาแตกดอกของพืช และ ช่วงบำรุงผลผลิตก่อนเก็บเกี่ยวโดยที่เกษตรกรไม่จำเป็นต้องซื้อปุ๋ยชนิดอื่นมาเพิ่มเติม"  นายปวัตร กล่าวต่อว่า สินค้า 1 ชุดสามารถนำไปใช้ได้ 10 ไร่ เราจัดจำหน่ายให้เกษตรกรในชุดละ 3,900 บาท ซึ่งต้นทุนจะตกเพียงไร่ละ 390 บาทเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกรโดยรวมได้ไม่ต่ำกว่า 30-50% ส่วนการจัดส่งสินค้าจะเป็นลักษณะการจัดส่งแบบเก็บเงินปลายทาง      

นอกจากนั้น เรายังเปิดโอกาสให้เกษตรกรจ่ายเงินค่าสินค้าก้อนแรกแค่ 50% ส่วนอีก 50% ที่เหลือเราผ่อนผันให้เกษตรกรนำมาจ่ายให้กับเราหลังการเก็บเกี่ยวได้ ในขณะที่การจัดส่งสินค้าจะเป็นลักษณะการจัดส่งแบบเก็บเงินปลายทาง 

ดังนั้น โครงการนี้จึงเป็นโครงการที่ดีและเหมาะสมต่อการแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรในยุคปัจจุบันมากที่สุด  นายปวัตร กล่าวและทิ้งท้ายว่า หลังจากการเปิดตัวโครงการในครั้งนี้ เรามีเป้าหมายการช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้เดือนละ 10,000-20,000 ไร่ต่อเดือน ส่วนเป้าหมายในปีถัดไปนั้น วางเป้าหมายไว้ที่ 100,000-200,000 ไร่ ต่อเดือน 

สาเหตุที่ทำให้เรามั่นใจว่าโครงการนี้จะสามารถเติบโตได้ในระยะยาวมาจากคุณภาพของสินค้าที่เรามั่นใจว่าสามารถตอบสนองความต้องการให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี รวมถึงโครงการของเราสามารถช่วยลดต้นทุนเพิ่มผลกำไรให้กับเกษตรกรได้ ที่สำคัญเรายังมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรคอยเป็นพี่เลี้ยงให้กับเกษตรกรในเรื่องเทคนิคการใส่ปุ๋ย และการทำเกษตรที่ถูกต้อง ผ่านระบบออนไลน์เซอร์วิสของเราที่เกษตรกรสามารถทักเข้ามาขอความรู้ต่างๆได้ โดยที่เราจะมีผู้เชี่ยวชาญทางการเกษตรคอยแก้ปัญหาให้

ดังนั้น นับจากนี้เป็นต้นไปก็อยู่ที่พี่น้องเกษตรกรไทยว่าจะเชื่อมั่นในโครงการของเราและให้โอกาสเราได้นำสินค้าไปให้บริการแก่ท่านมากน้อยขนาดไหน นายปวัตร กล่าว ด้าน นาย กฤษชนก ตัณฑเศรณีวัฒน์ ประธานกลุ่มโรงงานผลิตปุ๋ยเครือ ภาคภูมิ กรุ๊ป ในฐานะโรงงานผลิตสินค้าและผู้ออกแบบสูตร เปิดเผยว่า

กลุ่มโรงงานผลิตปุ๋ยในเครือ ภาคภูมิ กรุ๊ป ของเรา มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนบริษัทเอกชนในการนำโครงการดีๆ อย่างนี้ ออกไปช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ซึ่งถือเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรได้ตรงจุด

นายกฤษชนก กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันโรงงานของเราเปิดดำเนินกิจการมากว่า 27 ปี ถือเป็นโรงงานผลิตปุ๋ยครบวงจรขนาดใหญ่ และเป็นโรงงานส่งวัตถุดิบปุ๋ยให้กับโรงงานปุ๋ยต่างๆ ที่ต้องการ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งโรงงานมีเนื้อที่มากกว่า 800 ไร่ มีกำลังการผลิตประมาณ 5,000 ตันต่อวันในประเภทปุ๋ยเม็ด และมีกำลังผลิตประมาณ 100,000 ขวดต่อวัน ในประเภทปุ๋ยน้ำ ซึ่งเรามั่นใจว่าจะสามารถรองรับการผลิตจากการเติบโตของโครงการนี้ได้เป็นอย่างดี  "สินค้าที่โรงงานผลิตให้ในโครงการนี้ขอให้เกษตรกรทุกคนมั่นใจ นายกฤษชนก กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันโรงงานของเราเปิดดำเนินกิจการมากว่า 27 ปี ถือเป็นโรงงานผลิตปุ๋ยครบวงจรขนาดใหญ่ และเป็นโรงงานส่งวัตถุดิบปุ๋ยให้กับโรงงานปุ๋ยต่างๆ ที่ต้องการ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งโรงงานมีเนื้อที่มากกว่า 800 ไร่ มีกำลังการผลิตประมาณ 5,000 ตันต่อวันในประเภทปุ๋ยเม็ด และมีกำลังผลิตประมาณ 100,000 ขวดต่อวัน ในประเภทปุ๋ยน้ำ ซึ่งเรามั่นใจว่าจะสามารถรองรับการผลิตจากการเติบโตของโครงการนี้ได้เป็นอย่างดี  "สินค้าที่โรงงานผลิตให้ในโครงการนี้ขอให้เกษตรกรทุกคนมั่นใจได้เลยว่าเป็นสินค้าที่ดีและมีคุณภาพ ที่เกษตรกรนำไปใช้แล้วมีความคุ้มค่าอย่างแน่นอน" กฤษชนก กล่าวทิ้งท้าย

    

       

ในขณะที่ นายชวริจณ์ ประสิทธิ์ภูพัน ในฐานนะ ที่ปรึกษาโครงการฯ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ตนในฐานะที่มีประสบการณ์ด้านการตลาดให้กับโรงงานผลิตปุ๋ย และบริษัทเอกชน ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าด้านการเกษตร รวมถึงปัจจุบันยังเป็นวิทยากรให้ความรู้ด้านการเกษตรแก่เกษตรกร มามากกว่า 10 ปี จากประสบการณ์การลงพื้นที่ ได้พบปะกับเกษตรกรทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่ามีปัญหาด้านการเกษตรที่คล้ายคลึงกัน

นายชวริจณ์ กล่าวว่า "ปัญหาหลักในการทำการเกษตรในปัจจุบันมี 5 เรื่องด้วยกันก็คือ 1. ปัญหาเรื่องของคน ที่ขาดวินัย และขาดความรู้ในด้านการทำเกษตรที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการใส่ปุ๋ยที่ถูกต้อง การให้ธาตุอาหารที่ตรงกับความต้องการของพืช 2. ปัญหาของดินพบว่าดินในปัจจุบันมีปัญหาทั้งระบบ โดยเฉพาะความเป็นกรด และการขาดธาตุอาหารในดินที่มีน้อยลงทุกวัน 3. ปัญหาของพืช ซึ่งเกิดความเชื่อมโยงมาจากคน และดิน ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชโดยตรง ทำให้เกษตรกรต้องใส่ปุ๋ยในปริมาณที่มากขึ้น 4. ปัญหาที่เกิดมาจากปุ๋ย อาทิ ปุ๋ยคุณภาพต่ำ, ปุ๋ยแพง, ปุ๋ยปลอม ที่ยังคงสร้างปัญหาให้เกษตรกรในปัจจุบัน และ 5. ปัญหาด้านการตลาด ซึ่งเป็นภาพใหญ่ที่ต้องถูกได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐ พร้อมกับการให้ความรู้ด้านการตลาดให้กับเกษตรกรซึ่งตรงนี้เกษตรกรยังขาดความรู้อยู่อีกมาก



นายชวริจณ์ กล่าวทิังท้ายว่า การที่มีเอกชน และโรงงานผลิตปุ๋ย มาร่วมมือกันสร้างโครงการช่วยเหลือเกษตรกรในแนวแบบนี้ออกมา ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเกษตรกร โดยเฉพาะการช่วยให้เกษตรกรได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ และการช่วยให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนเพิ่มกำไรได้ รวมถึงการเล็งเห็นถึงความสำคัญในการฟื้นฟูสภาพดินในพื้นที่การเกษตรในปัจจุบัน และการสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรมาคอยเป็นพี่เลี้ยงให้กับเกษตรกรอีกทางหนึ่ง ซึ่งตรงนี้หากทำได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรอย่างมาก นายชวริจณ์ กล่าว 

21 ตุลาคม 2567

ชุมชนแม่จริม จังหวัดน่าน ตัวอย่างการบูรณาการทุกมิติ

โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงแม่จริมมีพื้นที่รับผิดชอบทั้งตำบลแม่จริม ครัวเรือนทั้งหมด 587 ครัวเรือน และจำนวนประชากรทั้งหมดจำนวน 2,325 คน ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม พืชหลักได้แก่ ข้าว ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง และเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น และประชากรบางส่วนประกอบอาชีพนอกภาคเกษตรกรรม ได้แก่ หัตถกรรม จักสานหวาย และการทำไม้กวาดดอกหญ้า พื้นที่ทำกินส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เพราะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา และเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออกตอนใต้ 



อย่างไรก็ตาม “ตำบลแม่จริม” มีการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเป็นระบบ ราษฎรรวมกลุ่มขออนุญาตทำกินในพื้นที่ป่าสงวนตามมาตร 19 ของกรมป่าไม้ ปัจจุบันทำให้เกษตรกรในพื้นที่ตำบลแม่จริม สามารถทำกินได้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ยังมีปัญหาความยากจนอยู่เพราะทำเกษตรไม่ถูกต้องไม่ตอบโจทย์ มีการใช้พื้นที่มากในการปลูกข้าวโพดทำให้เกิดปัญหาหมอกควัน และใช้สารเคมี และรายได้ไม่เพียงพอ มีปัญหาหนี้สินสะสม 

ต่อมาสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาเรื่องปากท้องตำบลแม่จริมอย่างบูรณาการ ทั้งกำหนดแผนการพัฒนาชุมชน และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วย และกำหนดแผนที่ดินรายแปลงพัฒนาทั้งชุมชน มีการส่งเสริมปลูกพืชผักและไม้ผล ลดพื้นที่การปลูกข้าวโพด และปัญหาหมอกควัน

นายมนัส กุณนา หัวหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงแม่จริม สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) กล่าวว่า การพัฒนาตำบลแม่จริม มีการใช้แผนที่ดินรายแปลงเป็นตัวขับเคลื่อนชุมชน และหาส่วนร่วมการทำงานของคนในพื้นที่ทำให้การวางแผนในการแก้ปัญหาที่เป็นระบบ กรมป่าไม้อนุญาตให้มีการพัฒนาพื้นที่ได้ถูกต้องบนพื้นที่ป่าสงวน ตามกฎหมายมาตร 19 โดยอยู่ภายใต้การส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกพืชผลไม้ยืนต้นในแนวทางขององค์ความรู้โครงการหลวง ทำให้เกิดการแก้ปัญหาในทุกมิติ สามารถแก้ปัญหาเรื่องปากท้อง เพิ่มรายได้ปลดเปลื้องหนี้สินให้ลดน้อยลง มีรายได้จากการประกอบอาชีพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีผักปลอดภัยบริโภคในชุมชน 

ทำให้วันนี้ชุมชนตำบลแม่จริม เป็นชุมชนที่อยู่เย็นเป็นสุข ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นพ้นขีดความยากจน ต่อยอดการทำการเกษตรตามแนวของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน มีการรณรงค์ให้ปลูกป่า เพิ่มพื้นที่สีเขียวขึ้นมากกว่า 7,890 ไร่ ตามแผนของชุมชนตำบลแม่จริม ที่จะก้าวไปสู่การขายคาร์บอนเครดิตในอนาคตและเป็นแหล่งเรียนรู้ในการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนตามแนวทางของ SDGs ต่อไป 

นายสายันต์ ไฟด้วง ผู้นำเกษตรกรบ้านตอง กล่าวว่า  เกษตรกรในตำบลแม่จริมดั้งเดิมมีอาชีพหลักคือปลูกข้าวโพด ทำไร่เลื่อนลอย มีส่วนทำให้เกิดปัญหาไฟป่าซ้ำซาก และปัญหาหมอกควัน น้ำไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตร และมีหนี้สินสะสม ต่อมาสวพส. ได้เข้ามาส่งเสริมและพัฒนาพื้นที่ทั้งระดับชุมชนและอำเภอ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  มีการเพิ่มฝายชุมชน ทำระบบป่าไผ่ เพิ่มระบบนิเวศในพื้นที่ต้นน้ำได้ภายใน 5 ปี

ปัจจุบันเกษตรในพื้นที่มีสิทธิ์ทำกินในพื้นที่อย่างถูกต้องและชัดเจน ชุมชนสามารถรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ต่อยอดการตลาดและการมีรายได้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีสมาชิก 178 ราย มีเงินทุนหมุนเวียนกว่า 1.3 ล้านบาท และยกระดับตำบลแม่จริมเป็นตำบลต้นแบบ ของการพัฒนาพื้นที่สูงที่ประสบผลสำเร็จในการแก้ไขปัญหาความยากจน บนพื้นที่สูง ในทุกมิติด้วยการบูรณาการนับเป็นชุมชนต้นแบบ ตามโจทย์การพัฒนาพื้นที่สูง  คนอยู่ได้ ป่าอยู่ได้