เที่ยวทั่วไทย อร่อยทั่วโลก อัพเดทข่าวรายวัน Lifestyle บันเทิง ทันทุกกระแสข่าว!

25 มีนาคม 2568

“ไอโมด พลัส” ขึ้นแท่นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตเครื่องประดับ

กวาดรายได้กว่า 70 ล้าน ในปีที่ผ่านมา พร้อมตั้งเป้า 120 ล้าน ในปี 2568


บริษัท ไอโมด พลัส จำกัด ผู้จำหน่ายและให้บริการเครื่องจักรในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ ประกาศความสำเร็จในการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ในปี 2567 กวาดรายได้กว่า 70 ล้าน พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี AI เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเครื่องประดับ พร้อมตั้งเป้ารายได้ที่ 120 ล้านในปี 2568 โดยใช้กลยุทธ์“ให้บริการอย่างจริงใจ ยึดมั่นความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง”

นางสาวรุ่งอรุณ  สุวรรณชาโต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอโมด พลัส จำกัด ได้กล่าวว่า บริษัท เริ่มต้นธุรกิจในปี 2550 โดยการให้บริการรับยิงเลเซอร์บนโลหะ โดยในปีแรกที่เริ่มต้นธุรกิจ บริษัทประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่หลังจากนั้นมีคู่แข่งเข้ามาในตลาดทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ทางบริษัทจึงตัดสินเปลี่ยนแนวธุรกิจจากงานบริการ เป็นจำหน่ายเครื่องจักร โดยมุ่งเน้นการเป็นผู้ให้บริการที่สามารถนำเสนอการใช้เครื่องจักรในกระบวนการผลิตเครื่องประดับได้อย่างครบวงจร

 


นางสาวรุ่งอรุณ สุวรรณชาโต กล่าวต่อว่า ในปี 2553 บริษัทเริ่มเข้าสู่การจำหน่ายเครื่องจักรและพัฒนาแนวทางการขายใหม่ โดยเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาเครื่องจักรให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย ปัจจุบัน บริษัท ไอโมด พลัส มีลูกค้าหลักเป็นบริษัทเครื่องประดับและสถาบันการศึกษา  สัดส่วนไทย 90% ต่างประเทศ 10% ภาพรวมธุรกิจของบริษัทเติบโตเฉลี่ยปีละ 5-10% แต่ในปี 2567 บริษัทเติบโตสูงขึ้นถึง 40% โดยมียอดรายได้กว่า 70 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2568 ที่ 120 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัท ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางด้านเครื่องจักรของอุตสาหกรรมเครื่องประดับในภูมิภาคเอเชีย ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI ช่วยให้การผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด และลดการใช้แรงงาน โดยเฉพาะในการควบคุมคุณภาพ

ในด้านการทำตลาด บริษัทได้ใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, TikTok และ Line  เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า แต่การขายยังเน้นแบบออฟไลน์ เนื่องจากความเป็นนวัตกรรม จึงจำเป็นต้องเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า โดยบริษัทมีแผนการออกงานแสดงสินค้า ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย เช่น กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย พม่า และเวียดนาม ซึ่งในปีนี้เราได้เข้าร่วมงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2025 (JGAB) งานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับแห่งภูมิภาคอาเซียน ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 23-26 เมษายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 


โดยการเข้าร่วมงานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้พบปะและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจกับพันธมิตรใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงนำเสนอสินค้าคุณภาพระดับโลกให้กับผู้ซื้อ นักลงทุน และผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เราคาดหวังว่างาน JGAB 2025 จะเป็นเวทีที่ช่วยส่งเสริมศักยภาพของ ประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับในระดับสากล เราพร้อมนำเสนอนวัตกรรมการออกแบบ เทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำสมัย และมาตรฐานคุณภาพระดับสูง เพื่อช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอัญมณีไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก และเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทย ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาคอาเซียน

เพลงไท อดีตสมาชิก PrimeTime ชิมลางซีรีส์วายครั้งแรก

“Moonlit Starlight คืนดาวพราว  จันทร์”

เพลงไท(ไม่มี ย ยักษ์ ) อดีตสมาชิกวง PrimeTime และหนึ่งใน SuperThai จากรายการ Chuang S2 พลิกบทบาทใหม่ ชิมลางซีรีส์ครั้งแรก ในเรื่อง “Moonlit Starlight คืนดาวพราวจันทร์”จากค่ายน้องใหม่ อัลแทร์ เอนเทอร์เทนเมนท์

เพลงไท อดีตสมาชิกวง PrimeTime หลังจากที่หมดสัญญาจากทางค่าย 54 Entertainment แล้ว ได้เข้าร่วม Survival กับรายการสุดฮิตอย่าง Chuang S2 โดยเป็นหนึ่งในทีม SuperThai ที่สร้างปรากฏการณ์กระแสฟีเวอร์เด็กไทยสุดฮอทในทันทีที่โชว์แรกสู่สายตาผู้ชม เพลงไทได้มีโอกาสทางด้านการแสดงทักทายเข้ามา  ให้ลองไปออดิชั่นบทซีรีส์กับค่ายน้องใหม่ที่น่าสนใจ  เพลงไทจึงไม่รอช้า ไปออดิชั่น บทที่คิดว่าตรงกับตัวเอง และได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักแสดงในซีรีส์เรื่อง “Moonlit Starlight คืนดาวพราจันทร์” ในบท
จเด็จ ผู้จัดการนักแสดงมือทอง ผู้พร้อมรับมือทุกวิกฤต คาแร็คเตอร์ หล่อ ดูดี เจ้าระเบียบ Perfectionist ใช้ชีวิตตึงเปรี๊ยะ ช่างเจรจาต่อรอง พูดตรง รู้จักอ่านเกมในวงการ

เพลงไท ได้ให้สัมภาษณ์ว่า  “จริงๆ แล้ว ซีรีส์วายเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมคิดไว้เลยครับว่าจะแสดง เพราะความที่เราตามฝันในเรื่องของการเป็นศิลปินมาโดยตลอด จึงทำให้ไม่เคยคิดที่จะไปแนวนี้เลย แต่ซีรีส์เรื่องนี้ 
มันรู้สึกท้าทายเหมือนกันครับว่า เราน่าจะลองเล่นดู เพราะเราก็เป็นเด็กจบการแสดง มศว ต้องเล่นได้ทุกบทบาท เลยมาลองชิมลางเรื่องนี้ดู ก็อยากให้แฟนคลับตอบรับความเป็นนักแสดงของผมในเรื่องนี้ รวมทั้งเป็นกำลังใจให้ผมได้ลองรับบทในซีรีส์วายครั้งแรกนี้ด้วย  ส่วนในเรื่องงานเพลง รับรองได้เลยครับว่าผมยังจะทำต่อไปอย่างแน่นอน ซึ่งผมเชื่อว่าทุกผลงานของผม จะตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพื่อแฟนคลับที่รักและติดตามงานผมมาโดยตลอดครับ 

เกี่ยวกับเพลงไท นิยมไทย
อดีตสมาชิกวง Primetime ในตำแหน่ง Leader และ Main Dance จากค่ายเพลง 54 Entertainment และหนึ่งในทีม SuperThai จาก Shuang S2 เคยผ่านงานแสดงต่างๆ มามากมายทั้งบทพระเอกละครเวทีเรื่อง”The Little Tigers For Korea พยัคฆ์น้อยพอร์คชอป หรือข้ามเวลาตามหาเมน” ละครเวทีเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-เกาหลี  ซึ่งได้มีโอกาสไปแสดงถึงประเทศเกาหลีมาแล้ว อีกทั้งยังเคยเป็นนักแสดงเด็กจากละครเวที”บัลลังก์เมฆเดอะมิวสิคัล” ในบทปรก ปกรณ์และปานชนกเมื่อปี 50 และเป็นนักแสดงสมทบในละครเวทีเรื่องเดียวกันในเวอร์ชั่นล่าสุดในปี 62 อีกด้วย เคยรับบทต้นกล้า นักแสดงเด็กจากละครทีวีเรื่อง”บ่วงรักกามเทพ”  เคยแสดงภาพยนตร์เรื่อง”โคตรสู้โคตรโส”


นอกจากนี้ ยังเป็นนักเต้นสไตล์ Hip Hop ที่ชนะเลิศการแข่งขันมาหลายเวที รวมทั้งเคยเป็นตัวแทนทีมไทยไปแข่งขัน World Hip Hop Dance Championship ที่อเมริกามาแล้ว เพลงไทเคยเป็น Dancer ให้กับแจ็คสัน หวังเมื่อครั้งมาแสดงคอนเสิร์ตในไทย และเป็น Dancer ให้กับศิลปินอีกมากมาย รวมทั้งพีพีกฤษฎ์ ทรินิตี้ ฯลฯ อีกด้วย


เกี่ยวกับซีรีส์  “Moonlit Starlight คืนดาวพราวจันทร์”ใช่เพียงซีรีส์วายที่นำเสนอแค่เรื่องราวและมุมมองของความรัก แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของความจริงในวงการบันเทิง มิตรภาพที่แท้จริง และการต่อสู้เพื่อความฝันที่ไม่เคยหลับใหล  เป็นซีรีส์ที่ไม่เพียงแต่จะนำพาผู้ชมเข้าสู่โลกของการเป็นศิลปินนักแสดง แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดัน ความขัดแย้ง และความงดงามของการได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงท่ามกลางสปอตไลท์ที่สาดส่อง

เกี่ยวกับ อัลแทร์ เอนเทอร์เทนเมนท์ จำกัด ( ALTAIR ENTERTAINMENT CO., LTD. )
“ค่ายอัลแทร์” ศูนย์กลางครบวงจรสำหรับงานสร้างสรรค์ด้านบันเทิง ประกอบด้วย  สตูดิโอผลิตซีรีส์ โรงเรียนพัฒนาศักยภาพศิลปิน ค่ายบริหารจัดการนักแสดง ค่ายเพลง และโครงการอื่นๆ ในอนาคต พร้อมนำเสนอเนื้อหาที่หลากหลายด้วยมาตรฐานคุณภาพสูงสุด 


ช่องทางประชาสัมพันธ์ข่าวสารออนไลน์

IG: @ALTAIROFFICIALTH
TikTok: @ALTAIROFFICIALTH
X: @ALTAIRENT_TH

สายสีแดง เผยผลสำรวจความพึงพอใจครึ่งปีแรก

สายสีแดง เผยผลสำรวจความพึงพอใจครึ่งปีแรก ผู้โดยสารเชื่อมั่นคุณภาพการบริการและมาตรฐานด้านความปลอดภัย

รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เปิดเผยผลสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568  สะท้อนถึงความเชื่อมั่น ความพึงพอใจในคุณภาพการให้บริการ และมาตรฐานด้านความปลอดภัย 

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เปิดเผยว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความคิดเห็นของผู้ใช้บริการทุกท่าน เพราะถือเป็นข้อมูลสำคัญในการนำมาปรับปรุงพัฒนาการให้บริการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนให้ได้มากที่สุด ซึ่งจากการสำรวจความพึงพอใจในครั้งนี้ จัดทำขึ้นโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญ ได้ทำการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้บริการในทุกสถานี ผลปรากฏว่า ผู้โดยสารมีระดับความพึงพอใจในด้านต่างๆ จากคะแนนเต็ม 5 ดังนี้

1. ความพึงพอใจโดยรวมด้านการให้บริการ 4.52

2. ด้านความปลอดภัยของระบบรถไฟฟ้า 4.54 สะท้อนถึงมาตรฐานการดูแลและระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด

3. ด้านความน่าเชื่อถือต่อความตรงต่อเวลา ความถี่ และคุณภาพในการเดินรถไฟฟ้า 4.50 ตอกย้ำความน่าเชื่อถือของระบบรถไฟฟ้าสายสีแดงที่ให้บริการเดินรถตามตารางเวลาอย่างเคร่งครัด

4. ด้านการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูล 4.47 ซึ่งสะท้อนถึงความชัดเจนของข้อมูลเส้นทาง การเดินรถ และบริการต่างๆ

5. ด้านคุณภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกบนสถานีและในขบวนรถ 4.41 แสดงถึงการออกแบบสถานีและขบวนรถที่รองรับการใช้งานของผู้โดยสารทุกกลุ่ม

6. ด้านเหรียญโดยสาร/บัตรโดยสาร และกิจกรรมส่งเสริมการตลาด 4.46 

ซึ่งจากผลสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้โดยสารมีความเชื่อมั่นต่อการให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเป็นอย่างมาก ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯได้พัฒนาและยกระดับการให้บริการที่สำคัญหลายด้าน ทั้งด้านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ด้านความปลอดภัย และด้านคุณภาพการให้บริการ โดยผลสำรวจในครึ่งปีแรกนี้ สะท้อนถึงความก้าวหน้าในทิศทางที่ดี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้บริการไว้วางใจรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ซึ่งนอกจากผลสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแล้ว บริษัทฯ ยังมีแผนการพัฒนาเพื่ออนาคต ในการเพิ่มความสะดวกแก่ผู้โดยสาร ด้วยการเดินหน้าพัฒนาการเดินทางเชื่อมต่อด้วยระบบ Feeder เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงสถานีได้อย่างสะดวก รวมถึงพัฒนาการให้บริการในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายสูงสุด

บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้ใช้บริการทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงด้วยดีเสมอมา และเราขอสัญญาว่าจะไม่หยุดพัฒนา เพื่อให้ผู้ใช้บริการ

21 มีนาคม 2568

KEY THE ENERGY TRANSITION EXPO


เมื่อวันที่ 4-7 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมางาน  KEY THE ENERGY TRANSITION EXPO ปีนี้ จัดขึ้นที่ RIMINI FIERA เมือง RIMINI ประเทศ ITALY โดยทีมบริหารงานของ ITALIAN EXHIBITION GROUP SpA ให้การต้อนรับทีมบริหาร บริษัท SKY GREEN จากประเทศไทย



นำทีมโดย  ดร.ปราชญ์​วลี​ อิทธิ​สวัสดิ์​ CEO และ ดร.ธีรพล  วินิจวัฒนโกมล MANAGING DIRECTOR บรรยากาศชื่นมื่นเต็มไปด้วยมิตรภาพที่อบอุ่น งานจัดขึ้นในปีนี้  มีประเทศที่เข้าร่วมงานทั้งหมดมากกว่า 50 ประเทศทั่วทุกภูมิภาค

สำนักงานสลากฯ สานต่อ สลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชนปี 7 เสริมแกร่งชุมชน ร่วมพัฒนาอย่างยั่งยืน


เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 เวลา 14.00 น. สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (GLO) โดย พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากสำนักงานสลากฯ ทีมที่ปรึกษาซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาชุมชน และผู้นำชุมชน กลุ่มตัวแทนจากชุมชนที่ได้รับการคัดเลือกทั้ง 10 แห่ง จากทั่วประเทศ ร่วมเปิดตัวโครงการ สลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชนปี 7 ณ OROSE Food & Beverage จังหวัดนนทบุรี

พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า โครงการสลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชนได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันในปี 2568 ได้ขับเคลื่อนเข้าสู่ปีที่ 7 เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์อย่างแท้จริงของสำนักงานฯ ในการดำเนินการตามวิสัยทัศน์การเป็น “องค์กรที่มุ่งเน้นนวัตกรรม ส่งเสริมเศรษฐกิจ สังคมให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน” ด้วยการสนับสนุนโครงการที่สามารถยกระดับ สร้างคุณค่า ส่งเสริมอาชีพ และเชื่อมต่อภูมิปัญญาท้องถิ่นจากรุ่นสู่รุ่นให้กับชุมชน สู่การสร้างรายได้และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจชุมชนและเศรษฐกิจของประเทศต่อไป





สำหรับโครงการสลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชนปี 7 ยังคงดำเนินการผ่านแนวคิดในการขับเคลื่อนด้านการพัฒนา การบริหารจัดการชุมชน ด้านผลิตภัณฑ์ชุมชน และบริการชุมชนที่มีเอกลักษณ์ของภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้มีสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตที่เอื้อต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยว ตลอดจนในปีนี้ยังได้ให้ความสำคัญในการสนับสนุนด้านการพัฒนา “Soft Power” ให้ชุมชนสามารถใช้จุดแข็งของตนเอง เช่น อาหารพื้นบ้าน ศิลปหัตถกรรม และแหล่งท่องเที่ยว มาพัฒนาต่อยอด ผ่านการสนับสนุนองค์ความรู้จากทีมที่ปรึกษาที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาชุมชนในมิติต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นเกิดการหมุนเวียน

“นอกจากภารกิจหลักในการจัดหารายได้ให้แผ่นดินแล้ว สำนักงานฯ ยังมุ่งมั่นให้โครงการสลาก สรรค์สร้างเพื่อชุมชน เป็นอีกหนึ่งภารกิจหลักสำคัญในการนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการดำเนินการมาใช้ดูแลสังคมและชุมชน สนับสนุนชุมชนไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ผ่านโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวก เพราะเชื่อว่าความเข้มแข็งของชุมชนคือรากฐานสำคัญของความมั่นคงของประเทศ” 







ทั้งนี้ ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการสลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชน จะต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 100 คน หรือ ไม่น้อยกว่า 50 หลังคาเรือน และมีพื้นฐานด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรม รวมถึงสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยในปี 2568 ได้รับความสนใจจากชุมชนต้นแบบจากทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมากถึง 26 ชุมชน และคณะกรรมการได้ทำการคัดเลือกชุมชนที่มีศักยภาพในการพัฒนาจำนวน 14 ชุมชน แบ่งเป็น 10 ชุมชนใหม่ และ 4 ชุมชนเดิมจากโครงการสลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชนปี 1-6 เพื่อลงพื้นที่ไปพัฒนาการบริหารจัดการชุมชนอย่างใกล้ชิด โดยทั้ง 10 ชุมชนใหม่ ได้แก่

1. ชุมชนบ้านคลองสอง จังหวัดนนทบุรี
2.วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเกาะลัดอีแท่น จังหวัดนครปฐม
3. วิสาหกิจชุมชนฮักเกษตรคลองลานบ้านเฮา จังหวัดกำแพงเพชร
4. วิสาหกิจชุมชนตลาดหัวปลี จังหวัดสระบุรี
5.ชุมชนถ้ำรงค์ จังหวัดเพชรบุรี
6.วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวชุมชนป่าสักหลวง จังหวัดเชียงราย
7.ศูนย์วัฒนธรรมไทลื้อวัดหย่วน จังหวัดพะเยา
8.วิสาหกิจท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านท่าข้ามควาย จังหวัดสตูล
9.วิสาหกิจชุมชน เกษตรสรรค์สร้าง จังหวัดนครศรีธรรมราช 
10.ชุมชนตำบลดอนนางหงส์ จังหวัดนครพนม 


ชุมชนตำบลดอนนางหงส์ จังหวัดนครพนม และ 4 ชุมชนเดิม ได้แก่
1. ชุมชนไทดำบ้านนาป่าหนาด จ.เลย (โครงการสลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชนปี 5)
2.ท่องเที่ยววิถีชุมชนบ้านเดื่อ จังหวัดหนองคาย (โครงการสลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชนปี 6)
3.ชุมชนบ้านท่าวัดเหนือ จังหวัดสกลนคร (โครงการสลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชนปี 6) 
4.วิสาหกิจชุมชน บ้านตาชายายสาคลองห้าร้อย จังหวัดนนทบุรี (โครงการสลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชนปี 6)

ทั้งนี้ ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการพัฒนาจากทีมที่ปรึกษาของโครงการฯ ทั้ง 4 ด้านประกอบด้วย ด้านการพัฒนาชุมชนด้านกลยุทธ์การตลาด ด้านการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ตลอดจนการจัดแสดงนิทรรศการและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การจัดทำ E-Catalog นำเสนอผลิตภัณฑ์/บริการเด่นของชุมชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่ปี 1-7 และการพัฒนาป้ายสำคัญในชุมชนและเอกสารแนะนำชุมชน รวมถึงการประชาสัมพันธ์ชุมชนให้เป็นที่รู้จักเพื่อเพิ่มรายได้ เช่น การจัดงานแถลงข่าวโครงการฯ การจัดการท่องเที่ยวชุมชน การเผยแพร่ข้อมูลชุมชน 




ผ่านสถานีโทรทัศน์/Youtuber เป็นต้น พร้อมด้วยการจัดทำแผนการยกระดับชุมชนฯ แผนการตลาดออนไลน์และแผนการเชื่อมโยงความสำเร็จเชิงพาณิชย์ให้กับทุกชุมชน  ตลอดระยะเวลาดำเนินโครงการ ตั้งแต่ปี 1-7 มีจำนวนชุมชนที่ได้รับการพัฒนาแล้วทั้งหมด 67 ชุมชน

20 มีนาคม 2568

กรมการท่องเที่ยวปั้นมัคคุเทศก์มือโปร! เสริมทักษะนำชมเมืองน่าเที่ยวหนุนนโยบายรัฐบาล

กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำมัคคุเทศก์กว่า 80 คน พัฒนาทักษะการนำชมแหล่งท่องเที่ยวสระแก้ว สร้างความสนใจนักท่องเที่ยวสู่เมืองน่าเที่ยวทั่วไทยตามนโยบายรัฐบาล

นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า “กรมการท่องเที่ยวได้จัดอบรมทักษะการสื่อสารและการนำชมให้แก่มัคคุเทศก์ รวม 80 คน ระหว่างวันที่ 18 - 19 มีนาคม 2568 ณ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดสระแก้ว เพื่อพัฒนาทักษะการเล่าเรื่อง หรือ Storytelling ให้แก่มัคคุเทศก์ เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว โดยมัคคุเทศก์ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม ปราสาทหินที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกของไทย แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสระแก้ว”




อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กล่าวเพิ่มเติมว่า “การพัฒนาทักษะของมัคคุเทศก์ครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่กรมการท่องเที่ยวมุ่งหวังให้เป็นตัวแทนในการประชาสัมพันธ์ บอกต่อ แนะนำแหล่งท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และกิจกรรมที่น่าสนใจต่างๆ ของจังหวัดสระแก้ว หนึ่งในเมืองน่าเที่ยวของไทย และพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวรู้จักและสนใจท่องเที่ยวในเมืองน่าเที่ยวมากยิ่งขึ้น”

คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค เปิดตัวสัญลักษณ์ Carbon Footprint of Product แบบ Circular Economy (CE CFP)

เปิดตัวสัญลักษณ์ Carbon Footprint of Product แบบ Circular Economy (CE CFP) เจาะเทรนด์รักษ์สิ่งแวดล้อม พร้อมก้าวสู่โลกที่ยั่งยืน พร้อมเผยโฉมผลิตภัณฑ์รักษ์โลกใหม่ภายใต้แบรนด์ Scott และ WypAll

คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล ประเทศไทย ผู้นำนวัตกรรมด้านสุขอนามัยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ร่วมตอกย้ำนโยบายด้านความยั่งยืนด้วยการเปิดตัว สัญลักษณ์ Carbon Footprint of Product แบบ Circular Economy (CE CFP) อย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวในกลุ่มผลิตภัณฑ์กระดาษทิชชู่ในประเทศไทย ที่ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) เป็นเครื่องหมายรับรองความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ช่วยลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ


โดยการเปิดตัวครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้กรอบของงานสัมมนา “Green Life Cycle: Insight Better Care for A Better World” ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจเข้าร่วมรับฟังเสวนา แลกเปลี่ยนแนวคิด และนำเสนอแนวทางการรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ พ.ร.บ. Climate Change และมาตรฐาน G-Green ซึ่งกำลังกลายเป็นแนวโน้มสำคัญที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กรทุกขนาดในปัจจุบัน

นอกจากนี้ คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล ประเทศไทย ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ Scott และ WypAll ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อลดการใช้ทรัพยากร ลดของเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน เพื่อสนับสนุนองค์กรที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ


คุณปิยะพร ปฏิมาวิรุจน์ Sales Leader คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า “คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล เชื่อมั่นว่าสุขอนามัยและความยั่งยืนสามารถทำให้เกิดขึ้นไปพร้อมกันได้ เรามุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านสุขอนามัย แต่ยังต้องรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งการได้รับการรับรองตราสัญลักษณ์ Carbon Footprint of Product แบบ Circular Economy (CE CFP) เป็นก้าวสำคัญที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านสุขอนามัยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมของเรา และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม”

ในขณะที่ คุณศสิพงศ์ บุญแต้ม Marketing Manager คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “Better Care for A Better World เป็นคำมั่นสัญญาที่เรายึดมั่นมาโดยตลอด เราไม่ได้แค่พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน เราเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่ใช่แค่เพื่อองค์กรหรือลูกค้าของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อโลกที่ยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย”

โดยภายในงานได้จัดการเสวนาโดยผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและภาคเอกชนในหัวข้อสำคัญ อาทิ แนวทางการเตรียมตัวของภาคธุรกิจต่อ พ.ร.บ. Climate Change โดย ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเน้นย้ำว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ไม่เพียงเป็นข้อบังคับทางกฎหมาย แต่ยังเป็นโอกาสให้ธุรกิจพัฒนาและแข่งขันได้ในยุคที่ตลาดให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม

อีกทั้งยังมีการบรรยายเกี่ยวกับการรับรองมาตรฐาน G-Green โดย ดร.เพชรดา อ้อชัยภูมิ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการได้รับตราสัญลักษณ์ G-Green (ไม่ว่าจะเป็น Green Hotel, Green Restaurant, Green Office) ในการสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ รวมถึงบทบาทของ Thai Green Label ในการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ โดย ดร.ถนอมลาภ รัชวัตร์ นักวิจัยอาวุโส ซึ่งระบุว่าผลิตภัณฑ์ที่มีตราสัญลักษณ์ Thai Green Label ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอกรณีศึกษาแนวทางธุรกิจที่ยั่งยืนจากลูกค้าเครือเซ็นทรัล เรสเตอรองส์ คุณวีร์ธิมา พัฒนไพสิฐ Purchasing Equipment Manager Central Restaurant Group Co.,Ltd. อาทิเช่น การลด food waste การจัดซื้อวัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อชุมชนบริเวณโดยรอบแต่ละสาขา เป็นต้น



คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชั่นแนล ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นและเดินหน้าสานต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายที่จะได้รับการรับรองตราสัญลักษณ์ Carbon Footprint Reduction (CFR) ในลำดับต่อไป ตามคำมั่นสัญญาของเรา “Better Care for A Better World” ในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่รับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวไปสู่โลกที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน