เที่ยวทั่วไทย อร่อยทั่วโลก อัพเดทข่าวรายวัน Lifestyle บันเทิง ทันทุกกระแสข่าว!

31 สิงหาคม 2566

Wine Not, Wine Class? : A Basic Wine Sensory Course for Beginners

 เปิดประตูบานแรกสู่โลกของไวน์กับการลิ้มรสและชื่นชมฉบับพื้นฐาน หลักสูตรแรกที่จัดโดย The People

เปลี่ยนวันพฤหัสบดียามเย็นเป็นการท่องทะยานสู่โลกของไวน์ไปกับซอมเมอร์ลิเยร์แนวหน้าของประเทศไทย ‘อาจารย์ไพรัช อินทะพุฒ’ ที่จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเครื่องดื่มนามว่า ‘ไวน์’ ผ่าน 4 บทเรียน ภายใน 4 สัปดาห์ ด้วยการ เรียนจริง-ดูจริง-ดมจริง-ชิมจริง กับไวน์จริง ๆ พร้อมดินเนอร์สุดหรูจาก Gaysorn Urban Resort 

ไม่เพียงแต่คุณจะได้รู้จักวิธีการชิมให้ได้อรรถรสถึงขั้วคุณค่าและเปิดมิติใหม่ให้เข้าใจความละเอียดอ่อนของไวน์ให้มากขึ้น แต่คุณจะได้ลองชิม-ดม-ดื่มไปพร้อม ๆ กับคำบรรยายของวิทยากรผู้เชี่ยวชาญอย่างอาจารย์ไพรัช อินทะพุฒและอาหารมื้อค่ำเลิศรสที่จะเสิร์ฟให้ทานคู่ไปกับไวน์หลากหลายชนิดที่จะทำให้วันของคุณกลายเป็นประสบการณ์สุด Exclusive พร้อมทั้งประกาศนัยบัตรหลังจบหลักสูตร

ภายในหลักสูตร 12 ชั่วโมงนี้จะแบ่งการเรียนออกเป็น 4 ครั้ง ครั้งละ 3 ชั่วโมง โดยเนื้อหาแต่ละครั้งจะประกอบไปด้วย

I. ‘WINE 101 - เปิดประตูบานแรกสู่โลกของไวน์’ ทำความรู้จักกับเครื่องดื่มที่ชื่อว่าไวน์ ต้นกำเนิด และกระบวนการผลิต เรียนรู้วิธีการ ดู-ดม-ดื่ม อันเป็นรากฐานสำคัญของการลิ้มรสไวน์ให้ได้อรรถรสดังที่ควรจะเป็น นอกจากนั้นยังรวมถึงเรื่องมารยาทในการดื่มไวน์รูปแบบต่าง ๆ ที่ผู้ดื่มต้องรู้

II. ‘A French Odyssey - ดำดิ่งชิมฝรั่งเศส ’ ทะยานไปสู่แหล่งกำเนิดกับชื่อเสียงอันลือลั่นของ ‘ฝรั่งเศส’ (France) เจ้าพ่อแห่งไวน์ เพื่อชื่นชมความงานและลักษณะเฉพาะตัวในไวน์ ‘บอร์กโดซ์’ (Bordeaux) และ ‘เบอร์กันดี’ (Burgundy)

III. ‘Viva Italia -  อรรถรสแดนอิตาลี’ เดินหน้าต่อมาในบริเวณใกล้เคียงสู่ประเทศ ‘อิตาลี’ (Italy) ผู้ให้กำเนิดไวน์ ‘ทัสคานี’ (Tuscany) และ ‘ซิชิลี’ (Sicily) เพื่อได้ลิ้มลองความพิเศษที่แตกต่างออกไป แต่อุดมไปด้วยเสน่ห์ที่แทนกันไม่ได้จากอีกแหล่งกำเนิดที่ต้องรู้

IV. ‘New World Wonders - มหัศจรรย์แห่งโลกใหม่’ เพราะไวน์ที่ดีไม่ได้หยุดอยู่แค่แหล่งกำเนิดดั้งเดิม คลาสสุดท้ายของหลักสูตรจึงถึงเวลาผจญไปเจอกับไวน์โลกใหม่นอกเขตยุโรป ไม่ว่าจะเป็นอาร์เจนติน่า สหรัฐอเมริกา หรือนิวซีแลนด์ เพื่อขมวดปมเป็นบทสรุปที่จะทำให้ผู้เรียนได้เห็นภาพของความงามในความละเอียดอ่อนจากเครื่องดื่มที่เราเรียกว่า ‘ไวน์’

โดย Wine Not, Wine Class? ดำเนินการสอนและนำเสนอโดย อ. ไพรัช อินทะพุฒ ประธานสมาคมซอมเมอร์ลิเยร์แห่งประเทศไทย ที่  Gaysorn Urban Resort ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 19 ของ Gaysorn Tower ในทุกพฤหัสบดีเวลา 18.00 ถึง 21.00 ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน, 28 กันยายน, 5 ตุลาคม, ไปจนถึงวันที่ 12 ตุลาคม 2566 

ราคาบัตรจะประกอบไปด้วย 

Early Bird ราคา 16,000 บาทต่อท่าน สามารถจองได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 6 กันยายน 2566

Regular Price ราคา 18,000 บาทต่อท่าน สามารถจองได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 7 กันยายน 2566
ถึงวันที่ 20 กันยายน 2566

จองผ่านทางออนไลน์ได้ที่ https://www.eventpop.me/e/15966

สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เพจ The People
อีเมล ratakorn_sir@thepeople.co หรือโทร. 089-525-5757 

#ThePeople #Gaysorn #Lucaris #Event #WineNotWineClass #WineNot #ไวน์ #หลักสูตร #ชิมไวน์

30 สิงหาคม 2566

นี่ไม่ใช่เพียงคำบอกเล่า การเดินทางของเรา the Luxury Lifestyle Awards 2022



นี่ไม่ใช่เพียงคำบอกเล่า การเดินทางของเรา เคียงข้างการเดินทางผู้โดยสารในสนามบินหลัก มากว่า 15 ปี ทุกๆก้าวของเราคือการอำนวยความสะดวกผู้โดยสารสนามบินและห้องพักรับรองพิเศษผู้โดยสารระหว่างรอขึ้นเครื่อง สนามบินหลัก ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ เชียงราย อุดรธานี ดอนเมือง และ สุวรรณภูมิ ทุกๆสาขาเราพร้อมพัฒนาและตอบสนองความต้องการผู้โดยสารพร้อมทั้งนำคำชมมาเป็นกำลังใจและน้อมรับคำติเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ผู้โดยสารคนพิเศษของเรา


อีกหนึ่งรางวัลยืนยันที่ไม่ใช่เพียงคำบอกเล่า  the Luxury Lifestyle Awards 2022  https://luxurylifestyleawards.com/news/first-class-concierge-services-for-stress-free-travel-with-the-executive-coral-lounge-thailand

GIT อวดโฉมเครื่องประดับสุดตระการตา“Glitter & Gold–The Brilliant Way of Gold Shine”

ในงานตัดสินการประกวด GIT World’s Jewelry Design Award 2023 สร้างศักยภาพนักออกแบบสู่สากล


30 สิงหาคม 2566: สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT จัดพิธีมอบโล่รางวัล พระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี  และประกาศผลผู้ชนะเลิศโครงการ GIT World’s Jewelry Design Awards 2023 ใน ธีม Glitter & Gold – The Brilliant Way of Gold Shine” ลุ้นรางวัลรวมมูลค่ากว่า 7,000 USD โดยได้รับเกียรติจาก นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี ณ ลานแฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน


การประกวดในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดนี้ “Glitter & Gold – The Brilliant Way of Gold Shine” เครื่องประดับที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสีทองอร่ามกับประกายระยิบระยับของอัญมณีหลากชนิดที่ผสมผสานเข้ากันจนเป็นงานสร้างสรรค์ที่ลงตัว โดยมีนักออกแบบต่างชาติส่งชิ้นงานจำนวน 497  ชิ้นงาน และจากประเทศไทย 273 ชิ้นงาน รวมผลงานที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือกเข้าร่วมประกวดมากถึง 770 ผลงาน  โดยสถาบันและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้ตัดสินรอบคัดเลือกแบบวาด และคัดเลือกจนเหลือ 30 แบบ และเลือกเฟ้นหาแบบวาดที่มีคะแนนสูงสุด 4 แบบวาด เพื่อนำไปผลิตเป็นเครื่องประดับ และแสดงผลงานพร้อมเหล่านางแบบในรอบชิงชนะเลิศ




นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ประธานกรรมการสถาบัน เผยว่า สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับถือได้ว่าเป็นสินค้าที่สร้างเม็ดเงินจำนวนมากให้กับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.21 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย  แม้ว่าล่าสุดตัวเลขมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ได้มีการปรับตัวลดลงร้อยละ 15.52 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 8,714.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 7,361.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 4,198.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 9.01 


สำหรับโครงการประกวดออกแบบเครื่องประดับ GIT World’s Jewelry Design Awards เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ GIT ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 17 แล้ว เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ นักออกแบบ และบุคคลทั่วไปที่มีใจรักในการออกแบบและสนใจในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ได้มีเวทีและโอกาสในการแสดงศักยภาพและพัฒนาฝีมือให้เข้าสู่มาตรฐานระดับโลก สร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย และเปลี่ยนประเทศไทยจากประเทศผู้รับจ้างผลิต เป็นประเทศที่สามารถสร้างแบรนด์เครื่องประดับที่ได้รับการยอมรับระดับโลก เพื่อการตอกย้ำการเป็นประเทศผู้ผลิตและผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก




นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบัน เสริมว่า การจัดการประกวดนี้ ถือเป็นโอกาสที่สำคัญที่เราจะทำทั่วโลก และ นานาชาติ ได้เห็นถึงศักยภาพของนักออกแบบไทย โดยเฉพาะด้านอัญมณีและเครื่องประดับ นอกจากนี้เราจะเห็นได้ถึงเทรนด์ในการออกแบบซึ่งมาจากทั่วทุกมุมโลกที่น่าสนใจ 

ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้เป็นแนวทางสำหรับนักออกแบบอีกด้วย โดยแบบวาดที่มีคะแนนสูงสุด 4 ผลงาน จะถูกนำไปผลิตเป็นเครื่องประดับต้นแบบ และตัดสินรอบชิงชนะเลิศในช่วงเช้าของวันนี้ โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งในการตัดสินรอบสุดท้าย ผ่านการสวมใส่เครื่องประดับจริง ที่จะทำให้เห็นว่าเครื่องประดับต้นแบบที่นักออกแบบได้สร้างสรรค์มานั้น สามารถผลิตได้ตรงตามแบบที่วาด และเมื่อสวมใส่จริง มีความสวยงาม และเหมาะสมหรือไม่ 

และจากนั้นเรานำผลงานการออกแบบทั้ง 4 นี้ มาแสดงแฟชั่นโชว์อวดโฉมเครื่องประดับสุดอลังการให้กับทุกท่านที่สนใจในงานตัดสินการประกวด GIT World’s Jewelry Design Award 2023 นำทีมโดย คุณ อแมนด้า ชาร์ลีน ออบดัม มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ปี 2020 นักแสดงและนางเอกช่อง 3 

นอกจากนี้ภายในงานยังได้จัดแสดงผลงานการออกแบบของนักออกแบบที่เข้ารอบทั้ง 30 ผลงานอีกด้วย โดยปีนี้ GIT Popular Design Award 2023 มีผู้ร่วมโหวตผลงานจากทั่วทุกมุมโลก กว่า 600,000 คะแนน และ ผลงานที่ได้รับรางวัล คือ JDA127 คุณชาญชัย ดวงระหว้า นักออกแบบชาวไทย จากผลงานชื่อ ใบตอง ด้วยคะแนนโหวต 322,322 คะแนน ส่วนรางวัลชนะเลิศ ชื่อผลงาน  Golden Hour หรือ ช่วงเวลา
ดั่งต้องมนต์สะกด ออกแบบโดย คุณศิริชัย บุญประเทือง จากประเทศไทย



ส่วนรางวัลชนะเลิศ ชื่อผลงาน  Golden Hour หรือ “ช่วงเวลาดั่งต้องมนต์สะกด” ออกแบบโดย คุณศิริชัย บุญประเทือง จากประเทศไทย
รางวัลที่ 2 ชื่อผลงาน Line ออกแบบโดย เนตรนภา ส่งเสียง จากประเทศไทย 
รางวัลที่ 3 ชื่อผลงาน Time ออกแบบโดย Xueer Song ดีไซเนอร์ชาวจีน  
รางวัลที่ 4 ชื่อผลงาน  Volcano eruption ออกแบบโดย Zahraa Mohamed Haji ดีไซเนอร์ ชาว บาห์เรน




สำหรับผู้ที่สนใจและรักการออกแบบเครื่องประดับที่พลาดสำหรับการเข้าร่วมประกวดในครั้งนี้
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการประกวดการออกแบบ ได้ที่ www.facebook.com/gitwjda
ซึ่งแน่นอนว่าในครั้งหน้า หัวข้อการประกวดจะต้องมีความท้าทายมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน” ผู้อำนวยการสถาบัน กล่าวปิดท้าย

นิปปอนเพนต์จัดกิจกรรมขอบคุณลูกค้าพาเหินฟ้าสวิตเซอร์แลนด์-อิตาลี


ปรัชญา ดำประภา ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท นิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด หน่วยธุรกิจสีพ่นซ่อมรถยนต์ จัดกิจกรรมพิเศษนำลูกค้าศูนย์บริการทั่วประเทศมากกว่า 30 คน เหินฟ้าพาท่องเที่ยวชมความงามของ ประเทศที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังของธรรมชาติ เทือกเขาสูงๆ และวิวทะเลสาบสวยๆ ดังสมญานาม "หลังคาแห่งทวีปยุโรป"  ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และไปต่อกันอีกที่ เมืองแห่งประวัติศาสตร์และอารยธรรมโรมัน ของประเทศอิตาลี ซึ่งกิจกรรมนี้ เป็นกิจกรรมของสายงานดูแลลูกค้า ทั้งนี้  บริษัท นิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด หน่วยธุรกิจสีพ่นซ่อมรถยนต์ ให้ความสำคัญกับลูกค้า พาร์ทเนอร์ คู่ค้าทางธุรกิจ อย่างเสมอมา  เพื่อแทนคำขอบคุณที่ให้การสนับสนุนยอดขายของนิปปอนเพนต์เติบโต และประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง รวมถึงตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสีพ่นซ่อมรถยนต์ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์-อิตาลี เมื่อเร็วๆ นี้





กระทรวงพลังงาน สมาคมยานยนต์ไฟฟ้า และ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เชื่อมไทยสู่เวทีระดับภูมิภาค

พร้อมรับมือวิกฤตโลกร้อนด้วยการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาดในงาน ASEAN Sustainable Energy Week และ Electric Vehicle Asia 2023



อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เชื่อมโอกาสไทยสู่ภูมิภาคอาเซียน ผสานความร่วมมือ กระทรวงพลังงาน สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และภาคีเครือข่ายภาครัฐ-เอกชน พร้อมรับมือวิกฤตโลกร้อนด้วยการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาด เดินหน้าเปิดงาน ASEAN Sustainable Energy Week (ASEW) และ Electric Vehicle Asia (EVA) 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่  33 งานมหกรรมเทคโนโลยีและการประชุมนานาชาติด้านพลังงานทดแทน สิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ครบครันที่สุดของภูมิภาค

ปัญหาเรื่อง การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่มีผลต่อทุกภูมิภาคในโลก ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตทุกระบบนิเวศในวงกว้าง ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้มีการประกาศว่าโลกของเราก้าวข้ามจากยุค "ภาวะโลกร้อน" ไปสู่ "ภาวะโลกเดือด" และที่สำคัญมีการคาดการณ์ว่าหากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นอีก 1-2 องศาเซลเซียส จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นวันนี้ทุกภาคส่วนต้องเตรียมพร้อมรับมือและทำงานร่วมกันเพื่อเร่งแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเร็ววัน ประเทศไทยวางเป้าหมายเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ จากความสำคัญดังกล่าวผนวกกับการขานรับนโยบายพลังงานสะอาดของไทย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ในฐานะผู้นำธุรกิจด้านการจัดงานแสดงสินค้า และกิจกรรมทางธุรกิจระดับภูมิภาค สานต่อความร่วมมือกระทรวงพลังงาน สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมทั้งจากไทยและต่างประเทศ ร่วมกันเปิดงาน ASEAN Sustainable Energy Week (ASEW) และ ELECTRIC VEHICLE ASIA (EVA) 2023 เพื่อเชื่อมต่อโอกาส สร้างองค์ความรู้และขยายกรอบการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนขานรับนโยบายสำคัญขับเคลื่อนไทยเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาดสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน


นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงานได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่เชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 โดยกระทรวงพลังงานได้เดินหน้าเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคพลังงานเพื่อให้สอดคล้องกับแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan: NEP) ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและพลังงานที่ยั่งยืน อาทิ การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดสำหรับการผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าใหม่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ภายในปี ค.ศ. 2040 รวมทั้งส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้มีสัดส่วนร้อยละ 30 ภายในปี ค.ศ.2030 โดยวางเป้าหมายที่สำคัญให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุคสังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต ซึ่งกระทรวงพลังงานเชื่อมั่นว่าเวทีนี้จะเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับทุกภาคส่วนเพื่อขานรับกับเป้าหมายของประเทศที่กำหนดไว้ต่อไป


นายกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า วันนี้ตามท้องถนนเราเห็นยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นรวมทั้งสถานีชาร์จที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศกว่า  4,600 แห่ง โดยอุปสงค์ดังกล่าวได้รับการสนับสนุนที่ดีจากภาครัฐ อาทิ นโยบายลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการให้เงินอุดหนุน 18,000 บาทต่อคันสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ โดยทางสมาคมฯ เราถือเป็นอีกภาคส่วนที่เข้ามาเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้ใช้งาน  ผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้ผลิต ผ่านเวทีการจัดงานสำคัญระดับภูมิภาคอย่าง EVA 2023 โดยปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 8 ภายในงานมีการจัดสัมมนาวิชาการ iEVTech 2023 ในหัวข้อ Shaping the Future of Electric Vehicle Ecosystem เพื่อร่วมกันอัปเดรตเทรนด์และทิศทาง รวมถึงโอกาสและความได้เปรียบของไทยเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าจะสร้างประโยชน์ในวงกว้างให้กับผู้เข้าร่วมงาน ตลอดจนสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับยานยนต์พลังงานสะอาดให้กับสังคมไทยมากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายในอนาคตร่วมกันสู่การเป็นศูนย์กลางด้านยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค

นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธาน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศผ่านการจัดงาน ASEAN SUSTAINABLE ENERGY WEEK ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีจากทุกภาคส่วนนำโดยกระทรวงพลังงาน สมาคม สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และเครือข่ายของพันธมิตรด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมชั้นนำจากทั่วโลก โดยการจัดงานในปีนี้ชูแนวคิด “Powering the Clean Energy Transition Toward Carbon Neutrality Goal” หรือ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งเวทีนี้ที่จัดต่อเนื่องมากว่า 3 ทศวรรษ เราเชื่อมั่นว่างานนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการนำพาประเทศไทยเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดสู่สังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต สอดรับกับเป้าหมายของโลก


สำหรับการจัดงานในปีนี้ ได้ขนทัพเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อมครบวงจร บนพื้นที่กว่า 20,000 ตร.ม.โดยได้รวบรวมแบรนด์ชั้นนำระดับโลกกว่า 1,500 แบรนด์ อาทิ ABB, Delta, Oriental Copper, Anest Iwata และ Siemens เป็นต้น พร้อมพาวิเลียนนานาชาติกว่า 8 ประเทศ ทั้ง เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลี จีน สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และไต้หวัน เพื่อเชื่อมโอกาสและสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายทางธุรกิจจากทั่วโลก และไฮไลท์ที่สำคัญคือ การประชุมและสัมมนาระดับนานาชาติกว่า 200 หัวข้อ โดยครอบคลุมในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ได้จัดร่วมกับงาน Electric Vehicle Asia (EVA) 2023 อีกเวทีสำคัญของวงการยานยนต์ไฟฟ้าที่รวบรวมผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวข้องใน EV Eco System และ Value Chain ทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำไว้ในงานเดียว โดยเฉพาะการประชุมนานาชาติด้านยานยนต์ไฟฟ้า iEVTech 2023 ที่ในปีนี้ได้ขนทัพกูรูชื่อดังในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า มาอัปเดรตเทรนด์สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างพื้นฐาน แบตเตอรี่ และยานยนต์ไร้คนขับ  ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานกว่า 25,000 คน จากทั่วภูมิภาค โดยทุกภาคส่วนเชื่อมั่นว่า "เวทีนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของภูมิภาคในอนาคต"




มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งสู่การขานรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาดครั้งสำคัญในงาน ASEAN Sustainable Energy Week (ASEW) และ Electric Vehicle Asia (EVA) 2023 ปีนี้จัดควบคู่กับงาน Pumps & Valves Asia (PVA) 2023 งานแสดงเทคโนโลยีเฉพาะทางที่รวมเทคโนโลยีด้านปั๊ม วาล์ว ท่อ ข้อต่อ และอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ระดับภูมิภาค โดยการจัดงานทั้งหมดนี้ถือเป็นเวทีระดับภูมิภาคหนึ่งเดียวของไทยที่รวบรวมนวัตกรรม และเทคโนโลยีสีเขียวที่ครบครัน และใหญ่ที่สุดแห่งปีไว้ในงานเดียว จัดระหว่างวันที่ 30 ส.ค.-1 ก.ย.66 ที่ ฮอลล์ 1-4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.asew-expo.com และ www.evasia-expo.com หรือโทร  02-0360500

โครงการ ขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ผู้ใช้จักรยานยนต์ปลอดภัย

วอนรัฐบาลใหม่จัดการปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน หลังไทยติดอันดับ 9 ของโลก ล่าสุดแค่ 8 เดือนแรกของปี 66 คนไทยตาย-บาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรแล้ว กว่า 4 แสนราย เปิดสถิติ 5 ปี วัยรุ่นไทยตายจากมอร์เตอร์ไซค์ล้มเอง (2562-2566) สูงถึง 4.4 พันราย บาดเจ็บร่วม 5 แสน 

 อุบัติเหตุจากรถมอร์เตอร์ไซค์ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทยที่ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ยังไม่สามารถแก้ไขให้จำนวนการตายและบาดเจ็บจากรถมอร์เตอร์ไซค์ลดลงได้ ล่าสุด พญ.ชไมพันธุ์ สันติกาญจน์ อดีตที่ปรึกษาประจำองค์การอนามัยโลก ภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ด้านป้องกันการบาดเจ็บและภาวะพิการ และผู้รับผิดชอบโครงการ ขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ผู้ใช้จักรยานยนต์ปลอดภัย เปิดเผยว่า ตนได้เคยทำหนังสือ ถึงนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลที่แล้ว ตั้งแต่ปี 2564 ให้เร่งรัดติดตามการขับเคลื่อนงานเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงหลักที่รับผิดชอบด้านการคมนาคมและขนส่ง ก็มิได้ดำเนินงานด้านความปลอดภัยจักรยานยนต์ ตามภารกิจหลักและนโยบายของนายกฯ เรื่องเด็กแว้น จนล่าสุดมีการตายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ส่งผลเสียต่อประเทศ ประชาชน และงบประมาณราชการในการรักษาพยาบาล


พญ.ชไมพันธุ์ กล่าวว่า ข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังการบาดเจ็บ( Injury Surveillance : IS) ของศูนย์ความร่วมมือด้านข้อมูลการบาดเจ็บ กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค เปิดเผยสถิติอุบัติเหตุในรอบปี 2566 ข้อมูล ณ วันที่ 30 ส.ค. 2566 พบว่า ในปีนี้ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว 413,964 ราย แยกเป็นบาดเจ็บ 407,294 ราย และ เสียชีวิต 6,670 ราย ขณะที่สถิติอุบัติเหตุจากการล้มเองของการขับขี่รถมอร์เตอร์ไซค์ ในรอบ 5 ปี  (2562-2566) พบว่า มีจำนวนถึง 487,453 คน คืดเป็น 48.03% ในจำนวนนี้เป็นผู้บาดเจ็บ 482,968 คน และเสียชีวิต 4,485 ราย สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสียที่ป้องกันได้และไม่ควรเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อผู้เสียชีวิตเป็นวัยรุ่นอาอยุ 15-24 ปีที่เป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศ 

“อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขและทำให้เห็นผลเป็นรูปธรรมในทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมาย ถนน วินัยการจราจร ระบบความปลอดภัย ที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ ที่ถ้ามีมาตรการที่แข็งแรงพอจะสามารถป้องกันและลดความสูยเสียที่เกิดขึ้นได้”  อดีตที่ปรึกษาประจำองค์การอนามัยโลก ภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ด้านป้องกันการบาดเจ็บและภาวะพิการ กล่าวและว่า ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก WHO ระบุว่าประเทศไทยมีอัตราตายจากอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก โดยรถจักรยานยนต์ยังคงครองแชมป์อันดับหนึ่งตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งๆที่จักรยานยนต์ยังจะเป็นรูปแบบการเดินทางที่สำคัญยิ่งของประเทศไทยทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า 

29 สิงหาคม 2566

“บีไชน์ เนเจอร์ซี” ร่วมแคมเปญ “แสตมป์เซเว่น อีเลฟเว่น”

จัดโปรพิเศษ ราคาคุ้ม1 ซอง 49 บาท รับแสตมป์ 3บาท 5 ดวง มูลค่า 15บาท ที่เซเว่น อีเลฟเว่นทุกสาขา

บริษัท บีไชน์ นูทริชั่น พลัส จำกัด จัดโปรพิเศษ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” ร่วมแคมเปญ “แสตมป์เซเว่น อีเลฟเว่นป่วนสนุก BROWN & MINIONS” ที่มาพร้อมการ์ตูนคาแรคเตอร์ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว น่ารักปนซ่าส์ สนุกสนาน มีเสน่ห์ อ่อนโยน สไตล์บราวน์และมินเนี่ยน เมื่อซื้อ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” วิตามินซีธรรมชาติ 100 % แบบซองพกพาสะดวก ขนาด 6 เม็ด ซื้อ 1 ซอง ราคา 49 บาท รับแสตมป์มูลค่า 3 บาท จำนวน 5 ดวง รวมมูลค่า 15 บาท สามารถซื้อ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” ราคาดี คุ้มมาก พร้อมรับแสตมป์ ได้ตั้งแต่วันนี้ - 23 กันยายน 2566 ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ

“บีไชน์ เนเจอร์ซี” (B Shine NaturC) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินซีจากธรรมชาติ 100% อะเซโรลา เชอร์รี่ สกัดเข้มข้นจากสหรัฐอเมริกา ผสานคุณประโยชน์ของสารสกัดจากผักและผลไม้ ที่อุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์และสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ดีต่อผิวและสุขภาพ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” เป็นวิตามินซีธรรมชาติ จึงสามารถในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี และไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร แบบเม็ด ทานง่าย 

ส่วนประกอบสำคัญใน 1 เม็ด : ประกอบด้วย อะเซโรลา เชอร์รี่ สกัด 1000 มก., ซิตรัสไบโอฟลาโวนอยด์ 100 มก., เบอร์รี่มิกซ์ 120 มก. (สตรอเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, ราสพ์เบอร์รี่, เอลเดอร์เบอร์รี่, แบล็คเคอร์เรนท์, เรดบีท), สารสกัดจากทับทิม 47.50 มก., สารสกัดจากเมล็ดลิ้นจี่ 23.75 มก.,แคโรทีนอยด์ 7.5% 23.75 มก.

รับประทานง่ายๆ เพียงวันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร มื้อเช้าหรือเย็น วิตามินซีเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหาร ผักและผลไม้ หรือทานอาหารเสริม และควรต้องเป็นวิตามินซีที่สกัดจากธรรมชาติ ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีกว่าวิตามินสังเคราะห์ วิตามินซีมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ อาทิเช่น มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ, ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้น, ดีต่อสุขภาพผิวและริ้วรอย, ป้องกันการเป็นหวัด, ลดอาการภูมิแพ้,ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมผลิตภัณฑ์ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” วิตามินซีธรรมชาติ 100% แบบซองพกพาสะดวก
นำติดตัวไปได้ทุกที่ได้ง่ายๆ ที่จะทำให้ไม่พลาดทานวิตามินซี เพื่อเสริมภูมิต้านให้สุขภาพที่ดีของร่างกาย ได้ที่ www.bshine.co.th, FB : https://www.facebook.com/BnpHealth และ Line : @Bshine

“ไทยรัฐกรุ๊ป” จัดกิจกรรม ROAD TO NET ZERO : CHANGE FOR SUSTAINABILITY

“ไทยรัฐกรุ๊ป” จัดกิจกรรม ROAD TO NET ZERO : CHANGE FOR SUSTAINABILITY  สร้างความเข้าใจ ปลูกจิตสำนึก เพื่อความยั่งยืนของโลก สอดคล้องกับ ททท.ที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิ  เป็นศูนย์ (Net Zero Tourism) ชี้ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ภาคเอกชนที่ร่วมทำการตลาดกับ ททท.ต้องได้มาตรฐานด้านความยั่งยืนเท่านั้น ด้านมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีเป้าหมายเข้าไปฟื้นฟูป่าชุมชนทั่วประเทศ 6 ล้านไร่ “กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา” ดารานักแสดง-นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ชวนเที่ยวแบบมีขยะน้อยชิ้นที่สุด

​นางสาวจิตสุภา วัชรพล ผู้บริหารไทยรัฐกรุ๊ป เปิดเผยว่า ไทยรัฐกรุ๊ปตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ที่นับว่าเป็นมหันตภัยร้ายแรงของโลก และของประเทศไทย สื่อในเครือ “ไทยรัฐกรุ๊ป” ประกอบไปด้วย หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ เว็บไซต์ และโซเชียลมีเดีย และได้รับการสนับสนุนจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)    มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และผลิตภัณฑ์ Eucerin จึงได้จัดกิจกรรม ROAD TO NET ZERO : CHANGE FOR SUSTAINABILITY ขึ้นในรูปแบบของนิทรรศการผสมผสานการเสวนา เพื่อสร้างความเข้าใจ ปลูกจิตสำนึก เพื่อความยั่งยืนของโลกและประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เรื่องการท่องเที่ยวที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิ เป็นศูนย์ (Net Zero Tourism)  


กิจกรรม ROAD TO NET ZERO : CHANGE FOR SUSTAINABILITY จัดขึ้นในวันที่ 29-30 สิงหาคม 2566 ณ ลานกิจกรรม ชั้น G โซน SEMI OUTDOOR ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ภายในงานจะมีนิทรรศการ   ให้ความรู้เกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจก และประชาสัมพันธ์ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวแบบ Low Carbon และ บูธกิจกรรม ต่างๆ อาทิ บูธบริจาค เสื้อผ้ามือสอง โดยไทยรัฐกรุ๊ป บูธจากผู้ประกอบการด้านโรงแรม บูธสินค้าจากวิสาหกิจชุมชน และกิจกรรมการผลิตสวนในขวดแก้ว และเปิดพื้นที่กิจกรรม "Road to Net Zero" ให้กลุ่มเป้าหมาย     เข้าร่วม

ทั้งนี้ ในวันที่ 29 สิงหาคม 2566 ได้จัดให้มีเสวนา ในหัวข้อ “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และท่องเที่ยวแบบรักษ์โลก” โดยเชิญนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางสาวสุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสิ่งแวดล้อม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายกรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา ดารานักแสดง-นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เข้าร่วมตลอดจนมีการบรรยายสร้างแรงบันดาลใจ ภายใต้หัวข้อ "การสร้างแหล่งท่องเที่ยว แบบ Net Zero"   

โดย ตัวแทนจากผู้เข้าร่วมโครงการ STGs Youth Camp ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พิธีกรร่วมพูดคุยกับ  คุณบอส และ คุณโนอึล นักแสดงจากซีรีย์ เรื่อง บรรยากาศรัก ในมุมมองแนวคิด "การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยว แบบ Net Zero" และมินิคอนเสิร์ต โดย คุณบอส และ คุณโนอึล

จากนั้นในวันที่ 30 สิงหาคม 2566 มีเวทีพูดคุยกับ คุณซันนี่ คุณปลั๊กไฟ นักแสดงจากชีรีย์ เรื่อง Wedding Plan ในมุมมองแนวคิด "การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยว แบบ Net Zero" มินิคอนเสิร์ตโดย คุณซันนี่  คุณปลั๊กไฟ นักแสดงจากชีรีย์ เรื่อง Wedding Plan พร้อม มินิคอนเสิร์ต โดยวงดนตรี จาก นักศึกษา

ขณะเดียวกัน สื่อในเครือ “ไทยรัฐกรุ๊ป” ประกอบไปด้วย หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ เว็บไซต์ และโซเชียลมีเดีย จะให้ความสำคัญกับการนำเสนอข่าวและสกู๊ปข่าวที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความเข้าใจ ปลูกจิตสำนึก       เพื่อความยั่งยืนของโลก ซึ่งทางไทยรัฐทีวี มีการผลิตแอนิเมชั่น ให้ความรู้ ด้าน Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์  ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยจากกิจกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นมีภาวะสมดุลกับการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศของโลก ภายใต้ ชื่อ ย.ยักษ์ รักษ์โลก  โดย ย.ยักษ์ ยักษ์เขียว เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความเป็นไทยรัฐ ที่จะมาสร้างความเข้าใจ และปลูกจิตสำนึก ให้ประชาชนได้ตระหนัก         ถึงความสำคัญในการช่วยโลกให้ยั่งยืน

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท. ได้มุ่งขับเคลื่อนการท่องเที่ยวด้วยเป้าหมายการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(Sustainable Tourism Goals : STGs) และมุ่งสู่ Net Zero Tourism หรือการท่องเที่ยวที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ โดยได้พัฒนาจากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน Sustainable Development Goals (SDGs) 17 เป้าหมายของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) พื่อนำไปสู่การดำเนินการพัฒนาตามบริบททางการท่องเที่ยว และจัดทำคู่มือเกณฑ์มาตรฐานท่องเที่ยวยั่งยืน “STGs Easy” ให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐานความยั่งยืน Sustainable Tourism Acceleration Rating (STAR) ให้สินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว มีมาตรฐานในการให้บริการอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในอนาคต 

“ในปี 2568 เป็นต้นไป ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภาคเอกชนที่จะร่วมงานกับ ททท.จะต้องเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับมาตรการด้านความยั่งยืน หรือมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม มาตรฐานใด มาตรฐานหนึ่งเท่านั้น จึงจะร่วมงานกับ ททท.ในการทำการตลาดท่องเที่ยวได้ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในประเทศหรือต่างประเทศ”


 
โดยอาจจะเป็นมาตรฐานที่จัดทำโดยหน่วยงานอื่น หรือ มาตรฐานด้านความยั่งยืนของ ททท.ประกอบด้วย โครงการ STAR : Sustainable Tourism Acceleration Rating ที่ต้องผ่านเกณฑ์การประเมินตนเอง ตามคู่มือ STGs Easy ประกอบด้วย 3 ระดับ คือ 3 ดาว 4 ดาว และ 5 ดาว หรือ โครงการ CF-Hotels สำหรับธุรกิจโรงแรม ที่มีการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีกิจกรรมต่างๆ ในการลดผลกระทบ   ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของโรงแรม และโครงการ Thailand Tourism Awards ที่ได้เพิ่มรางวัลประเภทการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน (Low Carbon & Sustainability) ให้กับแหล่งท่องเที่ยว ที่พักนักท่องเที่ยว การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รายการนำเที่ยว หรือสถานประกอบการอื่นๆ  อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการที่ยังไม่เข้ามาตรฐานเหล่านี้ ททท.จะเป็นพี่เลี้ยงให้เข้าร่วมโครงการใด โครงการหนึ่ง เพื่อนำไปสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนร่วมกัน และททท.จะส่งเสริมผู้ประกอบการกลุ่มนี้ได้ลูกค้าจากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย

นางสาวสุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสิ่งแวดล้อม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์  กล่าวว่า  มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ร่วมมือภาครัฐ ชุมชน และ 14 เอกชนชั้นนำ ขยายผล “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ใน 77 ป่าชุมชน ตั้งเป้าหมายในปี 2566 จำนวน 100,000 ไร่ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชน 500 ล้านบาท และกักเก็บคาร์บอน 500,000 ตัน   พร้อมวางเป้าหมายในปี 2567 จะมีภาคเอกชนเข้ามาร่วมมือมากขึ้น เพื่อขยายงานครอบคลุมพื้นที่อีก 150,000 ไร่ นำไปสู่เป้าหมายผลิตคาร์บอนเครดิต 1 ล้านตัน ภายในปี 2570 ภายใต้ความมุ่งหวังสร้างป่าที่สมบูรณ์ควบคู่ไปกับการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้ชุมชน เป็นการช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปได้พร้อมๆกัน เพราะชุมชนจะช่วยดูแลป่าขณะที่ภาคเอกชนที่ร่วมโครงการสามารถนำคาร์บอนเครดิตที่เข้าร่วมในโครงการนี้ ไปหักลบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการดำเนินกิจการได้ โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงตั้งเป้าหมายให้โครงการนี้คลอบคลุม ป่าชุมชนทั่วประเทศ 6 ล้านไร่ ซึ่งการไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้เร็วเท่าใดขึ้นอยู่กับการเข้ามาร่วมมือของทุกภาคส่วน

นายกรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา ดารานักแสดง-นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กล่าวว่าการท่องเที่ยวแบบ NET ZERO หรือ คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (carbon neutral tourism) สามารถทำได้โดยลดการใช้พลังงาน ลดการใช้เชื้อเพลิงคาร์บอน หันมาเดิน วิ่ง ปั่นจักรยานหรือพายเรือ เพื่อสัมผัสชีวิตชุมชนที่ได้ไปเยี่ยมเยืยน ลองให้ชีวิตได้ศึกษาหาความรู้จากธรรมชาติและใช้ชีวิตให้ช้าลง กินอยู่เรียบง่าย ใช้ขยะให้น้อยชิ้นที่สุด