เที่ยวทั่วไทย อร่อยทั่วโลก อัพเดทข่าวรายวัน Lifestyle บันเทิง ทันทุกกระแสข่าว!

31 สิงหาคม 2566

Wine Not, Wine Class? : A Basic Wine Sensory Course for Beginners

 เปิดประตูบานแรกสู่โลกของไวน์กับการลิ้มรสและชื่นชมฉบับพื้นฐาน หลักสูตรแรกที่จัดโดย The People

เปลี่ยนวันพฤหัสบดียามเย็นเป็นการท่องทะยานสู่โลกของไวน์ไปกับซอมเมอร์ลิเยร์แนวหน้าของประเทศไทย ‘อาจารย์ไพรัช อินทะพุฒ’ ที่จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเครื่องดื่มนามว่า ‘ไวน์’ ผ่าน 4 บทเรียน ภายใน 4 สัปดาห์ ด้วยการ เรียนจริง-ดูจริง-ดมจริง-ชิมจริง กับไวน์จริง ๆ พร้อมดินเนอร์สุดหรูจาก Gaysorn Urban Resort 

ไม่เพียงแต่คุณจะได้รู้จักวิธีการชิมให้ได้อรรถรสถึงขั้วคุณค่าและเปิดมิติใหม่ให้เข้าใจความละเอียดอ่อนของไวน์ให้มากขึ้น แต่คุณจะได้ลองชิม-ดม-ดื่มไปพร้อม ๆ กับคำบรรยายของวิทยากรผู้เชี่ยวชาญอย่างอาจารย์ไพรัช อินทะพุฒและอาหารมื้อค่ำเลิศรสที่จะเสิร์ฟให้ทานคู่ไปกับไวน์หลากหลายชนิดที่จะทำให้วันของคุณกลายเป็นประสบการณ์สุด Exclusive พร้อมทั้งประกาศนัยบัตรหลังจบหลักสูตร

ภายในหลักสูตร 12 ชั่วโมงนี้จะแบ่งการเรียนออกเป็น 4 ครั้ง ครั้งละ 3 ชั่วโมง โดยเนื้อหาแต่ละครั้งจะประกอบไปด้วย

I. ‘WINE 101 - เปิดประตูบานแรกสู่โลกของไวน์’ ทำความรู้จักกับเครื่องดื่มที่ชื่อว่าไวน์ ต้นกำเนิด และกระบวนการผลิต เรียนรู้วิธีการ ดู-ดม-ดื่ม อันเป็นรากฐานสำคัญของการลิ้มรสไวน์ให้ได้อรรถรสดังที่ควรจะเป็น นอกจากนั้นยังรวมถึงเรื่องมารยาทในการดื่มไวน์รูปแบบต่าง ๆ ที่ผู้ดื่มต้องรู้

II. ‘A French Odyssey - ดำดิ่งชิมฝรั่งเศส ’ ทะยานไปสู่แหล่งกำเนิดกับชื่อเสียงอันลือลั่นของ ‘ฝรั่งเศส’ (France) เจ้าพ่อแห่งไวน์ เพื่อชื่นชมความงานและลักษณะเฉพาะตัวในไวน์ ‘บอร์กโดซ์’ (Bordeaux) และ ‘เบอร์กันดี’ (Burgundy)

III. ‘Viva Italia -  อรรถรสแดนอิตาลี’ เดินหน้าต่อมาในบริเวณใกล้เคียงสู่ประเทศ ‘อิตาลี’ (Italy) ผู้ให้กำเนิดไวน์ ‘ทัสคานี’ (Tuscany) และ ‘ซิชิลี’ (Sicily) เพื่อได้ลิ้มลองความพิเศษที่แตกต่างออกไป แต่อุดมไปด้วยเสน่ห์ที่แทนกันไม่ได้จากอีกแหล่งกำเนิดที่ต้องรู้

IV. ‘New World Wonders - มหัศจรรย์แห่งโลกใหม่’ เพราะไวน์ที่ดีไม่ได้หยุดอยู่แค่แหล่งกำเนิดดั้งเดิม คลาสสุดท้ายของหลักสูตรจึงถึงเวลาผจญไปเจอกับไวน์โลกใหม่นอกเขตยุโรป ไม่ว่าจะเป็นอาร์เจนติน่า สหรัฐอเมริกา หรือนิวซีแลนด์ เพื่อขมวดปมเป็นบทสรุปที่จะทำให้ผู้เรียนได้เห็นภาพของความงามในความละเอียดอ่อนจากเครื่องดื่มที่เราเรียกว่า ‘ไวน์’

โดย Wine Not, Wine Class? ดำเนินการสอนและนำเสนอโดย อ. ไพรัช อินทะพุฒ ประธานสมาคมซอมเมอร์ลิเยร์แห่งประเทศไทย ที่  Gaysorn Urban Resort ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 19 ของ Gaysorn Tower ในทุกพฤหัสบดีเวลา 18.00 ถึง 21.00 ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน, 28 กันยายน, 5 ตุลาคม, ไปจนถึงวันที่ 12 ตุลาคม 2566 

ราคาบัตรจะประกอบไปด้วย 

Early Bird ราคา 16,000 บาทต่อท่าน สามารถจองได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 6 กันยายน 2566

Regular Price ราคา 18,000 บาทต่อท่าน สามารถจองได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 7 กันยายน 2566
ถึงวันที่ 20 กันยายน 2566

จองผ่านทางออนไลน์ได้ที่ https://www.eventpop.me/e/15966

สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เพจ The People
อีเมล ratakorn_sir@thepeople.co หรือโทร. 089-525-5757 

#ThePeople #Gaysorn #Lucaris #Event #WineNotWineClass #WineNot #ไวน์ #หลักสูตร #ชิมไวน์

30 สิงหาคม 2566

นี่ไม่ใช่เพียงคำบอกเล่า การเดินทางของเรา the Luxury Lifestyle Awards 2022



นี่ไม่ใช่เพียงคำบอกเล่า การเดินทางของเรา เคียงข้างการเดินทางผู้โดยสารในสนามบินหลัก มากว่า 15 ปี ทุกๆก้าวของเราคือการอำนวยความสะดวกผู้โดยสารสนามบินและห้องพักรับรองพิเศษผู้โดยสารระหว่างรอขึ้นเครื่อง สนามบินหลัก ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ เชียงราย อุดรธานี ดอนเมือง และ สุวรรณภูมิ ทุกๆสาขาเราพร้อมพัฒนาและตอบสนองความต้องการผู้โดยสารพร้อมทั้งนำคำชมมาเป็นกำลังใจและน้อมรับคำติเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ผู้โดยสารคนพิเศษของเรา


อีกหนึ่งรางวัลยืนยันที่ไม่ใช่เพียงคำบอกเล่า  the Luxury Lifestyle Awards 2022  https://luxurylifestyleawards.com/news/first-class-concierge-services-for-stress-free-travel-with-the-executive-coral-lounge-thailand

GIT อวดโฉมเครื่องประดับสุดตระการตา“Glitter & Gold–The Brilliant Way of Gold Shine”

ในงานตัดสินการประกวด GIT World’s Jewelry Design Award 2023 สร้างศักยภาพนักออกแบบสู่สากล


30 สิงหาคม 2566: สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT จัดพิธีมอบโล่รางวัล พระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี  และประกาศผลผู้ชนะเลิศโครงการ GIT World’s Jewelry Design Awards 2023 ใน ธีม Glitter & Gold – The Brilliant Way of Gold Shine” ลุ้นรางวัลรวมมูลค่ากว่า 7,000 USD โดยได้รับเกียรติจาก นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี ณ ลานแฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน


การประกวดในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดนี้ “Glitter & Gold – The Brilliant Way of Gold Shine” เครื่องประดับที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสีทองอร่ามกับประกายระยิบระยับของอัญมณีหลากชนิดที่ผสมผสานเข้ากันจนเป็นงานสร้างสรรค์ที่ลงตัว โดยมีนักออกแบบต่างชาติส่งชิ้นงานจำนวน 497  ชิ้นงาน และจากประเทศไทย 273 ชิ้นงาน รวมผลงานที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือกเข้าร่วมประกวดมากถึง 770 ผลงาน  โดยสถาบันและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้ตัดสินรอบคัดเลือกแบบวาด และคัดเลือกจนเหลือ 30 แบบ และเลือกเฟ้นหาแบบวาดที่มีคะแนนสูงสุด 4 แบบวาด เพื่อนำไปผลิตเป็นเครื่องประดับ และแสดงผลงานพร้อมเหล่านางแบบในรอบชิงชนะเลิศ




นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ประธานกรรมการสถาบัน เผยว่า สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับถือได้ว่าเป็นสินค้าที่สร้างเม็ดเงินจำนวนมากให้กับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.21 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย  แม้ว่าล่าสุดตัวเลขมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 ได้มีการปรับตัวลดลงร้อยละ 15.52 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 8,714.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 7,361.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 4,198.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 9.01 


สำหรับโครงการประกวดออกแบบเครื่องประดับ GIT World’s Jewelry Design Awards เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ GIT ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 17 แล้ว เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ นักออกแบบ และบุคคลทั่วไปที่มีใจรักในการออกแบบและสนใจในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ได้มีเวทีและโอกาสในการแสดงศักยภาพและพัฒนาฝีมือให้เข้าสู่มาตรฐานระดับโลก สร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย และเปลี่ยนประเทศไทยจากประเทศผู้รับจ้างผลิต เป็นประเทศที่สามารถสร้างแบรนด์เครื่องประดับที่ได้รับการยอมรับระดับโลก เพื่อการตอกย้ำการเป็นประเทศผู้ผลิตและผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก




นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบัน เสริมว่า การจัดการประกวดนี้ ถือเป็นโอกาสที่สำคัญที่เราจะทำทั่วโลก และ นานาชาติ ได้เห็นถึงศักยภาพของนักออกแบบไทย โดยเฉพาะด้านอัญมณีและเครื่องประดับ นอกจากนี้เราจะเห็นได้ถึงเทรนด์ในการออกแบบซึ่งมาจากทั่วทุกมุมโลกที่น่าสนใจ 

ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้เป็นแนวทางสำหรับนักออกแบบอีกด้วย โดยแบบวาดที่มีคะแนนสูงสุด 4 ผลงาน จะถูกนำไปผลิตเป็นเครื่องประดับต้นแบบ และตัดสินรอบชิงชนะเลิศในช่วงเช้าของวันนี้ โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งในการตัดสินรอบสุดท้าย ผ่านการสวมใส่เครื่องประดับจริง ที่จะทำให้เห็นว่าเครื่องประดับต้นแบบที่นักออกแบบได้สร้างสรรค์มานั้น สามารถผลิตได้ตรงตามแบบที่วาด และเมื่อสวมใส่จริง มีความสวยงาม และเหมาะสมหรือไม่ 

และจากนั้นเรานำผลงานการออกแบบทั้ง 4 นี้ มาแสดงแฟชั่นโชว์อวดโฉมเครื่องประดับสุดอลังการให้กับทุกท่านที่สนใจในงานตัดสินการประกวด GIT World’s Jewelry Design Award 2023 นำทีมโดย คุณ อแมนด้า ชาร์ลีน ออบดัม มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ปี 2020 นักแสดงและนางเอกช่อง 3 

นอกจากนี้ภายในงานยังได้จัดแสดงผลงานการออกแบบของนักออกแบบที่เข้ารอบทั้ง 30 ผลงานอีกด้วย โดยปีนี้ GIT Popular Design Award 2023 มีผู้ร่วมโหวตผลงานจากทั่วทุกมุมโลก กว่า 600,000 คะแนน และ ผลงานที่ได้รับรางวัล คือ JDA127 คุณชาญชัย ดวงระหว้า นักออกแบบชาวไทย จากผลงานชื่อ ใบตอง ด้วยคะแนนโหวต 322,322 คะแนน ส่วนรางวัลชนะเลิศ ชื่อผลงาน  Golden Hour หรือ ช่วงเวลา
ดั่งต้องมนต์สะกด ออกแบบโดย คุณศิริชัย บุญประเทือง จากประเทศไทย



ส่วนรางวัลชนะเลิศ ชื่อผลงาน  Golden Hour หรือ “ช่วงเวลาดั่งต้องมนต์สะกด” ออกแบบโดย คุณศิริชัย บุญประเทือง จากประเทศไทย
รางวัลที่ 2 ชื่อผลงาน Line ออกแบบโดย เนตรนภา ส่งเสียง จากประเทศไทย 
รางวัลที่ 3 ชื่อผลงาน Time ออกแบบโดย Xueer Song ดีไซเนอร์ชาวจีน  
รางวัลที่ 4 ชื่อผลงาน  Volcano eruption ออกแบบโดย Zahraa Mohamed Haji ดีไซเนอร์ ชาว บาห์เรน




สำหรับผู้ที่สนใจและรักการออกแบบเครื่องประดับที่พลาดสำหรับการเข้าร่วมประกวดในครั้งนี้
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการประกวดการออกแบบ ได้ที่ www.facebook.com/gitwjda
ซึ่งแน่นอนว่าในครั้งหน้า หัวข้อการประกวดจะต้องมีความท้าทายมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน” ผู้อำนวยการสถาบัน กล่าวปิดท้าย

นิปปอนเพนต์จัดกิจกรรมขอบคุณลูกค้าพาเหินฟ้าสวิตเซอร์แลนด์-อิตาลี


ปรัชญา ดำประภา ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท นิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด หน่วยธุรกิจสีพ่นซ่อมรถยนต์ จัดกิจกรรมพิเศษนำลูกค้าศูนย์บริการทั่วประเทศมากกว่า 30 คน เหินฟ้าพาท่องเที่ยวชมความงามของ ประเทศที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังของธรรมชาติ เทือกเขาสูงๆ และวิวทะเลสาบสวยๆ ดังสมญานาม "หลังคาแห่งทวีปยุโรป"  ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และไปต่อกันอีกที่ เมืองแห่งประวัติศาสตร์และอารยธรรมโรมัน ของประเทศอิตาลี ซึ่งกิจกรรมนี้ เป็นกิจกรรมของสายงานดูแลลูกค้า ทั้งนี้  บริษัท นิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด หน่วยธุรกิจสีพ่นซ่อมรถยนต์ ให้ความสำคัญกับลูกค้า พาร์ทเนอร์ คู่ค้าทางธุรกิจ อย่างเสมอมา  เพื่อแทนคำขอบคุณที่ให้การสนับสนุนยอดขายของนิปปอนเพนต์เติบโต และประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง รวมถึงตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสีพ่นซ่อมรถยนต์ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์-อิตาลี เมื่อเร็วๆ นี้





กระทรวงพลังงาน สมาคมยานยนต์ไฟฟ้า และ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เชื่อมไทยสู่เวทีระดับภูมิภาค

พร้อมรับมือวิกฤตโลกร้อนด้วยการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาดในงาน ASEAN Sustainable Energy Week และ Electric Vehicle Asia 2023



อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เชื่อมโอกาสไทยสู่ภูมิภาคอาเซียน ผสานความร่วมมือ กระทรวงพลังงาน สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และภาคีเครือข่ายภาครัฐ-เอกชน พร้อมรับมือวิกฤตโลกร้อนด้วยการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาด เดินหน้าเปิดงาน ASEAN Sustainable Energy Week (ASEW) และ Electric Vehicle Asia (EVA) 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่  33 งานมหกรรมเทคโนโลยีและการประชุมนานาชาติด้านพลังงานทดแทน สิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ครบครันที่สุดของภูมิภาค

ปัญหาเรื่อง การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่มีผลต่อทุกภูมิภาคในโลก ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตทุกระบบนิเวศในวงกว้าง ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้มีการประกาศว่าโลกของเราก้าวข้ามจากยุค "ภาวะโลกร้อน" ไปสู่ "ภาวะโลกเดือด" และที่สำคัญมีการคาดการณ์ว่าหากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นอีก 1-2 องศาเซลเซียส จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นวันนี้ทุกภาคส่วนต้องเตรียมพร้อมรับมือและทำงานร่วมกันเพื่อเร่งแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเร็ววัน ประเทศไทยวางเป้าหมายเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ จากความสำคัญดังกล่าวผนวกกับการขานรับนโยบายพลังงานสะอาดของไทย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ในฐานะผู้นำธุรกิจด้านการจัดงานแสดงสินค้า และกิจกรรมทางธุรกิจระดับภูมิภาค สานต่อความร่วมมือกระทรวงพลังงาน สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมทั้งจากไทยและต่างประเทศ ร่วมกันเปิดงาน ASEAN Sustainable Energy Week (ASEW) และ ELECTRIC VEHICLE ASIA (EVA) 2023 เพื่อเชื่อมต่อโอกาส สร้างองค์ความรู้และขยายกรอบการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนขานรับนโยบายสำคัญขับเคลื่อนไทยเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาดสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน


นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงานได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่เชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 โดยกระทรวงพลังงานได้เดินหน้าเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคพลังงานเพื่อให้สอดคล้องกับแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan: NEP) ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและพลังงานที่ยั่งยืน อาทิ การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดสำหรับการผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าใหม่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ภายในปี ค.ศ. 2040 รวมทั้งส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้มีสัดส่วนร้อยละ 30 ภายในปี ค.ศ.2030 โดยวางเป้าหมายที่สำคัญให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุคสังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต ซึ่งกระทรวงพลังงานเชื่อมั่นว่าเวทีนี้จะเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับทุกภาคส่วนเพื่อขานรับกับเป้าหมายของประเทศที่กำหนดไว้ต่อไป


นายกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า วันนี้ตามท้องถนนเราเห็นยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นรวมทั้งสถานีชาร์จที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศกว่า  4,600 แห่ง โดยอุปสงค์ดังกล่าวได้รับการสนับสนุนที่ดีจากภาครัฐ อาทิ นโยบายลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการให้เงินอุดหนุน 18,000 บาทต่อคันสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ โดยทางสมาคมฯ เราถือเป็นอีกภาคส่วนที่เข้ามาเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้ใช้งาน  ผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้ผลิต ผ่านเวทีการจัดงานสำคัญระดับภูมิภาคอย่าง EVA 2023 โดยปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 8 ภายในงานมีการจัดสัมมนาวิชาการ iEVTech 2023 ในหัวข้อ Shaping the Future of Electric Vehicle Ecosystem เพื่อร่วมกันอัปเดรตเทรนด์และทิศทาง รวมถึงโอกาสและความได้เปรียบของไทยเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าจะสร้างประโยชน์ในวงกว้างให้กับผู้เข้าร่วมงาน ตลอดจนสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับยานยนต์พลังงานสะอาดให้กับสังคมไทยมากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายในอนาคตร่วมกันสู่การเป็นศูนย์กลางด้านยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค

นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธาน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศผ่านการจัดงาน ASEAN SUSTAINABLE ENERGY WEEK ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีจากทุกภาคส่วนนำโดยกระทรวงพลังงาน สมาคม สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และเครือข่ายของพันธมิตรด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมชั้นนำจากทั่วโลก โดยการจัดงานในปีนี้ชูแนวคิด “Powering the Clean Energy Transition Toward Carbon Neutrality Goal” หรือ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งเวทีนี้ที่จัดต่อเนื่องมากว่า 3 ทศวรรษ เราเชื่อมั่นว่างานนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการนำพาประเทศไทยเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดสู่สังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต สอดรับกับเป้าหมายของโลก


สำหรับการจัดงานในปีนี้ ได้ขนทัพเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อมครบวงจร บนพื้นที่กว่า 20,000 ตร.ม.โดยได้รวบรวมแบรนด์ชั้นนำระดับโลกกว่า 1,500 แบรนด์ อาทิ ABB, Delta, Oriental Copper, Anest Iwata และ Siemens เป็นต้น พร้อมพาวิเลียนนานาชาติกว่า 8 ประเทศ ทั้ง เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลี จีน สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และไต้หวัน เพื่อเชื่อมโอกาสและสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายทางธุรกิจจากทั่วโลก และไฮไลท์ที่สำคัญคือ การประชุมและสัมมนาระดับนานาชาติกว่า 200 หัวข้อ โดยครอบคลุมในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ได้จัดร่วมกับงาน Electric Vehicle Asia (EVA) 2023 อีกเวทีสำคัญของวงการยานยนต์ไฟฟ้าที่รวบรวมผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวข้องใน EV Eco System และ Value Chain ทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำไว้ในงานเดียว โดยเฉพาะการประชุมนานาชาติด้านยานยนต์ไฟฟ้า iEVTech 2023 ที่ในปีนี้ได้ขนทัพกูรูชื่อดังในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า มาอัปเดรตเทรนด์สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างพื้นฐาน แบตเตอรี่ และยานยนต์ไร้คนขับ  ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานกว่า 25,000 คน จากทั่วภูมิภาค โดยทุกภาคส่วนเชื่อมั่นว่า "เวทีนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของภูมิภาคในอนาคต"




มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งสู่การขานรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาดครั้งสำคัญในงาน ASEAN Sustainable Energy Week (ASEW) และ Electric Vehicle Asia (EVA) 2023 ปีนี้จัดควบคู่กับงาน Pumps & Valves Asia (PVA) 2023 งานแสดงเทคโนโลยีเฉพาะทางที่รวมเทคโนโลยีด้านปั๊ม วาล์ว ท่อ ข้อต่อ และอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ระดับภูมิภาค โดยการจัดงานทั้งหมดนี้ถือเป็นเวทีระดับภูมิภาคหนึ่งเดียวของไทยที่รวบรวมนวัตกรรม และเทคโนโลยีสีเขียวที่ครบครัน และใหญ่ที่สุดแห่งปีไว้ในงานเดียว จัดระหว่างวันที่ 30 ส.ค.-1 ก.ย.66 ที่ ฮอลล์ 1-4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.asew-expo.com และ www.evasia-expo.com หรือโทร  02-0360500

โครงการ ขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ผู้ใช้จักรยานยนต์ปลอดภัย

วอนรัฐบาลใหม่จัดการปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน หลังไทยติดอันดับ 9 ของโลก ล่าสุดแค่ 8 เดือนแรกของปี 66 คนไทยตาย-บาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรแล้ว กว่า 4 แสนราย เปิดสถิติ 5 ปี วัยรุ่นไทยตายจากมอร์เตอร์ไซค์ล้มเอง (2562-2566) สูงถึง 4.4 พันราย บาดเจ็บร่วม 5 แสน 

 อุบัติเหตุจากรถมอร์เตอร์ไซค์ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทยที่ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ยังไม่สามารถแก้ไขให้จำนวนการตายและบาดเจ็บจากรถมอร์เตอร์ไซค์ลดลงได้ ล่าสุด พญ.ชไมพันธุ์ สันติกาญจน์ อดีตที่ปรึกษาประจำองค์การอนามัยโลก ภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ด้านป้องกันการบาดเจ็บและภาวะพิการ และผู้รับผิดชอบโครงการ ขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ผู้ใช้จักรยานยนต์ปลอดภัย เปิดเผยว่า ตนได้เคยทำหนังสือ ถึงนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลที่แล้ว ตั้งแต่ปี 2564 ให้เร่งรัดติดตามการขับเคลื่อนงานเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงหลักที่รับผิดชอบด้านการคมนาคมและขนส่ง ก็มิได้ดำเนินงานด้านความปลอดภัยจักรยานยนต์ ตามภารกิจหลักและนโยบายของนายกฯ เรื่องเด็กแว้น จนล่าสุดมีการตายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ส่งผลเสียต่อประเทศ ประชาชน และงบประมาณราชการในการรักษาพยาบาล


พญ.ชไมพันธุ์ กล่าวว่า ข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังการบาดเจ็บ( Injury Surveillance : IS) ของศูนย์ความร่วมมือด้านข้อมูลการบาดเจ็บ กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค เปิดเผยสถิติอุบัติเหตุในรอบปี 2566 ข้อมูล ณ วันที่ 30 ส.ค. 2566 พบว่า ในปีนี้ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว 413,964 ราย แยกเป็นบาดเจ็บ 407,294 ราย และ เสียชีวิต 6,670 ราย ขณะที่สถิติอุบัติเหตุจากการล้มเองของการขับขี่รถมอร์เตอร์ไซค์ ในรอบ 5 ปี  (2562-2566) พบว่า มีจำนวนถึง 487,453 คน คืดเป็น 48.03% ในจำนวนนี้เป็นผู้บาดเจ็บ 482,968 คน และเสียชีวิต 4,485 ราย สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสียที่ป้องกันได้และไม่ควรเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อผู้เสียชีวิตเป็นวัยรุ่นอาอยุ 15-24 ปีที่เป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศ 

“อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขและทำให้เห็นผลเป็นรูปธรรมในทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมาย ถนน วินัยการจราจร ระบบความปลอดภัย ที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ ที่ถ้ามีมาตรการที่แข็งแรงพอจะสามารถป้องกันและลดความสูยเสียที่เกิดขึ้นได้”  อดีตที่ปรึกษาประจำองค์การอนามัยโลก ภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ด้านป้องกันการบาดเจ็บและภาวะพิการ กล่าวและว่า ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก WHO ระบุว่าประเทศไทยมีอัตราตายจากอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก โดยรถจักรยานยนต์ยังคงครองแชมป์อันดับหนึ่งตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งๆที่จักรยานยนต์ยังจะเป็นรูปแบบการเดินทางที่สำคัญยิ่งของประเทศไทยทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า 

29 สิงหาคม 2566

“บีไชน์ เนเจอร์ซี” ร่วมแคมเปญ “แสตมป์เซเว่น อีเลฟเว่น”

จัดโปรพิเศษ ราคาคุ้ม1 ซอง 49 บาท รับแสตมป์ 3บาท 5 ดวง มูลค่า 15บาท ที่เซเว่น อีเลฟเว่นทุกสาขา

บริษัท บีไชน์ นูทริชั่น พลัส จำกัด จัดโปรพิเศษ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” ร่วมแคมเปญ “แสตมป์เซเว่น อีเลฟเว่นป่วนสนุก BROWN & MINIONS” ที่มาพร้อมการ์ตูนคาแรคเตอร์ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว น่ารักปนซ่าส์ สนุกสนาน มีเสน่ห์ อ่อนโยน สไตล์บราวน์และมินเนี่ยน เมื่อซื้อ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” วิตามินซีธรรมชาติ 100 % แบบซองพกพาสะดวก ขนาด 6 เม็ด ซื้อ 1 ซอง ราคา 49 บาท รับแสตมป์มูลค่า 3 บาท จำนวน 5 ดวง รวมมูลค่า 15 บาท สามารถซื้อ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” ราคาดี คุ้มมาก พร้อมรับแสตมป์ ได้ตั้งแต่วันนี้ - 23 กันยายน 2566 ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ

“บีไชน์ เนเจอร์ซี” (B Shine NaturC) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินซีจากธรรมชาติ 100% อะเซโรลา เชอร์รี่ สกัดเข้มข้นจากสหรัฐอเมริกา ผสานคุณประโยชน์ของสารสกัดจากผักและผลไม้ ที่อุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์และสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ดีต่อผิวและสุขภาพ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” เป็นวิตามินซีธรรมชาติ จึงสามารถในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี และไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร แบบเม็ด ทานง่าย 

ส่วนประกอบสำคัญใน 1 เม็ด : ประกอบด้วย อะเซโรลา เชอร์รี่ สกัด 1000 มก., ซิตรัสไบโอฟลาโวนอยด์ 100 มก., เบอร์รี่มิกซ์ 120 มก. (สตรอเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, ราสพ์เบอร์รี่, เอลเดอร์เบอร์รี่, แบล็คเคอร์เรนท์, เรดบีท), สารสกัดจากทับทิม 47.50 มก., สารสกัดจากเมล็ดลิ้นจี่ 23.75 มก.,แคโรทีนอยด์ 7.5% 23.75 มก.

รับประทานง่ายๆ เพียงวันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร มื้อเช้าหรือเย็น วิตามินซีเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหาร ผักและผลไม้ หรือทานอาหารเสริม และควรต้องเป็นวิตามินซีที่สกัดจากธรรมชาติ ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีกว่าวิตามินสังเคราะห์ วิตามินซีมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ อาทิเช่น มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ, ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้น, ดีต่อสุขภาพผิวและริ้วรอย, ป้องกันการเป็นหวัด, ลดอาการภูมิแพ้,ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมผลิตภัณฑ์ “บีไชน์ เนเจอร์ซี” วิตามินซีธรรมชาติ 100% แบบซองพกพาสะดวก
นำติดตัวไปได้ทุกที่ได้ง่ายๆ ที่จะทำให้ไม่พลาดทานวิตามินซี เพื่อเสริมภูมิต้านให้สุขภาพที่ดีของร่างกาย ได้ที่ www.bshine.co.th, FB : https://www.facebook.com/BnpHealth และ Line : @Bshine

“ไทยรัฐกรุ๊ป” จัดกิจกรรม ROAD TO NET ZERO : CHANGE FOR SUSTAINABILITY

“ไทยรัฐกรุ๊ป” จัดกิจกรรม ROAD TO NET ZERO : CHANGE FOR SUSTAINABILITY  สร้างความเข้าใจ ปลูกจิตสำนึก เพื่อความยั่งยืนของโลก สอดคล้องกับ ททท.ที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิ  เป็นศูนย์ (Net Zero Tourism) ชี้ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ภาคเอกชนที่ร่วมทำการตลาดกับ ททท.ต้องได้มาตรฐานด้านความยั่งยืนเท่านั้น ด้านมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีเป้าหมายเข้าไปฟื้นฟูป่าชุมชนทั่วประเทศ 6 ล้านไร่ “กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา” ดารานักแสดง-นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ชวนเที่ยวแบบมีขยะน้อยชิ้นที่สุด

​นางสาวจิตสุภา วัชรพล ผู้บริหารไทยรัฐกรุ๊ป เปิดเผยว่า ไทยรัฐกรุ๊ปตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ที่นับว่าเป็นมหันตภัยร้ายแรงของโลก และของประเทศไทย สื่อในเครือ “ไทยรัฐกรุ๊ป” ประกอบไปด้วย หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ เว็บไซต์ และโซเชียลมีเดีย และได้รับการสนับสนุนจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)    มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และผลิตภัณฑ์ Eucerin จึงได้จัดกิจกรรม ROAD TO NET ZERO : CHANGE FOR SUSTAINABILITY ขึ้นในรูปแบบของนิทรรศการผสมผสานการเสวนา เพื่อสร้างความเข้าใจ ปลูกจิตสำนึก เพื่อความยั่งยืนของโลกและประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เรื่องการท่องเที่ยวที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิ เป็นศูนย์ (Net Zero Tourism)  


กิจกรรม ROAD TO NET ZERO : CHANGE FOR SUSTAINABILITY จัดขึ้นในวันที่ 29-30 สิงหาคม 2566 ณ ลานกิจกรรม ชั้น G โซน SEMI OUTDOOR ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ภายในงานจะมีนิทรรศการ   ให้ความรู้เกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจก และประชาสัมพันธ์ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวแบบ Low Carbon และ บูธกิจกรรม ต่างๆ อาทิ บูธบริจาค เสื้อผ้ามือสอง โดยไทยรัฐกรุ๊ป บูธจากผู้ประกอบการด้านโรงแรม บูธสินค้าจากวิสาหกิจชุมชน และกิจกรรมการผลิตสวนในขวดแก้ว และเปิดพื้นที่กิจกรรม "Road to Net Zero" ให้กลุ่มเป้าหมาย     เข้าร่วม

ทั้งนี้ ในวันที่ 29 สิงหาคม 2566 ได้จัดให้มีเสวนา ในหัวข้อ “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และท่องเที่ยวแบบรักษ์โลก” โดยเชิญนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางสาวสุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสิ่งแวดล้อม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายกรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา ดารานักแสดง-นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เข้าร่วมตลอดจนมีการบรรยายสร้างแรงบันดาลใจ ภายใต้หัวข้อ "การสร้างแหล่งท่องเที่ยว แบบ Net Zero"   

โดย ตัวแทนจากผู้เข้าร่วมโครงการ STGs Youth Camp ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พิธีกรร่วมพูดคุยกับ  คุณบอส และ คุณโนอึล นักแสดงจากซีรีย์ เรื่อง บรรยากาศรัก ในมุมมองแนวคิด "การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยว แบบ Net Zero" และมินิคอนเสิร์ต โดย คุณบอส และ คุณโนอึล

จากนั้นในวันที่ 30 สิงหาคม 2566 มีเวทีพูดคุยกับ คุณซันนี่ คุณปลั๊กไฟ นักแสดงจากชีรีย์ เรื่อง Wedding Plan ในมุมมองแนวคิด "การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยว แบบ Net Zero" มินิคอนเสิร์ตโดย คุณซันนี่  คุณปลั๊กไฟ นักแสดงจากชีรีย์ เรื่อง Wedding Plan พร้อม มินิคอนเสิร์ต โดยวงดนตรี จาก นักศึกษา

ขณะเดียวกัน สื่อในเครือ “ไทยรัฐกรุ๊ป” ประกอบไปด้วย หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ เว็บไซต์ และโซเชียลมีเดีย จะให้ความสำคัญกับการนำเสนอข่าวและสกู๊ปข่าวที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความเข้าใจ ปลูกจิตสำนึก       เพื่อความยั่งยืนของโลก ซึ่งทางไทยรัฐทีวี มีการผลิตแอนิเมชั่น ให้ความรู้ ด้าน Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์  ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยจากกิจกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นมีภาวะสมดุลกับการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศของโลก ภายใต้ ชื่อ ย.ยักษ์ รักษ์โลก  โดย ย.ยักษ์ ยักษ์เขียว เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความเป็นไทยรัฐ ที่จะมาสร้างความเข้าใจ และปลูกจิตสำนึก ให้ประชาชนได้ตระหนัก         ถึงความสำคัญในการช่วยโลกให้ยั่งยืน

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท. ได้มุ่งขับเคลื่อนการท่องเที่ยวด้วยเป้าหมายการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(Sustainable Tourism Goals : STGs) และมุ่งสู่ Net Zero Tourism หรือการท่องเที่ยวที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ โดยได้พัฒนาจากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน Sustainable Development Goals (SDGs) 17 เป้าหมายของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) พื่อนำไปสู่การดำเนินการพัฒนาตามบริบททางการท่องเที่ยว และจัดทำคู่มือเกณฑ์มาตรฐานท่องเที่ยวยั่งยืน “STGs Easy” ให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐานความยั่งยืน Sustainable Tourism Acceleration Rating (STAR) ให้สินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว มีมาตรฐานในการให้บริการอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในอนาคต 

“ในปี 2568 เป็นต้นไป ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภาคเอกชนที่จะร่วมงานกับ ททท.จะต้องเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับมาตรการด้านความยั่งยืน หรือมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม มาตรฐานใด มาตรฐานหนึ่งเท่านั้น จึงจะร่วมงานกับ ททท.ในการทำการตลาดท่องเที่ยวได้ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในประเทศหรือต่างประเทศ”


 
โดยอาจจะเป็นมาตรฐานที่จัดทำโดยหน่วยงานอื่น หรือ มาตรฐานด้านความยั่งยืนของ ททท.ประกอบด้วย โครงการ STAR : Sustainable Tourism Acceleration Rating ที่ต้องผ่านเกณฑ์การประเมินตนเอง ตามคู่มือ STGs Easy ประกอบด้วย 3 ระดับ คือ 3 ดาว 4 ดาว และ 5 ดาว หรือ โครงการ CF-Hotels สำหรับธุรกิจโรงแรม ที่มีการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีกิจกรรมต่างๆ ในการลดผลกระทบ   ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของโรงแรม และโครงการ Thailand Tourism Awards ที่ได้เพิ่มรางวัลประเภทการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน (Low Carbon & Sustainability) ให้กับแหล่งท่องเที่ยว ที่พักนักท่องเที่ยว การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รายการนำเที่ยว หรือสถานประกอบการอื่นๆ  อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการที่ยังไม่เข้ามาตรฐานเหล่านี้ ททท.จะเป็นพี่เลี้ยงให้เข้าร่วมโครงการใด โครงการหนึ่ง เพื่อนำไปสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนร่วมกัน และททท.จะส่งเสริมผู้ประกอบการกลุ่มนี้ได้ลูกค้าจากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย

นางสาวสุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสิ่งแวดล้อม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์  กล่าวว่า  มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ร่วมมือภาครัฐ ชุมชน และ 14 เอกชนชั้นนำ ขยายผล “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ใน 77 ป่าชุมชน ตั้งเป้าหมายในปี 2566 จำนวน 100,000 ไร่ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชน 500 ล้านบาท และกักเก็บคาร์บอน 500,000 ตัน   พร้อมวางเป้าหมายในปี 2567 จะมีภาคเอกชนเข้ามาร่วมมือมากขึ้น เพื่อขยายงานครอบคลุมพื้นที่อีก 150,000 ไร่ นำไปสู่เป้าหมายผลิตคาร์บอนเครดิต 1 ล้านตัน ภายในปี 2570 ภายใต้ความมุ่งหวังสร้างป่าที่สมบูรณ์ควบคู่ไปกับการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้ชุมชน เป็นการช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปได้พร้อมๆกัน เพราะชุมชนจะช่วยดูแลป่าขณะที่ภาคเอกชนที่ร่วมโครงการสามารถนำคาร์บอนเครดิตที่เข้าร่วมในโครงการนี้ ไปหักลบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการดำเนินกิจการได้ โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงตั้งเป้าหมายให้โครงการนี้คลอบคลุม ป่าชุมชนทั่วประเทศ 6 ล้านไร่ ซึ่งการไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้เร็วเท่าใดขึ้นอยู่กับการเข้ามาร่วมมือของทุกภาคส่วน

นายกรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา ดารานักแสดง-นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กล่าวว่าการท่องเที่ยวแบบ NET ZERO หรือ คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (carbon neutral tourism) สามารถทำได้โดยลดการใช้พลังงาน ลดการใช้เชื้อเพลิงคาร์บอน หันมาเดิน วิ่ง ปั่นจักรยานหรือพายเรือ เพื่อสัมผัสชีวิตชุมชนที่ได้ไปเยี่ยมเยืยน ลองให้ชีวิตได้ศึกษาหาความรู้จากธรรมชาติและใช้ชีวิตให้ช้าลง กินอยู่เรียบง่าย ใช้ขยะให้น้อยชิ้นที่สุด

28 สิงหาคม 2566

ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว(ช.ส.ท)เยือนอุดรธานี 3 วัน 2 คืน

 เยือนอุดรธานี  : ดินแดนแห่ง 3 ธรรม  ธรรมมะ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม


วันนี้ ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พาไปเที่ยว อีสาน ด้วยกันที่ จังหวัดอุดรธานี ถิ่นธรรมชาติสวย วัดสวย เมืองงาม มีทั้ง ศิลปะ วัฒนธรรม จุดนัดพบพร้อมกัน ณ สถานีบริการน้ำมัน ปตท. ถนนวิภาวดีรังสิต ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยออกเดินทางไปจังหวัดอุดรธานี โดยรถบัสปรับอากาศ  วันที่ 25 สิงหาคม 2566 ถึงจังหวัดอุดรธานี  


นำโดยประธานชมรม คุณวรางคณา สุเมธวัน คณะกรรมการบริหารชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว และสื่อมวลชนจากกรุงเทพมหานคร เดินทางมายังจังหวัดอุดรธานี ดินแดนแห่ง 3ธรรม ธรรมะ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม ในระหว่างวันที่ 24-27 สิงหาคม 2566 เพื่อเยี่ยมชม อัพเดทสถานที่ท่องเที่ยว และนำเสนอข้อมูลต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่องการท่องเที่ยวจังหวัดอุดรธานี และเป็นข้อมูลให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว ที่จะเดินทางท่องเที่ยวยังจังหวัดอุดรธานี  โดยคณะสื่อมวลชน ร่วมเดินทาง ชวนไปเที่ยว พักผ่อน
นอนพัก เช็คอิน กินของอร่อย ตามไปดูกันเลยว่าสถานที่ท่องเที่ยว รวมทั้งจุดแวะเที่ยวที่น่าสนใจระหว่าง พร้อมกันหรือยังตามทีมงาน toptotravel มาด้วยกันเลยค่ะ

วรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรม

ไป อุดรธานี เที่ยวไหนดี?  จังหวัดอุดรธานี เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ครบทุกอย่าง แถมค่าใช้จ่ายก็ราคาถูกมาก แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 20 อำเภอ  ได้แก่ อำเภอเมืองอุดรธานี อำเภอหนองวัวซอ อำเภอหนองหาน อำเภอบ้านผือ อำเภอบ้านดุง อำเภอกุมภวาปี อำเภอโนนสะอาด อำเภอเพ็ญ อำเภอน้ำโสม อำเภอกุดจับ อำเภอศรีธาตุ อำเภอวังสามหมอ อำเภอ ทุ่งฝน อำเภอสร้างคอม อำเภอไชยวาน อำเภอหนองแสง อำเภอนายูง อำเภอพิบูลย์รักษ์ อำเภอกู่แก้ว และอำเภอประจักษ์ศิลปาคม และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ทีมงานไปบอกเลยว่าเป็นที่เที่ยวที่มีทีเด็ดไม่น้อยไปกว่าจังหวัดอื่นๆ อย่างแน่นอน


ทีมงานเดินทางช่วงกลางคืน โดยรถบัส พร้อมบริการโดยไกด์มืออาชีพ  จาก บริษัท นฤมลทัวร จุดเริ่มต้นของการเดินทางในทริปนี้ จากปั้มน้ำมัน ปตท. สถานีถนนวิภาวดีรังสิต  เดินทางถึงจังหวัดอุดรธานีช่วงเช้า จุดเริ่มต้นของการเดินทางรวมตัวกันที่ร้านอาหารเช้าชื่อดังที่ทีมงานมาถึง เจ็ดโมงเช้า ลูกค้าเต็มร้านเลย ....


รับประทานอาหารเช้า ณ ร้านคิงส์โอชา   
คิงส์โอชา ร้านดังเมืองอุดร ไม่กินถือว่าพลาดร้านคิงส์โอชา ร้านอาหารเช้าเก่าแก่ของเมืองอุดรธานี เปิดมาแล้วกว่า 20 ปี เป็นสูตรจากรุ่นคุณแม่ที่ค่อยๆ ปรับให้ถูกปากคนอุดรธานี ใครที่มาอุดรต้องไม่พลาดมาทานอาหารเช้าที่นี่เป็นอันขาด จุดเด่นของร้านนี้คือราคาสบายกระเป๋า เริ่มต้นที่ 12 บาทเท่านั้น เน้นอาหารสไตล์เวียดนาม มาแล้วต้องสั่งไข่กระทะ, ข้าวเปียก, ขนมปังยัดไส้, ข้าวเกรียบปากหม้อ และสตูว์ไก่ ชิ้นใหญ่ ราคาเพียง 50 บาท



ร้านคิงส์โอชา เวลาเปิด-ปิด 03.30-11.00 น.
Facebook : https://www.facebook.com/pg/RanKhingSXochaXaHarCheaEleaKheruxngDum



เดินทางไป แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง : มรดกโลก
วัฒนธรรมบ้านเชียงจึงนับว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของโลก มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานนับพันปี โดยมีการพัฒนาการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่บ้าน รู้จักปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่เริ่มแรกคือเมื่อประมาณ 5,600 ปีมาแล้ว รวมทั้งมีการจัดระบบเช่น การฝังศพเป็นประเพณีสืบทอดกันมาหลายสมัย นับเป็นหลักฐานสำคัญในการศึกษาเรื่องการจัดระบบสังคมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญทางด้านเทคโนโลยี เช่น "การผลิตภาชนะดินเผาด้วยฝีมือระดับสูง" การผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ทำด้วยโลหะโดยเป็นการประดิษฐ์คิดค้นที่มีวิธีการเป็นของวัฒนธรรมบ้านเชียงเอง มิได้รับอิทธิพลจากจีนหรืออินเดียตามที่เคยเข้าใจกัน



พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง  
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง ที่สร้างขึ้นในพื้นที่ของ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง หนึ่งในแหล่งโบราณคดีที่สำคัญที่สุดของไทยนี้ และยังได้รับเลือกเป็นแหล่ง มรดกโลกทางวัฒนธรรม อีกด้วยค่ะ โดยภายในจะจัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ มากมาย ทั้ง เรื่องราวของชาวไทพวน งานศึกษาทางด้านโบราณคดีที่บ้านเชียง การขุดค้นพบโบราณวัตถุต่างๆ เป็นต้น 

การจัดแสดงนิทรรศการ และ ส่วนการบริการต่างๆ
1.อาคาร ‘สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นอาคารศูนย์รวมส่วนบริการต่างๆ ได้แก่ จุดประชาสัมพันธ์และจำหน่ายบัตรเข้าชม ห้องประชุม และห้องจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน

2.อาคาร ‘กัลยาณิวัฒนา’ เป็นอาคารจัดแสดงนิทรรศการหลัก ประกอบไปด้วยส่วนจัดแสดงย่อยจำนวน 9 ส่วน

o ส่วนจัดแสดงที่ 1 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับบ้านเชียง ส่วนจัดแสดงนี้บอกเล่าถึงการเสด็จประพาสในปีพ.ศ. 2515 ซึ่งนำพาความร่วมมือจากองค์กรต่างๆ ในการศึกษาและการพัฒนาแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง และแหล่งอื่นๆ ในประเทศไทย พระราชปุจฉาซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสถามเมื่อคราวเสด็จนั้นถูกนำมาจัดแสดงในส่วนนี้เพื่อเกริ่นนำถึงขั้นตอนการศึกษาทางด้านโบราณคดีเบื้องต้น

o ส่วนจัดแสดงที่ 2 การดำเนินงานทางโบราณคดีที่บ้านเชียง นำเสนอลำดับเวลาการศึกษาทางด้านโบราณคดีในบ้านเชียง โดยเน้นเหตุการณ์สำคัญ รวมถึงบุคลากรที่มีส่วนสำคัญทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ

o ส่วนจัดแสดงที่ 3 การปฏิบัติงานทางโบราณคดีที่บ้านเชียง แสดงถึงขั้นตอนการทำงานและการศึกษาระหว่างการขุดค้นโดยนักโบราณคดีระหว่างปี พ.ศ. 2517 - 2518 เช่น การแบ่งประเภทและวิเคราะห์โบราณวัตถุที่พบ รวมถึงวีดี  ทัศน์บทสัมภาษณ์ชาวบ้านในท้องถิ่น

o ส่วนจัดแสดงที่ 4 บ้านเชียง: หลุมขุดค้นทางโบราณคดี ฉากและบรรยากาศจำลองแสดงสภาพหลุมขุดค้นระหว่างปี พ.ศ. 2517 - 2518 โดยผู้เข้าชมสามารถเยี่ยมชมและสังเกตขั้นตอนการทำงานภายในหลุมขุดค้นจำลองอย่างใกล้ชิด

o ส่วนจัดแสดงที่ 5 โบราณวัตถุจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดโพธิ์ศรีในโบราณวัตถุที่ถูกพบในหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีในถูกนำมาจัดแสดงในส่วนจัดแสดงนี้ 

โดยแบ่งออกตามสมัยของวัฒนธรรมบ้านเชียง ทั้ง 3 สมัย เช่น เครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เครื่องประดับจากวัสดุธรรมชาติ แก้ว หิน และโลหะ

o ส่วนจัดแสดงที่ 6 วัฒนธรรมบ้านเชียงยุคก่อนประวัติศาสตร์  จัดแสดงฉากจำลองและโบราณวัตถุเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในวัฒนธรรมบ้านเชียง โดยจำลองบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมในช่วงสมัยดังกล่าว

o ส่วนจัดแสดงที่ 7 บ้านเชียง: การค้นพบยุคสำริดที่หายสาบสูญ นิทรรศการนี้ถูกดัดแปลงมาจากนิทรรศการที่ถูกจัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียเพื่อการจัดแสดงในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศสิงคโปร์ โดยมีอธิบายการศึกษาทางโบราณคดีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีปโดยสังเขปจนถึงการค้นพบวัฒนธรรมในยุคสำริดที่แหล่งบ้านเชียง

o ส่วนจัดแสดงที่ 8 บ้านเชียง: มรดกโลก จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงได้รับเลือกเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2535 ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อที่ 3 “เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว”

o ส่วนจัดแสดงที่ 9 การกระจายตัวของวัฒนธรรมบ้านเชียง จัดแสดงโบราณวัตถุที่ถูกพบระหว่างการสำรวจจากแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ใกล้เคียง

กับพื้นที่แหล่งบ้านเชียงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 เพื่อศึกษาการกระจายตัวของวัฒนธรรมบ้านเชียงในบริเวณแอ่งสกลนคร ปัจจุบันมีการค้นพบแหล่งโบราณคดีที่ได้รับอิทธิพลของ  วัฒนธรรมบ้านเชียงจำนวน 127 แหล่งกระจายตามลุ่มน้ำสำคัญในจังหวัดอุดรธานี สกลนคร และหนองคาย 

3.อาคารนิทรรศการไทพวน จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของชาวไทพวนซึ่งเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานในแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงในปัจจุบัน

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง
ค่าธรรมเนียม เข้าชมสำหรับคนไทย30บาท คนต่างชาติ 150 บาท
ที่อยู่ : หมู่ที่ 13 ถนนสุทธิพงษ์ ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
พิกัด : https://goo.gl/maps/uccAVb5Gb9fV7iYZ8 

เปิดให้เข้าชม : 09.00-16.00 น.
ค่าเข้าชม : ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท
เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/bcnmfinearts 


วัดสันติวนาราม
พุทธอุทยานวัดป่าดงไร่ "พระอุโบสถกลางน้ำทรงดอกบัว หนึ่งเดียวในสยาม" วัดสันติวนาราม (วัดป่าดงไร่) ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เป็นพระอุโบสถกลางน้ำทรงดอกบัว ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย  พระอุโบสถกลางน้ำ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง19 เมตร สูง 19 เมตร มีกลีบดอกบัว 24 กลีบ รูปภาพวาดบนผนังดอกบัว เป็นรูปภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติพระพุทธเจ้า มีองค์พระประธานสีขาว โดดเด่นอยู่ภายในอุโบสถ บริเวณโดยรอบอุโบสถโอบล้อมไปด้วยบึงน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีปลาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก สามารถให้อาหารปลาได้ วัดสันติวนาราม มีความสงบ ร่มรื่น สวยงาม มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย อยู่ห่างจากชุมชน 3 กิโลเมตร บนพื้นที่ 1,350 ไร่  ทิศเหนือของหมู่บ้านเชียง ตำบลบ้านเชียง (หมู่บ้านมรดกโลก ไหลาย คนแปดศอก) เป็นป่าไม้ธรรมชาติ 1,000 ไร่ เป็นหนองน้ำ 100 ไร่ เป็นสถานที่ปลูกสร้างเสนาสนะและลานอเนกประสงค์ 130 ไร่ มีไฟฟ้าน้ำใช้สะดวกสบายตลอดปี ถนนลาดยางถึงวัด ด้านหน้าล้อมด้วยกำแพงคอนกรีต ด้านที่เหลือล้อมด้วยลวดหนาม 7 เส้น เสาปูนคอนกรีตเสริมเหล็ก มีสัตว์ป่าธรรมชาติ เช่น กวาง หมี นกนานาชนิดนกน้ำมากมาย ฯลฯ การก่อสร้างพระอุโบสถกลางน้ำรูปทรงดอกบัว ถือว่ามีแห่งเดียวในประเทศไทย เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2544 ในสมัยพระครู พิสารธรรมพาธี อดีตเจ้าอาวาส ซึ่งมรณภาพได้นำรูปแบบ พระอุโบสถมาจากประเทศอินเดีย แต่การก่อสร้างยังไม่แล้ว เจ้าอาวาส ปัจจุบัน  คือ ดร.มหาบาง เขมานันโธ จึงได้สืบสานในการก่อสร้าง ให้แล้วเสร็จ

วัดสันติวนาราม วัดสวยอันยิ่งใหญ่
วัดที่โดดเด่นด้วย พระอุโบสถทรงดอกบัว ตั้งอยู่กลางน้ำอย่างสวยงาม และที่สำคัญมีเพียงหนึ่งเดียวในไทยเท่านั้นด้วย ด้านในอุโบสถนั้นจะตกแต่งผนังด้วยรูปภาพเกี่ยวกับ​พุทธ​ประวัติอย่างสวยงามมาก โดยพระอุโบสถดอกบัวนี้ จะมีขนาด 19x19 เมตร มีดอกบัวทั้งหมด 24 กลีบ พร้อมกับ พญานาค 2 ตัวบริเวณด้านหน้า และ มีสะพานทางไว้สำหรับเดินเข้าไปได้ถึงตัวอุโบสถ เสน่ห์ทางด้านศิลปะวัฒนธรรม วัดสวย เมืองงาม อีกทั้งยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

ที่อยู่ : หมู่ 11 ตําบลบ้านเชียง อําเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
พิกัด : https://goo.gl/maps/gsPyPw5vBNwvRnrh9 

เปิดให้เข้าชม : ทุกวัน


ชุมชนบ้านเชียง  ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ดินดำปั้นหม้อ ย้อมครามรวมกันอารยธรรมบ้านเชียง ...มรดกโลกทางวัฒนธรรม...กับวิถีไทยพวน แหล่งโบราณคดีสำคัญแห่งหนึ่งในประเทศไทยเป็นชุมชนที่มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยในสมัยก่อนประวัติศาสตร์  "หม้อลายเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ อนุรักษ์ธรรมชาติ...บึงนาคำ งามล้ำ...พุทธอุทยานอีสานเขียว แหล่งท่องเที่ยว...มรดกโลก "บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ถือได้ว่าเป็นหมู่บ้านแห่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่บอกเล่าถึงอารยธรรมของผู้คนในดินแดนประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากว่า 5,600 ปีมาแล้ว ชาวบ้านเชียงในปัจจุบันเป็นกลุ่มคนที่อพยพมาจากเมืองพวนของราชอาณาจักรลาวเมื่อ 200 ปี ทุกคนล้วนมีความมุ่งมั่นที่จะสืบสานและนำเสนออารยะของคนบ้านเชียงในยุคก่อนประวัติศาสตร์และเอกลักษณ์ของชาวไทยพวนรวมทั้งวัฒนธรรมในพื้นที่อิสาน ผ่านวิถีชีวิตและงานศิลปะ ทุกเส้นสายที่แต่งแต้มสีบนดินปั้น สื่อถึงอารยธรรมอันรุ่งเรืองในอดีตสืบเนื่องมาเป็นเวลากว่าหลายพันปี

ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมบ้านเชียง
ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
ติดต่อชุมชน : นายเศวตฉัตร บรรเทาทุกข์ โทรศัพท์ 086-221-3331


ไหว้พระ วัดโพธิสมภรณ์ วัดสวย กลางเมือง
เป็นวัดอารามหลวงชั้นตรี เป็นที่สำคัญของชาวอุดรเป็นวัดเก่าแก่ ในวัดมีโบสถ์เก่าแก่100ปี วัดใหญ่ มีเจดีย์สำคัญอยู่ตรงกลาง ภายในมี อัฐิ พระธาตุ พระสารีริกธาตุ เกจิอาจารย์มากมายหลายท่าน วัดโพธิสมภรณ์ ตั้งอยู่ที่ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เป็นพระอารามหลวงที่ถือว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ ปลายรัชกาลที่ 5 โดย มหาอำมาตย์ตรีพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพธิ เนติโพธิ) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร  


  
  

ที่อยู่ : ถนนเพาะนิยม เลขที่ 22 ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
พิกัด : https://goo.gl/maps/gpLMDyUg5HN2W33L7 
เปิดให้เข้าชม : 07.00-18.00 น. 


พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี
พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี เป็นอาคารที่มีเอกลักษณ์สุดๆ เมื่อก่อนนั้นจะเป็น ตึกราชินูเก่า หรือ อาคารโรงเรียนราชินูทิศ ที่สร้างขึ้นมาตามพระดำริของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นั่นเองค่ะ โดยเน้นความคลาสสิคประยุกต์กับความเป็นไทย ต่อมาได้มีการปรับปรุงมาเป็น พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี เพื่อใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ 

ที่อยู่ : พิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี ถนนโพศรี ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
พิกัด : https://goo.gl/maps/QeEWDgvfeM6WVrDW7  

เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น. (ปิดทุกวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/udmuseum/ 

”ศาลหลักเมืองอุดรธานี” ศักดิ์สิทธิ์ ศรัทธา 

เสน่ห์แดนอีสานในบริเวณศาลหลักเมืองอุดรธานี ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญ อันเป็นที่เลื่อมใสบูชาเป็นอย่างสูงได้แก่ หลวงพ่อพระพุทธโพธิ์ทอง และ ท้าวเวสสุวัณ มีผู้นิยมมาสักการะศาลหลักเมืองเพื่อขอพรให้ชีวิตมั่นคง ราบรื่นทั้งการงานและการเงิน โดยมีเคล็ดความเชื่อว่าหากเข้าประตูใดให้ออกประตูนั้น จะทำให้ได้อานิสงส์มากยิ่งขึ้น ส่วนการสักการะพระพุทธโพธิ์ทองนั้นเชื่อว่าจะทำให้มีร่มโพธิ์ร่มไทร มีผู้ใหญ่สนับสนุน ค้ำจุน โดยผู้ที่มาสักการะมักเก็บใบโพธิ์ที่หล่นอยู่หลังคาไปบูชาเพื่อเป็นมงคลด้วย และการบูชารูปปั้นของท้าวเวสสุวัณนั้นถือว่าคือการขอพรให้ศัตรูหมู่มารหรือผู้มาคิดร้ายให้แพ้ภัยตัวเอง หรือกลับใจมาเป็นมิตร



ศาลหลักเมืองอุดรธานี แห่งนี้ สร้างขึ้นมาครั้งแรกก็เมื่อปี พ.ศ.2502 โดยได้มีการอัญเชิญดวงพระวิญญาณของ พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้ที่ทรงก่อตั้งเมืองอุดรธานี เมื่อปี พ.ศ.2436 มาสถิตย์ ณ เสาหลักเมืองนี้  ศาลหลักเมืองอุดรธานี หรือที่เรียกกันว่า ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองอุดรธานี นั้น ถือว่าเป็นศูนย์รวมความเคารพและความศรัทธา ของชาวเมืองอุดรธานีเลยค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะนิยมมาสักการะบูชากัน ทั้ง หลวงพ่อพระพุทธโพธิ์ทอง และ ท้าวเวสสุวัณ โดยมีความเชื่ออีกว่า ถ้าหากเดินเข้าประตูไหนก็ให้ออกประตูนั้น จะทำให้ได้อานิสงส์มากยิ่งขึ้นด้วยค่ะ รวมถึงตัวอาคารของศาลหลักเมือง ยังเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ที่ผสมผสานศิลปะของภาคอีสานอีกด้วย 

ศาลหลักเมือง อุดรธานี
ที่อยู่ : อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี

พิกัด : https://goo.gl/maps/JebtZSp4HHUHioXt9  
เปิดให้เข้าชม : 06.00-20.00 น.

ยิ่งเงียบ....ยิ่งทรงพลังแห่งความศรัทธา ท่ามกลางขุนเขานเสียงใจตัวเอง
พระวิหารพระพุทธไสยาสน์ ณ วัดป่าภูก้อน อ.นายูง จ.อุดรธานี พลังแห่งความศรัทธา ท่ามกลางขุนเขา วัดสวย ของ อุดรธานี ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย นั่นก็คือ วัดป่าภูก้อน เพราะวิหารของวัดป่าภูก้อนนั้นจะสวยงามสะดุดตาเป็นอย่างมาก ภายในจะมีการตกแต่งอย่างสวยงามเช่นกัน ทั้ง ภาพพุทธประวัติและภาพทศชาติ ภาพปั้นนูนต่ำที่หล่อด้วยทองแดง พระบรมสารีริกธาตุบรรจุในพระเกศพระร่วงโรจน์ศรีบูรพา รวมไปถึงอีกไฮไลท์อย่าง พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี พระพุทธไสยาสน์หินอ่อนสีขาวที่สร้างด้วยการเอาหินอ่อนนำมาเรียงซ้อนกันถึง 42 ก้อนด้วยกันค่ะ งดงามขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงมาก จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเขตป่าสงวนแห่งชาตินี้เป็นรอยต่อของจังหวัด อุดรธานี เลย และ หนองคาย เป็นที่ที่อุดมไปด้วยธรรมชาติ มีต้นไม้ ลำธาร สัตว์ป่า และต้นไม้มากมายหลายชนิดด้วยกัน

โดยวิหารของ วัดป่าภูก้อน นั้น มีความสวยงามที่สะดุดตาใครต่อหลายคนมากๆ โดยพระวิหารจะมีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์สมัยรัตนโกสินทร์ มีประตูทางเข้าออก 3 ด้าน ภายในวิหารจะถูกตกแต่งอย่างอย่างงดงามตระการตาเลยทีเดียวค่ะ และแฝงไปด้วยเรื่องราวคำสอนของพระพุทธเจ้า รอบๆ ผนัง มีภาพพุทธประวัติและภาพทศชาติอยู่ อีกทั้งตกแต่งแบบภาพปั้นนูนต่ำ หล่อด้วยทองแดง ซึ่งเป็นภาพของพระพุทธเจ้าในองค์ชาติทั้ง 10 ชาติ วัดป่าภูก้อน เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ในตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่านายูงและป่าน้ำโสม ที่ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อแผ่นดิน 3 จังหวัด คือ อุดรธานี เลย และหนองคาย

ที่อยู่ : 99 หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี
พิกัด : https://goo.gl/maps/HqpLdwioxv4kACGP7 

เปิดให้เข้าชม : 08.30-17.00 น.
โทร : 08-2835-0668

บ้านคีรีวงกต เที่ยวธรรมชาติ สุดชุ่มฉ่ำหัวใจ
เที่ยวคีรีวงกต อุดรธานี นั่งอีแต๊ก เพลินวิถีและธรรมชาติกลางหุบเขา ไปกินข้าวในป่า นี่แหละคำว่าเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต



เราไปล่องแก่งรถอีแต๊ก! คีรีวงกตหมู่บ้านเล็กๆ ที่โอบล้อมด้วยภูเขา มีวิถีการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ที่ใครหลายๆ คนอาจจะไม่เคยรู้จักมาก่อน ระหว่างทางได้พบเจอเรื่องราวต่างๆ ห้วงฤดูกาลสุดท้ายของฤดูฝน เมฆก้อนใหญ่ พายุ-มรสุมที่มาพร้อมกับความชุ่มฉ่ำ โหมกระหน่ำโปรยปรายลงสู่ผืนดินได้เห็นวิถีชีวิตผู้คน ลำธารที่เคยแห้งขอดในฤดูแล้งถูกเติมเต็มด้วยสายน้ำ คีรีวงกต หมู่บ้านเขียวขจี สุดเขตอุดรธานีเพราะที่นี่คือ อ.นายูง แม้การเดินทางจะยาวนานสักหน่อย แต่เรื่องราวระหว่างทางที่เกิดขึ้น ก็เพลินจนแทบไม่อยากให้ถึงจุดหมายที่จะไป นี่แหละ คำว่าเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ไม่ว่าคุณจะมากับคนที่คุณรัก เพื่อนฝูง หรือครอบครัว ก็ต้องฟินไปตามๆ กันแน่นอน






เที่ยวคีรีวงกต อุดรธานี ในครั้งนี้ นั่งอีแต๊ก toptotravel มาที่นี่ตามคำเชิญของ ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์รรมชาติที่สวยงาม อาหารอีสานรสเด็ดมาก ข้าวเหนียวในกระบอกไม้ไผ่  รับประทานอาหารกลางวันแบบบ้านๆ (ส้มตำ ไก่ย่าง ปลาเผา ข้าวเหนียว) กิจกรรมนั่งรถรถอีแต๊กฝ่าลำธารขึ้นไปกินข้าวกลางป่า นอนโฮมสเตย์ และกิจกรรมชุมชนมากมายเป็นหมู่บ้านท่ามกลางขุนเขา สายลม ที่มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย กับวิวธรรมชาติอันเขียวขจีของอุทยานแห่งชาติน้ำโสม นายูง ต้นกำเนิดของน้ำตกห้วยพาง น้ำตกที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิต ในหมู่บ้านแห่งนี้

หมู่บ้านนี้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในแบบชุมชนเป็นกิจกรรมที่แสนเรียบง่าย แต่บอกได้เลยนะคะว่าสนุกและประทับใจไม่ลืม ซึ่งนักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ฟินๆ อยากให้ทุกคนได้อ่าน แล้วทุกคนจะหลงรัก สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัดอุดรธานี อย่างแน่นอน



หมู่บ้านคีรีวงกต อ.นายูง จ.อุดรธานี
ที่อยู่ : ตำบลนาแค อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี

พิกัด : https://goo.gl/maps/intdipYjeaHYfgEU9
เปิดให้เข้าชม : ทุกวัน
โทร : 09-3414-0975

“ธรรมชาติพูดไม่ได้.....แต่รับฟังเราเสมอ”
เที่ยวธรรมชาติ “อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท”ที่ซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขาใหญ่สุดตระกาลตา อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อำเภอบ้านผือ   

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ที่แสดงถึงอารายธรรมของมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศ โดยพื้นที่นี้จะเป็นหินทรายที่ถูกสร้างขึ้นจากขบวนการกัดกร่อนจากธรรมชาติ ชมแหล่งโบราณสถาน เสาหินและเพิงหิน หอนางอุสา ถ้ำพระแหล่งภาพเขียนสี“หอนางอุสา” ไฮไลต์ของอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นเพิงหินสูงรูปร่างแปลกตาคล้ายดอกเห็ด ล้อมรอบด้วยใบเสมา แหล่งภาพเขียนสี อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ครอบคลุมพื้นที่ 3,430 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่มีชื่อว่า “ป่าเขือน้ำ” บ้านติ้ว ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานีอยู่ห่างจากตัวจังหวัดระยะทางประมาณ 67 กม.  อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทแห่งนี้ ปรากฏร่องรอยของกิจกรรมของมนุษย์ มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อราว 2,000 – 3,000 ปีมาแล้ว มีการพบภาพเขียนสีมากกว่า 30 แห่ง อีกทั้งยังพบการดัดแปลงโขดหินและเพิงผาธรรมชาติให้กลายเป็นศาสนสถานของผู้คนใน วัฒนธรรมทวารวดี ลพบุรี สืบต่อกันมาจนถึงวัฒนธรรมล้านช้าง ตามลำดับ  

ซึ่งร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคมของ มนุษย์ได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ทางกรมศิลปากรจึงได้ดำเนินการขอใช้พื้นที่ ป่าสงวนจำนวน 3,430 ไร่ จากกรมป่าไม้ โดยได้ประกาศขึ้นทะเบียนเขตโบราณสถานไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 98 ตอนที่ 63 เมื่อวันที่ 28 เมษายน พุทธศักราช 2524 อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท  เป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและการก่อตัวของหินรูปทรงต่างๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจนับเป็นแหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจอีกแห่ง ที่ควรไปเที่ยวชมสักครั้ง แล้วจะรู้ว่า คุณได้ใช้จินตนาการเพื่อการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง


อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อำเภอบ้านผือ  ที่ห้ามพลาดเด็ดขาด!! 
ชมความงดงามที่น่าอํศจรรย์ในจ มีโอกาสมาเยือน ชมแหล่งโบราณสถาน ส่องเสาหินและเพิงหิน หอนางอุสา ถ้ำพระแหล่งภาพเขียนสีอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทตั้งอยู่บนภูเขาที่ชื่อว่าภูพระบาท ในเขตพื้นที่เมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน


อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทมีลักษณะที่แตกต่างจากอุทยานประวัติ ศาสตร์แห่งอื่นๆ ของกรมศิลปากรที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะนอกจากจะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์โบราณคดีแล้ว ยังมีความสำคัญทางด้านนิเวศวิทยา เนื่องจากเป็นที่ตั้งของวนอุทยานภูพระบาทบัวบก ของกรมป่าไม้ ซึ่งมีพืชพรรณทั้งไม้ดอกและไม้ใบขึ้นอยู่เป็นจำนวนมากอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นแหล่งรวบรวมสิ่งสำคัญ ทั้งทางด้านศิลปวัฒนธรรม และทางด้านธรรมชาติเข้าด้วยกัน มานานนับเป็นพันปี ากการศึกษาพบว่า มีร่องรอยของงานศิลปกรรมสกุลช่างลาวอยู่บนภูพระบาท ดังเห็นได้จากพระพุทธรูปขนาดเล็กบริเวณถ้ำพระเสี่ยง แสดงถึงศิลปะสกุลช่างลาว ส่วนสถาปัตยกรรมในส จึงเป็นมรดกสำคัญที่ ชนชาวไทยควรจะต้องช่วยกันรักษาให้คงไว้ตลอดไป




ที่อยู่ : 194 หมู่ 8 ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
พิกัด : https://goo.gl/maps/UoQE3trbfi58sVKx8 

เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.
ค่าเข้าชม : คนไทย 20 บาท , ต่างชาติ 100 บาท


พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์                                                    
(พระธรรมวิสุทธิมงคล หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัญโน  วัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด)         
แดนศีล ถิ่นธรรม พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ (พระธรรมวิสุทธิมงคล หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัญโน)         



สัมผัสในด้านแรกคือธรรมะ อุดรธานีเป็นแดนศีล ถิ่นธรรม เป็นที่อยู่ของพระอริยสงฆ์หลายรูปที่เป็นกำลังหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา ได้ทำคุณูปการต่อประเทศชาติ สงเคราะห์ทั้งทางโลกและทางธรรม ซึ่งเสาหลักแห่งพระกรรมฐานอีกรูปที่สำคัญของชาวอุดรธานี คือ พระธรรมวิสุทธิมงคล หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัญโน อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด เป็นที่เคารพนับถือของพุทธบริษัท 4 เมื่อเกิดเหตุการณ์ต้มยำกุ้งองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ได้นำทัพคณะศิษย์ทำโครงการผ้าป่าช่วยชาติ จนผ่านวิกฤตที่เลวร้ายของประเทศชาติมาได้ ด้วยสายธารแห่งธรรมะคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งเมื่อองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน คณะศิษย์ก็ได้รำลึกถึงคุณงามความดี สร้างเจดีย์เพื่อเป็นอนุสรณ์บูชาคุณหลวงตามหาบัว ญาณสัมปัญโน

                     
โดยการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ทรงได้รับพระกรุณาจากสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเป็นองค์ประธานโครงการและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงค์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ เป็นองค์ประธานการออกแบบก่อสร้าง และมีพระราชภาวนาวชิรากร (หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ ตั้งอยู่เลขที่ 906 หมู่ 14 บ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี พื้นที่ 181 ไร่
โดยพื้นที่ส่วนอาคารเป็นภูมิทัศน์ 38 ไร่ พื้นที่ส่วนอาคารประกอบด้วย 3 อาคารคือ พระธาตุเจดีย์ พระวิหาร และพิพิธภัณฑ์ การออกแบบเริ่มจากพิพิธภัณฑ์ พระวิหาร และพระธาตุเจดีย์ ให้ตั้งในแนวเดียวกันกับจิตกาธาน สถานที่พระราชทานเพลิงสรีระสังขารองค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัญโน และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ในทิศทางเดียวกันนี้ เป็นแนวตรงไปถึงพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ดินแดนพุทธภูมิในประเทศอินเดียพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ประกอบด้วย 3 อาคาร

เพจ #พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ พระธรรมวิสุทธิมงคล( หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปัโน) 
https://www.facebook.com/dhammachedi/                                   


โครงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศภูฝอยลม 
ภูฝอยลม หรือ อุทยานล้านปีภูฝอยลม สถานที่ที่รอบล้อมไปด้วยภูเขามากมาย รวมถึงมีดอกไม้สวยๆ ในสวนรวมพรรณไม้  แนะนำมาสัมผัสบรรยากาศ จุดชมวิวภูฝอยลม อำเภอหนองแสง  ลมพัดทั้งวัน​ อากาศ​ถ่ายเทดีมากๆ ความสงบและอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยธรรมชาติชมพิพิธภัณฑ์ล้านปี สวนรวมพรรณไม้ 60 พรรษา มหาราชินี


ที่อยู่ : เขตป่าสงวนแห่งชาติพันดอน-ปะโค อำเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี
พิกัด : https://goo.gl/maps/aQ7foXUq5de5wxJE7 
เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.
โทร : 0-4291-0902 , 0-4225-0207 , 08-9710-2633

โรงแรมสยามแกรนด์ เป็นโรงแรมประจำจังหวัดอุดรธานี
และทริปนี้เราพักกันที่ โรงแรมสยามแกรนด์! เพลิดเพลินไปกับวิวเมืองเก่าจากหน้าต่างห้องพัก ชมความสวยงามของภูเขา  ในเมืองอุดรธานี โรงแรมแห่งนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อให้การเข้าพักด้วยความกว้างของพื้นที่ และ ความหลากหลายขนาดของห้องประชุม..ห้องพัก พื้นที่ out door ทำให้ โรงแรมสยามแกรนด์ เป็นโรงแรมประจำจังหวัดอุดรธานี ที่ลูกค้าเลือกใช้บริการทั้งในด้านวิชาการ และ Entertain เมื่อปักหมุดจัดงานทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน  พร้อม ให้บริการลูกค้าทั้ง สถานที่ จัดงาน ที่พัก อาหารและเครื่องดื่ม 


ลูกค้าสนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดห้องพักและห้องประชุม
โทร  042-111-241-2 ติดต่อ ฝ่ายขาย 


ก่อนกลับก็อย่าลืมแวะซื้อของฝาก @วีที แหนมเนือง คอมมูนิตี้ 
มื้อค่ำของทริป  เรียกว่าถ้าเดินทางมาถึงจังหวัดอุดรธานีทั้งที ไม่แวะ ”VT แหนมเนือง” ตำนานอาหารเวียดนามกว่า 40 ปี VT แหนมเนือง ต้นตำรับแหนมเนืองเมืองอุดรธานี ตลาดวิถีชุมชน ศูนย์รวมสินค้าท้องถิ่นแห่งภาคอิสาน และที่นี่โรงปลูกพืชระบบปิด ผักปลอดสาร คุณภาพสูงควบคุมการปลูก 100% น้ำสะอาด ไร้สารเจือปน หรือโลหะหนักอุณหภูมิและแสงที่เหมาะกับการเติบโตของพืช







วีที แหนมเนือง คอมมูนิตี้ รูปแบบเป็นอาคาร 2 ชั้น พร้อมที่จอดรถ 300 คัน จัดแบ่งพื้นที่เป็น 6 ส่วน อาทิ ภัตตาคารอาหารเวียดนาม ขนาด 2 ชั้น พร้อมห้อง V.I.P. ของฝากสินค้าที่ระลึกท้องถิ่น ศูนย์อาหาร รวมถึงบริการไดรฟ์-ทรู (Drive Thru) ให้ลูกค้าซื้อสินค้าอาหารเวียดนามกลับบ้านได้อย่างรวดเร็ว

vt_online@vt-namnueng.com  โทร 081 964 7751

ก่อนกับกรุงเทพกับอาหารค่ำร้านดั่งเดิม บ้านแป้งหอม โคราช อร่อยต้่องมากิน
ร้านบ้านแป้งหอม เป็นร้านอาหารไทย มีหลากหลายเมนูมาก และน่ากินทุกเมนูเลย รสชาติอร่อยเข้มข้นจัดเต็ม บรรยากาศสบาย ชื่อร้านตั้งตามชื่อคุณแม่ของเจ้าของ เปิดบริการมากว่า 20 ปี เสิร์ฟอาหารไทยรสชาติเยี่ยมตำรับคุณแม่ ใช้เครื่องปรุงสดใหม่ที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี สำหรับเมนูปลา สามารถเลือกได้ทั้งปลาช่อนหรือปลากระพง และเลือกเมนูที่ต้องการได้ 2 แบบในจานเดียว แนะนำให้ลองปลากระพงทอดกับเมี่ยงคำและยำ อร่อยด้วยเครื่องสมุนไพรสดสะอาดของเมี่ยงคำก่อนย้ายมาชิมรสเผ็ดแซบถึงใจ การบริการเป็นกันเองและอบอุ่น ช่วงเทศกาลแนะนำให้โทรจองล่วงหน้า




บ้านแป้งหอม
พิกัด : ถ.มิตรภาพ (ขาเข้าโคราช ตรงข้ามเจ้าสัว) อ.เมือง จ.นครราชสีมา
เปิดทุกวัน : 9.00 - 21.30 น. 

ขอบคุณ : ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สนง.อุดรธานี
TAT Call Center 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย


#ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว #ชสท #การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย #ททท.
#อุดรธานี #วัดป่าภูก้อน #ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว #ชสท
#การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย #ททท. #อุดรธานี #วัดป่าภูก้อน #toptotravel