เที่ยวทั่วไทย อร่อยทั่วโลก อัพเดทข่าวรายวัน Lifestyle บันเทิง ทันทุกกระแสข่าว!

31 พฤษภาคม 2561

ส.ขอนแก่น ชูแนวคิด ‘เพราะทุกคนควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุด’

ส.ขอนแก่นยกเครื่องกระบวนการผลิตและปรับบรรจุภัณฑ์
สู่ความเป็นเลิศด้านผลิตภัณฑ์


บมจ. ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ หรือ SORKON เสริมแกร่งกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพื้นเมือง ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดมานานกว่า 30 ปี เล็งออกผลิตภัณฑ์ใหม่เติมความแข็งแกร่งให้แก่พอร์ตภายใต้แนวคิด ‘เพราะทุกคนควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุด’ หลังผลิตภัณฑ์หมูยอโบราณสูตรเห็ดหอม ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจากการประเดิมวางจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา พร้อมชูเป็นสินค้าไฮไลต์ในงาน THAIFEX-World of Food Asia 2018 ที่เมืองทองธานี โชว์ความเป็นเลิศด้านผลิตภัณฑ์อาหาร



การกลับมาเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพื้นเมืองในครั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายต้องการตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดที่มีมาตลอดกว่า 30 ปี จากคุณภาพสินค้าที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค เนื่องจากมีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ประกอบกับการบริหารจัดการด้านต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถผลักดันยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพื้นเมืองเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง



“ที่ผ่านมา เรามุ่งต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในด้านยอดขาย เช่น อาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานหรือกลุ่มธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นในปีนี้เราจึงหันกลับมาให้ความสำคัญกับกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพื้นเมืองมากขึ้น เพื่อตอกย้ำแบรนด์ ส.ขอนแก่น ในฐานะที่เป็นผู้นำตลาดอาหารพื้นเมืองมายาวนานกว่า 30 ปี” นายจรัญพจน์ กล่าว

รักษาการประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและการขาย SORKON กล่าวว่า แนวทางการทำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพื้นเมืองภายใต้แบรนด์ ส.ขอนแก่นในปีนี้ จะใช้แนวคิด ‘เพราะทุกคนสมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุด’ โดยมุ่งวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อปรับสินค้าทุกประเภทมุ่งสู่ความเป็นเลิศในทุกด้าน ทั้งรสชาติความอร่อย กลิ่นและเนื้อสัมผัส ราคาที่จับต้องได้ ความสะดวกในการบริโภค รวมถึงปรับโฉมบรรจุภัณฑ์ให้มีความสวยงาม เพื่อเป็นการขอบคุณผู้บริโภคที่ไว้วางใจแบรนด์ ส.ขอนแก่น มากว่า 30 ปี

นายจรัญพจน์ รุจิราโสภณ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและการขาย บริษัท  ส.ขอนแก่น ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน)

นายจรัญพจน์ รุจิราโสภณ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและการขาย บริษัท  ส.ขอนแก่น ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SORKON ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์รายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า แผนดำเนินงานในปีนี้จะมุ่งสร้างการเติบโตให้แก่ทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ที่ประกอบด้วย ธุรกิจผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อหมูหรือผลิตภัณฑ์อาหารพื้นเมือง ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานและธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจผลิตภัณพ์อาหารพื้นเมืองภายใต้แบรนด์ ส. ขอนแก่น ที่ในปีนี้ บริษัทฯ จะมุ่งให้ความสำคัญกับการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มธุรกิจดังกล่าวมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจหลักที่ทำสัดส่วนยอดขายสูงสุด อีกทั้งบริษัทฯ มองว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพื้นเมืองมีศักยภาพและโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าแบบดั้งเดิมและห้างค้าปลีกสมัยใหม่

ทั้งนี้ บริษัทฯ จึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ‘หมูยอโบราณสูตรเห็ดหอม’ ที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดดังกล่าว โดยใช้เนื้อหมู 100% เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตผสมกับวัตถุดิบแบบบดหยาบ เพื่อเพิ่มสัมผัสการเคี้ยวให้ได้รสชาติ พร้อมเห็ดหอมที่ผสมผสานอย่างลงตัวกับเนื้อหมูยอ จึงได้สัมผัสของเนื้อและกลิ่นที่ดีที่สุด นำมาคลุกเคล้าน้ำปลาแบบฉบับโบราณ เพื่อสร้างประสบการณ์ในการรับประทานหมูยอสูตรโบราณที่เป็นเลิศในด้านรสชาติให้แก่ลูกค้า โดยหลังจาก ส.ขอนแก่น ได้วางจำหน่ายสินค้าดังกล่าวผ่านช่องทางจำหน่ายร้านสะดวกซื้อเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ปรากฏว่าผลตอบรับดีมากและได้รับการจัดอันดับเป็นสินค้าขายดีในร้าน 7-11


“เราให้ความสำคัญและพิถีพิถันกับทุกกระบวนการผลิต ภายใต้แนวคิด ‘เพราะทุกคนสมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุด’ ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบจนถึงออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจ ส.ขอนแก่น มาตลอดกว่า 30 ปี เราต้องการให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ ทั้ง รูป รส กลิ่น และสัมผัสที่ดีที่สุดจากผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่งช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้ จะวางจำหน่ายสินค้าหมูยอโบราณในร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป เพื่อให้คนไทยมาให้ทุกคนได้ลิ้มลอง” นายจรัญพจน์ กล่าว

ทั้งนี้ หลังจากความสำเร็จดังกล่าว บริษัทฯ มีแผนงานที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์อาหารพื้นเมืองของไทยต่อไป

ดีโด้ ยกทัพน้ำผลไม้พร้อมดื่ม บุกงาน THAIFEX 2018

ความพิเศษของบูธ “ดีโด้” ในปีนี้ ที่ยกเคาน์เตอร์บาร์ พร้อม Mixologist 
พร้อมยกเคาน์เตอร์บาร์เสิร์ฟเมนูสุดพิเศษในรูปแบบใหม่




บริษัท ฟู้ดสตาร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้พร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์  “ดีโด้”
เข้าร่วมออกบูธในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก THAIFEX - World of Food Asia 2018 โดยนอกจากดีโด้จะยกทัพน้ำผลไม้พร้อมดื่มและสินค้าชั้นนำอีกมากมายมาจัดแสดงแล้ว ดีโด้ยังยกเคาน์เตอร์บาร์และ Mixologist ระดับประเทศมาไว้ในงาน พร้อมทั้งได้จัดการสาธิตการทำเครื่องดื่มเมนูสุดพิเศษจากน้ำผลไม้พร้อมดื่ม “ดีโด้” พร้อมเสิร์ฟให้ผู้ร่วมงานและคู่ค้าทางธุรกิจได้สัมผัสกับรสชาติความสดชื่นในรูปแบบที่หลากหลายอีกด้วย



 บริษัท ฟู้ดสตาร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้พร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์ ดีโด้ ได้รับรางวัลการันตีทางด้าน “No.1 Brand Thailand Fruit Juice Non 100% ปี 2017-2018” จัดใหญ่ยกทัพผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้พร้อมดื่มดีโด้และสินค้าใหม่ภายใต้รูปแบบแพคเกจจิ้ง UHT จากโรงงานส่งตรงไปร่วมออกบูธในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่สุดในอาเซียน


ปีนี้พิเศษยิ่งใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา ทั้งด้านพื้นที่กว้างใหญ่ขึ้น สามารถรองรับแขกวีไอพีที่เข้ามาเยี่ยมชมบูธได้มากกว่าเดิม พร้อมทั้งนี้ได้มีการจำลองเคาน์เตอร์บาร์เข้ามาอยู่ในบูธ มีบาร์เทนเดอร์และบาร์เทนดี้ ผู้เชี่ยวชาญและคร่ำหวอดทางด้านการทำเครื่องดื่มระดับประเทศมาสาธิตการทำสูตรเมนูเครื่องดื่มดีโด้ประเภทต่างๆ ภายในงานเป็นครั้งแรก พร้อมเสิร์ฟให้ผู้ร่วมงานและคู่ค้าทางธุรกิจได้สัมผัสกับรสชาติความสดชื่นในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น โดยงานนี้ คุณจันทรา พงศ์ศรี กรรมการผู้จัดการบริษัท ฟู้ดสตาร์ จำกัด จะเยี่ยมชมบูธและให้สัมภาษณ์พิเศษกลุ่มย่อย

ในวันที่ 1 มิถุนายน 2561 เวลา 10.00 - 12.00 น. พบกันได้ที่บูธ หมายเลข HH15


THAIFEX-World of Food Asia 2018 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2
ระหว่างวันที่ 29 พ.ค. - 2 มิ.ย. 2561 เวลา 10.00 - 18.00 น.



บูธที่ HH15 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 

เชิดชูความอุดมสมบูรณ์ของผืนแผ่นดินไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในงาน ‘THAIFEX 2018’

บริษัท บลู สไปซ์ จำกัด ในเครือ บลู เอเลเฟ่นท์ กรุ๊ป
พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในงาน ‘THAIFEX 2018’



‘บลู สไปซ์’ ผู้ผลิต จำหน่าย และส่งออก ผลิตภัณฑ์แบรนด์บลู เอเลเฟ่นท์ อันประกอบไปด้วย ชุดพริกแกงปรุงอาหารสำเร็จ พริกแกง น้ำจิ้ม และเครื่องปรุงรส ร่วมแสดงสินค้าและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในงาน THAIFEX 2018 ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดล้วนเป็นสูตรต้นตำรับจากมาสเตอร์ เชฟนูรอ โซ๊ะมณี สเต็ปเป้ ผู้ก่อตั้ง บลู เอเลเฟ่นท์




ในงาน THAIFEX 2018 ทางบลู สไปซ์ เชิดชูความอุดมสมบูรณ์ของผืนแผ่นดินไทย นับแต่ปีพ.ศ. 2523 บลู เอเลเฟ่นท์ ในฐานะตัวแทนของการปรุงอาหารไทยและส่งเสริมเอกลักษณ์ความเป็นไทยมาโดยตลอด ด้วยการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นทั้งหมด เน้นย้ำถึงความเป็นจริงที่ว่าอาหารไทยรสชาติอร่อย เครื่องปรุงต้องถึงรสถึงเครื่องแบบไทยๆ


“ผืนแผ่นดินไทยมีภูมิประเทศและภูมิอากาศที่หลากหลาย ซึ่งเอื้อต่อการเพาะปลูกพืชหลากหลายพันธุ์ อีกทั้งลักษณะดินในแต่ละจังหวัดจะเหมาะสมต่อการปลูกพืชสมุนไพรหรือพืชผักได้แตกต่างกันไป การที่เราเลือกใช้ความอุดมสมบูรณ์นี้ เฉกเช่นกับการเลือกองุ่นให้เหมาะสมกับการบ่มไวน์ในแต่ประเภท เราเองก็เลือกสรรเอาวัตถุดิบที่ดีที่สุดในผืนแผ่นดินไทยมาใช้ในการปรุงอาหารของเรา” มาสเตอร์ เชฟนูรอ กล่าว



ด้วยปรัชญาของการยึดเอา “เอกลักษณ์ของท้องถิ่น” และ “วัตถุดิบจากธรรมชาติ” ทางบลู สไปซ์ จึงได้พัฒนาพริกแกงสูตรใหม่ในงาน THAIFEX ปีนี้ ซึ่งมีส่วนผสมจากวัตถุดิบธรรมชาติล้วนๆ เหมาะสำหรับผู้รับประทานมังสวิรัติและเป็นพริกแกงที่ไม่ใส่การกันบูด ไม่ใส่สี ไม่ใส่ผงชูรส หรือสารเติมแต่ง ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นำมาแสดงในงานนี้ได้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่สะดวกและสามารถรังสรรค์เมนูได้ตามใจชอบ ในปีนี้ บลู เอเลเฟ่นท์ ได้เพิ่มเติมผลิตภัณฑ์เส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีคุณภาพดีและซอสพร้อมปรุงแบบซองพอเหมาะสำหรับการปรุงอาหารในครั้งเดียว



บริษัท บลู สไปซ์ จำกัด ได้ดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 ผู้ผลิตสินค้าประเภท ซอส เครื่องปรุงรส พริกแกง ข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว กะทิ และขนมขบเคี้ยว และได้ส่งออกไปมากกว่า 35 ประเทศและจัดจำหน่ายให้กับกลุ่มผู้ค้าปลีกและกลุ่มผู้ให้บริการด้านการจัดเลี้ยงที่ใส่ใจในคุณภาพและชื่นชอบในการปรุงอาหารไทยสูตรต้นตำรับ




“การเลือกวัตถุดิบและเครื่องปรุงจากท้องถิ่น เพื่อนำมาใช้ในการผลิตบลู เอเลเฟ่นท์ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด กอปรกับ คุณภาพ รสชาติ และเอกลักษณ์ความเป็นไทย” คุณอิเนส ชาดอนเน่ต์ กรรมการผู้จัดการ บลู สไปซ์ กล่าว “ทุกผลิตภัณฑ์บลู เอเลเฟ่นท์มาจากสูตรต้นตำรับของมาสเตอร์ เชฟนูรอ”

หากถามว่าเคล็ดลับเบื้องหลังความอร่อยของสูตรอาหารของมาสเตอร์ เชฟนูรอคืออะไร มาสเตอร์ เชฟนูรอก็จะตอบว่า “ดิฉันคัดสรรเครื่องปรุงและวัตถุดิบที่ดีที่สุดของไทยมาโขลกรวมกัน ก็แค่นั้น !”

ทางบลู เอเลเฟ่นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป และ บริษัท บลู สไปซ์ จำกัด ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสังคมและชุมชนรวมทั้งสนับสนุนการอยู่แบบยั่งยืนมาโดยตลอด โดยใช้ผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวง อันเป็นโครงการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในการส่งเสริมการปลูกพืชผักและผลไม้แทนการปลูกฝิ่น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งยังมั่นใจได้ว่าได้วัตถุดิบออร์แกนิคคุณภาพดี


โรงงานบลู สไปซ์ ตั้งอยู่ที่  จังหวัดปทุมธานี ได้รับการรับรองทางด้านสุขอนามัย การจัดการความปลอดภัยของอาหารและรับรองคุณภาพด้านมาตรฐานการจัดเก็บและการจัดจำหน่าย ตามมาตรฐาน BRC (British Retail Consortium) Issue 7 (BRC หรือ สมาคมผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกแห่งสหราชอาณาจักร เป็นมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร (food safety)) ในปัจจุบัน มาตรฐาน BRC ได้รับ
ความแพร่หลาย และเป็นที่ยอมรับทั้งในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือ มีบริษัทสถานประกอบการมากกว่า 14,000 แห่ง กว่า 90 ประเทศที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานนี้ นอกจากนี้ บลู สไปซ์ ยังได้
รับการรับรองมาตรฐาน GMP, HACCP และเครื่องหมายฮาลาล (Halal)

บริษัท บลู สไปซ์ จำกัด มีการเติบโตมากกว่า 35% ของยอดขาย ภายในระยะเวลา 3 ปี ทุกๆ ปี จะมีการขยายการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บลู เอเลเฟ่นท์ไปยังตลาดกลุ่มใหม่ หลังจากทดลองเปิดตัวการจำหน่ายไปแล้วในประเทศจีน เมื่อปีที่ผ่านมา ในปีนี้ 2561 ทางบลู สไปซ์ ก็จะขยายตลาดไปสู่ประเทศเดนมาร์ก เกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกา ส่วนตลาดหลักในประเทศไทย สามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์บลู เอเลเฟ่นท์
ได้ที่ ร้านอาหาร บลู เอเลเฟ่นท์ โรงเรียนสอนทำอาหาร บลู เอเลเฟ่นท์ สาขากรุงเทพฯ

สาขาภูเก็ต กูร์เมต์ มาร์เก็ต (Gourmet Market) วิลล่า มาร์เก็ต (Villa Market) ทอปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต (TOPS Supermarket) เซ็นทรัลฟู้ดฮอลล์ (Central Food Hall) คิง พาวเวอร์ ดิวตี้ฟรี ชอป (King Power Duty Free) บิ๊กซี (Big C)

บริษัท บลู สไปซ์ จำกัด ในเครือ บลู เอเลเฟ่นท์ กรุ๊ป
พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในงาน ‘THAIFEX 2018’
ณ อิมแพค เอ๊กซ์ฮิบิชั่น ฮอลล์ 2 ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2561

สกินโทเปีย บริการแสงสีแดงบำบัดทั่วเรือนร่างแห่งแรกในประเทศไทย



บริษัท กอเจียส บอดี้ แอนด์ สกินแคร์ จำกัด เปิดให้บริการ สกินโทเปีย เซ็นเตอร์ (Skintopia Centre) ที่มอบประสบการณ์นวัตกรรมแสงสีแดงบำบัดสำหรับทั่วเรือนร่างแก่ผู้ใส่ใจสุขภาพและความงามแห่งแรกในประเทศไทย


สกินโทเปีย เซ็นเตอร์ ให้บริการเตียงนอน และตู้ยืนสำหรับรับทรีทเมนต์ด้วยแสงสีแดงที่ทันสมัยนำเข้าจาก สหราชอาณาจักรและมีเครื่องหมาย CE (Conformité Européene หรือ European Conformity) รับรองมาตรฐานคุณสมบัติตามข้อกำหนดด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยครีมและสเปรย์ RedLight-ST™ สำหรับใช้ก่อนและหลังทรีทเมนต์ที่ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกาและได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาไว้คอยบริการ

“แสงสีแดงบำบัดนี้มีความปลอดภัย และสามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เพราะหลอดไฟที่ใช้นั้นปราศจากรังสีอัลตราไวโอเลต UVA / UVB และ UVC โดยทรีทเมนต์แต่ละครั้งใช้เวลาเพียง 15 นาที จึงเป็นการบำบัดที่ใช้เวลาไม่มาก ปลอดภัย ไม่เจ็บปวดในราคาสมเหตุสมผลเพื่อการดูแลผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัย และขณะเดียวกันสามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อและข้อต่อของร่างกายเพื่อผลลัพธ์ในการมีสุขภาพที่ดีแบบองค์รวม เพียงรับทรีทเมนต์แค่ 4 ครั้งก็สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้” มร. แดเรน อ็อกซ์บี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กอเจียส บอดี้ แอนด์ สกินแคร์ จำกัดกล่าว



นวัตกรรมแสงสีแดงบำบัดถูกพัฒนาขึ้นโดยองค์การนาซ่ามากว่า 60 ปี ซึ่งได้ทำการคิดค้นและออกแบบนวัตกรรมแสงสีแดงบำบัดเพื่อนำไปใช้ในการทดลองปลูกพืชให้เจริญเติบโตในอวกาศ ต่อมาได้ประยุกต์ใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บของนักบินอวกาศ และจากผลการศึกษาวิจัยนานนับหลายสิบปีพบว่าแสงสีแดงสามารถเข้าสู่ใต้ผิวหนังได้ลึกถึง 8 – 10 มิลลิเมตร และเมื่อซึมเข้าสู่ชั้นหนังแท้ก็จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินซึ่งส่งผลให้ผิวเรียบเนียน และกระชับ นอกจากนี้ ยังช่วยให้เกิดการสร้างหลอดเลือดฝอยใหม่ที่ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น การรักษาแผลและบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อเร็วขึ้น ตลอดจนทำให้รอยแผลเป็นเรียบเนียนขึ้น จึงทำให้นวัตกรรมแสงสีแดงบำบัดนี้ได้รับความนิยมในเหล่าบรรดาคนดังของฮอลลีวู้ด อาทิ เจนนิเฟอร์ โลเปซ และเคที แพรีก็ใช้ทรีทเมนต์นี้เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสุขภาพผิว




นอกจากนี้ แสงสีแดงบำบัดยังได้รับความนิยมในหมู่นักกีฬาโอลิมปิก และนักฟุตบอลอาชีพในการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และนักกีฬาที่หาวิธีการบรรเทาความเจ็บปวดกล้ามเนื้อโดยที่ไม่มีการล่วงล้ำเข้าสู่ร่างกาย (non-invasive) เพราะแสงสีแดงสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้เร็วยิ่งขึ้น

“เหตุผลที่เราเลือกเปิดสกินโทเปีย เซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทย เพราะเราเล็งเห็นศักยภาพของประเทศในฐานะผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในภูมิภาคเอเชีย และคนไทยให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพและความงามมากขึ้น โดยได้มีการประมาณมูลค่ารวมของธุรกิจความงามในประเทศปัจจุบันอยู่ที่ 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 128 พันล้านบาท) และในปีหน้าบริษัทฯ คาดว่าจะขยายสาขาอีก 3 แห่งในกรุงเทพฯ และภายในปีพ.ศ. 2563 เราจะเปิดสาขาในพัทยา เชียงใหม่ และภูเก็ต ก่อนที่จะขยายไปในประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้บริษัทของเราได้รับสิทธิ์จากผู้ผลิตในสหราชอาณาจักร ในการจัดจำหน่ายเตียงทรีทเมนต์อย่างเป็นทางการในภูมิภาคเอเชียเพียงแห่งเดียว เราจึงมีแผนที่จะจำหน่ายเตียง ทรีทเมนต์ด้วยแสงสีแดงให้กับบริษัทอื่นที่สนใจจะให้บริการแสงสีแดงบำบัดด้วยเช่นกัน” มร. รอย คอร์เดอร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กอเจียส บอดี้ แอนด์ สกินแคร์ จำกัด

การบริการแสงสีแดงบำบัดนี้มีราคาอยู่ที่ 2,500 บาทต่อครั้ง หรือสามารถเลือกซื้อแพคเกจ 6 ครั้ง ในราคา 10,800 บาท แพคเกจ 12 ครั้ง ราคา 18,600 บาท และ 24 ครั้ง ราคา 32,400 บาท โดยทั้ง 3 แพคเกจนี้มีอายุการใช้งานได้ 12 เดือน และเพื่อเป็นการแนะนำบริการของสกินโทเปีย เซ็นเตอร์ ทางบริษัทฯ ขอมอบโปรโมชั่นพิเศษ ด้วยแพคเกจไม่จำกัดจำนวนครั้งในราคา 5,600 บาท/สัปดาห์ และ 14,000 บาท/เดือน

โดยราคาดังกล่าวรวมครีมและสเปรย์ทั้งก่อนและหลังทรีทเมนต์
ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 31 กรกฎาคม 2561


สกินโทเปีย เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่บนชั้น 3 อาคารไทมส์ สแควร์
ชั้นเดียวกับทางเชื่อมต่อกับทางออกของสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส (อโศก) บนถนนสุขุมวิท
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่โทร. 0-2090-2155 หรือ 063-092- 2488

เปิดตัว "อคีรา ทัส สุขุมวิท" โรงแรมปลอดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งแห่งแรกในเอเชีย

รณรงค์การเลิกใช้พลาสติก  แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งSingle-Use Plastic



อัคริณ​ โฮเทล กรุ๊ป หรือ AHG (AKARYN Hotel Group) ผู้นำด้านการบริหารงานโรงแรมและรีสอร์ตบูติคลักซ์ชัวรี่ในประเทศไทยและเอเชีย เจ้าของแบรนด์โรงแรมสัญชาติไทยแท้ 

แบรนด์ “อลีนตา” (Aleenta) และ “อคีรา” (akyra) จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว “อคีรา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ” (akyra TAS Sukhumvit Bangkok Hotel) โรงแรมใหม่ล่าสุดใจกลางมหานคร ภายใต้การขยายธุรกิจของเครืออัคริณฯ ชูคอนเซ็ปต์โรงแรมปลอดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (Single-Use Plastic) แห่งแรกในเอเชีย เดินหน้ากลยุทธ์พัฒนาธุรกิจโรงแรมบนความคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าโรงแรมในเครือฯ ปลอดพลาสติก 100% ภายในปี 2563 นี้ พร้อมประกาศความร่วมมือ “เดอะแล็บ”​ (The Lab) ฟิตเนสเซ็นเตอร์ชื่อดัง ดันการเลิกใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งในภาคธุรกิจการบริการ (Hospitality Industry) อย่างยั่งยืน


นางอัญชลิกา กิจคณากร ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ อัคริณ โฮเทล กรุ๊ป เปิดเผยว่า ได้ขยายธุรกิจรับบริหารโรงแรม “อคีรา ทัส สุขุมวิท 20” โรงแรมใหม่ล่าสุดภายใต้เครืออัคริณฯ​ โดยโฟกัสคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งสไตล์ลอฟต์ที่หรูหรา ทันสมัย ทำเลสะดวกสบายย่านใจกลางกรุง และยังเป็นโรงแรมที่ปลอดพลาสติกใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งแห่งแรกในเอเชียอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจโรงแรมบนความคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยได้รณรงค์การเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หรือ Single-Use Plastic อย่างต่อเนื่องภายใต้การดำเนินการของ “มูลนิธิเพียวบลู” (Pure Blue Foundation) องค์กรการกุศลของอัคริณฯ ซึ่งมีเป้าหมายให้โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง 100% ภายในปี 2563 นี้ และยังจะใช้คอนเซ็ปต์นี้กับโรงแรมอื่น ๆ ที่จะเปิดตัวในอนาคตอีกด้วย




“เรามุ่งมั่นให้โรงแรมและรีสอร์ตในเครืออัคริณฯ​ ทั้งแบรนด์อลีนตาและอคีรา เป็นโรงแรมปลอดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ภายในปี พ. ศ. 2563 โดยโรงแรมอครีา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ เป็นโรงแรมแห่งแรกในเอเชียที่้เปิดตัวโดยไม่ใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ทั้งในห้องพัก ร้านอาหาร และเครื่องดื่ม จากนั้นจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องกับโรงแรมอคีรา แมเนอร์ เชียงใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2561 นอกจากนี้ เรายังสนับสนุนให้คู่ค้าและซัพพลายเออร์ของเราใช้แนวทางธุรกิจที่มีความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยได้ร่วมมือกับ “เดอะแล็บ” ฟิตเนสเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในละแวกเดียวกัน ซึ่งเป็นก้าวแรกในการขยายนโยบายนี้ไปสู่ชุมชนในกรุงเทพฯ ที่กว้างขึ้น" นางอัญชลิกากล่าว



ด้าน นายริชาร์ด โคเฮน ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการเดอะแล็บ ฟิตเนส ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่ร่วมมือกับโครงการริเริ่มปราศจากพลาสติกใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งกับมูลนิธิเพียวบลู โดยอัคริณฯ ได้มอบขวดสแตนเลส 100 ขวดให้กับเดอะแล็บ เพื่อนำมาแจกสมาชิกของฟิสเนตซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม กล่าวว่า "เราภูมิใจที่ได้เป็นศูนย์ออกกำลังกายปลอดพลาสติกใช้ครั้งเดียวแห่งแรกในกรุงเทพฯ โดยฟิตเนสที่ปรับปรุงใหม่ของเรา 2 สาขา ได้แก่ สาขาพร้อมพงษ์ และสาขาสีลม จะเป็น 2 สาขาแรกที่ปราศจากการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง 100% และนอกจากนี้ เราจะยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ ด้วยการช่วยเหลือพนักงานให้มีสุขภาพดี และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอีกด้วย"


สำหรับโรงแรม "อคีรา ทัส สุขุมวิท 20" เป็นบูติกโฮเทลขนาด 50 ห้อง ประกอบด้วยห้องสวีททุกห้อง ขนาด 30 – 60 ตารางเมตร พื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบายที่ทันสมัย เครื่องนอนระดับห้าดาว ตัวโรงแรมเน้นดีไซน์สไตล์ไทยโมเดิร์นลอฟต์ ผสมผสานเอกลักษณ์ของตะวันตกและตะวันออก เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้สัมผัสความเป็นไทยได้แม้อยู่ใจกลางเมือง ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบและแตกต่างจากโรงแรมที่อยู่ในทำเลเดียวกัน ทั้งด้านการดีไซน์และขนาดห้องที่ใหญ่กว่า เมื่อเข้าเช็คอินที่โรงแรมอครีา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ ผู้เข้าพักสามารถร่วมบริจาคให้กับมูลธิเพียวบลูกี่บาทก็ได้ เพื่อรับขวดน้ำสแตนเลสที่มีสไตล์ ซึ่งนำไปใช้เติมน้ำดื่มได้ตลอดการเข้าพัก โดยทางโรงแรมจะมีน้ำดื่มแบบบริการตนเองบริการในทุกชั้น สะดวกและง่าย ยังสามารถเติมน้ำดื่มออกไปข้างนอกขณะออกไปเที่ยวชมเมืองสถานที่ต่าง ๆ อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาร้านอาหารที่ให้บริการทั้งวัน (All day dining) และบาร์บนชั้นดาดฟ้า (Rooftop Bar) พร้อมสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ เพื่อสร้างรายได้คู่ขนานกับห้องพัก รองรับลูกค้าที่เข้าพัก และเป็นแหล่งกินดื่มของนักท่องเที่ยวละแวกนั้นอีกด้วย ราคาเฉลี่ยน 3,500-4,000 บาทต่อคืน โดยตั้งเป้าช่วงเปิดตัวปีแรกอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 65% และเพิ่มขึ้นเป็น 80-85% ในปีที่ 2 เป็นต้นไป



นอกเหนือจากขวดน้ำสแตนเลสแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่นำมาใช้ในโรงแรมอครีา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ รวมถึงผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในห้องน้ำ ไม่ว่าจะเป็น นำมันหอมระเหย แชมพู​ โลชั่นต่าง ๆ ที่นำเสนอมาในภาชนะเซรามิคที่ผลิตในประเทศ รวมทั้งแปรงสีฟันและหวีที่ทำจากแป้งข้าวโพด ถุงขยะที่ย่อยสลายได้จะวางไว้ในห้องพัก และการรับประทานอาหารในห้องพักจะถูกแทนที่ด้วยกล่องปิ่นโตและเหยือกน้ำแบบแก้ว

นายโทมัส ซิงเก้นเบอร์เกอร์ ผู้จัดการโรงแรมอครีา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ กล่าวเสริมว่า "เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการจัดหาผลิตภัณฑ์ทดแทนที่สามารถแข่งขันกับราคาได้ เราพยายามจัดหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช้พลาสติก และเรายังพยายามชักจูงให้ซัพพลายเออร์สามารถลดพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวในบรรจุภัณฑ์ที่จัดส่งได้อีกด้วย"

นอกจากนั้น ในระดับกลุ่มอัคริณ โฮเทล กรุ๊ป ยังได้ใช้แนวคิดนี้กับรายละเอียดต่าง ๆ ภายในโรงแรม เช่น การร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ชุดว่ายน้ำริซ (Riz) ซึ่งผลิตเสื้อผ้าที่ทำจากขวดพลาสติกรีไซเคิล ผลิตภัณฑ์สุดหรูที่ทำด้วยความเคารพต่อสิ่งแวดล้อม "มูลนิธิเพียวบลูและกลุ่มโรงแรมอัคริณจะยังคงมุ่งมั่นต่อไปในภาวะวิกฤตินี้ โดยมุ่งเป้าไปที่มหาสมุทรที่ปราศจากพลาสติก" นางอัญชลิกากล่าวปิดท้าย

1  นายโทมัส ซิงเก้นเแบร์เกอร์ ผู้จัดการโรงแรมอครีา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ2.   นางอารีรัตน์ เดชสมภพ เจ้าของโรงแรมอครีา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ 3.  นายธีรพงศ์ ประจักษ์เวช เจ้าของรงแรมอครีา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ 4.   นางอัญชลิกา กิจคณากร ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ อัคริณ โฮเทล กรุ๊ป5.   นายริชาร์ด โคเฮน ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการเดอะแล็บ ฟิตเนส
สำหรับเครืออัคริณ โฮเทล กรุ๊ป ปัจจุบันมีโรงแรมและรีสอร์ตที่อยู่ภายใต้การบริหารงานที่เปิดให้บริการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนา ทั้งสิ้น 8 แห่งในไทยและเอเชีย แบรนด์ “อลีนตา” (Aleenta) รีสอร์ตระดับห้าดาว ได้แก่ “อลีนตา ภูเก็ต-พังงา” (Aleenta Phuket-Phang Nga) และ “อลีนตา หัวหิน-ปราณบุรี” (Aleenta Hua Hin-Pranburi) และแบรนด์ “อคีรา” (akyra) ซึ่งเป็นโรงแรมสไตล์บูติคระดับห้าดาว ได้แก่

-อคีรา แมเนอร์ เชียงใหม่  (akyra Manor Chiang Mai)
-อคีรา บีช คลับ ภูเก็ต (akyra Beach Club Phuket)
-อคีรา ทองหล่อ (akyra Thonglor)
-อคีรา ทัส สุขุมวิท 20" (akyra Sukhumvit 20) โรงแรมใหม่ล่าสุดในเครือฯ
 ย่านสุขุมวิท กรุงเทพฯ ซึ่งจะเปิดให้บริการในเดือนกรกฎาคมนี้ 


อคีรา ทัส สุขุมวิท 20







นอกจากนั้น ยังได้เซ็นสัญญารับบริหารโรงแรมในต่างประเทศเป็นครั้งแรกแล้ว 2 แห่ง ใน ประเทศเวียดนาม อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่ เมืองฮอยอัน โรงแรมขนาด 300 ห้อง และ เมืองดานัง ขนาด 100 ห้อง ซึ่งจะเปิดให้บริการในปี 2563 นี้ นอกจากนั้น ยังเดินหน้าขยายธุรกิจการบริหารโรงแรมอีกหลากหลายโครงการในตลาดภูมิภาคอาเซียนในอนาคตทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าในช่วง 5 ปีนี้
จะเน้นขยายการบริหารโรงแรมลักชัวรีบูติคภายใต้แบรนด์ “อคีรา” เป็นหลัก ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากแบรนด์โรงแรมอื่น ๆ และจะเปิดให้บริการปีละ 2 แห่ง ในทำเลแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง อาทิ กระบี่, พัทยา, สมุย, เชียงราย, กรุงเทพฯ, เวียดนาม และบาหลี



"การขยายตัวโรงแรมปัจจุบันมีสูงมาก แต่เรามองว่า เซ็กเมนต์ที่เติบโตคือโรงแรมขนาดกลาง 50 – 100 ห้อง และสามารถตอบโจทย์นักท่องเที่ยว ดังนั้น การแข่งขันควรวางตำแหน่งเป็นโรงแรมบูติคลักซ์ชัวรี่ ซึ่งมองว่า เป็นเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจการบริหารโรงแรม ซึ่งเราเป็นแบรนด์ที่ถนัดคอนเซ็ปต์โรงแรมแนวนี้และเข้าใจกลุ่มนักท่องเที่ยวสไตล์นี้เป็นอย่างดี ซึ่งแบรนด์โรงแรมอลีนตาจะเป็นสไตล์รีสอร์ตหรูหรา ขณะที่แบรนด์อคีราจะเป็นไลฟ์สไตล์โฮเทล เป็นโรงแรมที่มีความคึกคัก ซึ่งการตอบรับของโรงแรมก็ดีมาก มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยกว่า 70-90% เนื่องจากอัคริณโฮเทลกรุ๊ปมีลุ่มลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ทั้งนักท่องเที่ยวและกลุ่มองค์กร นอกจากนั้น เรายังเน้นการให้บริการที่มีสีสัน มีจุดเด่นที่แตกต่าง ช่วยผลักดันการขายได้เพิ่มขึ้น ทำให้เป็นโอกาสที่เราจะได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของโรงแรมให้บริหารโครงการการลงทุนใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”     -อัญชลิกาให้ความเห็น






ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมูลนิธิเพียวบลู http://www.purebluefoundation.com
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงแรมอครีา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ https://www.theakyra.com/bangkok/sukhumvit/
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเดอะแล็บ ฟิตเนส http://www.thelabbangkok.com

30 พฤษภาคม 2561

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ทำการสำรวจและจัดทำเส้นทางสายกิน อาหารถิ่นในตำนาน


Gastronomy Tourism


เส้นทางสายกิน อาหารถิ่นในตำนาน (Gastronomy Tourism) ไว้จำนวน 10 เส้นทางกระจายไปทุกภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดตาก พะเยา สกลนคร สุรินทร์ ตราด ราชบุรี ระนอง สตูล อ่างทอง-สิงห์บุรี และลพบุรี   เพื่อขานรับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคของรัฐบาล ด้วยการใช้การท่องเที่ยวมาเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดยจาก 10 เส้นทางดังกล่าว ททท. ได้พิจารณาเลือก 5 เส้นทางได้แก่ จังหวัดตาก สุรินทร์ ตราด สตูล และลพบุรี มาดำเนินการจัดเป็นกิจรรมท่องเที่ยวนำร่องเพื่อให้สื่อมวลชนได้สัมผัสประสบการณ์จริง




 

คมกริช ด้วงเงิน ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการบริการท่องเที่ยว ฝ่ายส่งเสริมสินค้าการท่องเที่ยว ททท. , อิสระ สาตรา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานสุรินทร์ พร้อมด้วย ณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด นักแสดง นำคณะสื่อมวลชนเข้าร่วมโครงการเส้นทางสายกิน อาหารถิ่นในตำนาน ( Gastronomy Tourism)

 ณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด นักแสดง 
เพื่อขานรับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคของรัฐบาล ด้วยการใช้การท่องเที่ยวมาเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 เส้นทางนำร่อง

#gastronomytourism #TAT #Surin #เส้นทางสายกินอาหารถิ่นในตำนาน #สุรินทร์

เส้นทางสายกิน อาหารถิ่นในตำนาน (Gastronomy Tourism)

แซ่บนัวของกิน เมืองสุรินทร์ถิ่นช้างอย่ามองข้ามเด็ดขาด!

จังหวัดสุรินทร์ เที่ยวเองได้สบายๆ ถ้าใช้เวลาตามหาความหมายของชีวิตมาตลอด จนวันหนึ่งก็พบว่าจังหวัดสุรินทร์ ก็ยังคงเป็น สุรินทร์ แบบนี้เลยตั้งแต่โบราณ เมืองที่ชนะขาดเรื่องของธรรมชาติสวยนี่ไม่ต้องพูด และงานย้อนยุคของบ้านเมือง ที่ปัจจุบันเราแทบไม่พบวิถีแบบนี้กันแล้ว ไม่ว่าจะสายธรรมชาติ
ไม่ว่าหรือเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่ได้เกินกว่าจินตนาการ เรียกได้ว่าไปเมืองเดียวครบทุกแบบ

ลาก่อนฤดูร้อน! อุตุฯ ประกาศไทยเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว วันนี้ชวนมาเที่ยวเส้นทางสายกิน อาหารถิ่นในตำนาน สร้างสรรค์และออกแบบสินค้าเส้นทางอาหารไทย (Gastronomy Tourism) เส้นทางสายภูมิปัญญา และผลิตภัณฑ์ชุมชน ให้เกิดการรับรู้ และเป็นไปตาม Lifestyle ของกลุ่มเป้าหมายสำหรับ นักท่องเที่ยว และกลุ่มตลาดในประเทศ  เราพบว่าแท้จริงแล้ว  หนทางสู่ความเส้นทางท่องเที่ยวแบบสร้างสรรค์ รับรู้ภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในการเป็น World Destination ทางด้านอาหาร ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในการเป็น World Destination ทางด้านอาหาร ซึ่งอาหารไทยเป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวที่สำคัญสามารถกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว ทำให้เข้าใจและสัมผัสแต่ละสถานที่อย่างอิ่มเอม เที่ยวอย่างมีคุณค่าและถึงแต่ละสถานที่อย่างแท้จริง




การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  แนะนำเส้นทางเที่ยว พาเที่ยวสำรวจและจัดทำเส้นทางสายกิน อาหารถิ่นในตำนาน (Gastronomy Tourism) สัมผัสธรรมชาติให้ชุ่มฉ่ำกันทั้งปี จำนวน 10 เส้นทาง  ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์ของเราไปกันได้ กระจายไปทุกภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดตาก พะเยา สกลนคร สุรินทร์ ตราด ราชบุรี ระนอง สตูล อ่างทอง-สิงห์บุรี และลพบุรี เพื่อขานรับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคของรัฐบาล ด้วยการใช้การท่องเที่ยวมาเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เส้นทางยอดนิยม 10 เส้นทาง ลองมาอยู่ด้วยกัน จะเหลืออะไรอีกไหมที่ต้องปรับ ต้องรู้จัก ครั้งนี้ ททท. พิจารณาเลือก 5 เส้นทางได้แก่ จังหวัดตาก สุรินทร์ ตราด สตูล และลพบุรี มาดำเนินการจัดเป็น  กิจรรมท่องเที่ยวนำร่องเพื่อให้สื่อมวลชนได้สัมผัสประสบการณ์จริง ทริปนี้เจออะไรใน เส้นทางมาดูกันค่ะ อร๊ายยย.. ต้องไปแล้ว!


ปราสาทบ้านพลวง ความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหน มีความสวยงามและล้ำค่าเป็นปราสาทขนาดเล็ก ๑ องค์ ก่อสร้างด้วยหินทรายสีขาว บนฐานศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างประมาณ ๘ เมตร ยาวประมาณ ๒๓ เมตร ปราสาทมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีประตูทางเข้าออกด้านทิศตะวันออก ส่วนอีก ๓ ด้านทำเป็นประตูหลอก ทับหลังด้านทิศตะวันออกและทิศใต้สลักเป็นภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ทับหลังด้านทิศเหนือเป็นภาพพระกฤษณะปราบนาคกาลิยะ ส่วนทับหลังด้านทิศตะวันตกไม่ได้สลักภาพ ซึ่งหน้าบันด้านทิศตะวันออกสลักเป็นภาพพระกฤษณะยกเขาโควรรธนะ หน้าบันทิศเหนือสลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ และหน้าบันด้านทิศใต้สลักเป็นภาพบุคคลประทับนั่งเหนือหน้ากาล บริเวณรอบปราสาทมีสระน้ำล้อมรอบเว้นทางเข้าด้านหน้า โดยลักษณะของปราสาทบ้านพลวง จะคล้ายกับปรางค์น้อยบนเขาพนมรุ้ง ประกอบกับลวดลายที่พบบนหน้าบันและทับหลัง กำหนดรูปแบบทางศิลปะได้ว่าป็นศิลปะขอมแบบบาปวน อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖



วนอุทยานพนมสวาย สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เมืองที่ชนะขาดเรื่องของธรรมชาติ และงานย้อนยุคที่มีร่องรอยอารยธรรมของชาวขอมโบราณ หลอมรวมกลายเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ความสวยของโบราณสถานที่ยังอนุรักษ์กันไว้ได้เหมือนเดิมเด๊ะ ตั้งแต่อตีดยันปัจจุบัน เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางพุทธศาสนา ที่มีชื่อเสียง ทุกปีจะมีประเพณีสำคัญในช่วงวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ชาวเมืองสุรินทร์จะชวนกันเดินขึ้นเขาพนมสวาย จนเป็นประเพณีที่ทำสืบทอดกันมาเพื่อเป็นสิริมงคลต่อตนเอง คำว่า พนมสวาย เป็นคำภาษาพื้นเมืองของชาวสุรินทร์ การเดินทาง เที่ยวง่ายๆ เมืองที่มีความหมายว่า ภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาบัว อำเภอเมือง และตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาสวาย มีพื้นที่ทั้งหมด 18,145 ไร่ ได้รับการประกาศเป็นวนอุทยานเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2527 ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ของจังหวัดสุรินทร์ เต็มไปด้วยป่าไม้ที่มีความอุดมสมบูรณ์และสวยงาม นอกจากนี้ยังเป็นวนอุทยานเฉลิมพระเกียรติในประเทศไทย และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธา



ช้อปปิ้งที่ตลาดน้ำราชมงคลสุรินทร์ อยู่บริเวณท่าน้ำลำห้วย หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ ถนน สุรินทร์ - ปราสาท ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ห่างจากตัวจังหวัด 3 กิโลเมตร โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ ร่วมกับ กองกำลังสุรนารี ร่วมก่อตั้ง เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ภายในจังหวัด แวะชิวหาของกินที่นี่เป็นแหล่งจับจ่ายใช้สอย ในบริเวณตลาดริมน้ำเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เลาะเลี้ยวริมฝั่งลำน้ำห้วยเสนงแหล่งน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงคนสุรินทร์มายาวนาน รวมถึงกิจกรรมนั่งช้างชมป่า ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยการนั่งช้างไปตามเส้นทางประวัติศาสตร์ 60 ปี การเสด็จประพาสสุรินทร์ ตลาดน้ำราชมงคลสุรินทร์ เปิดเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 น.–18.00 น. ตลาดน้ำแห่งนี้จะคึกคักเป็นพิเศษในวันอาทิตย์ เนื่องจากมีตลาดนัดกรีนมอร์ จำหน่ายสินค้าชุมชนในบริเวณเดียวกันด้วย


ผ้าไหมทอบ้านท่าสว่าง ตามแบบฉบับที่ร่ำลือกันว่าหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงหัตถกรรมผ้าไหมแห่งเดียวของประเทศไทย บ้านท่าสว่าง หมู่ที่ 1 ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ลองเที่ยวเมืองที่มีเป็นหนึ่งหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยวของจังหวัดสุรินทร์ บ้านท่าสว่างเดิมชื่อ บ้านเตรี๊ยะ เป็นภาษาพื้นบ้าน (เขมร) คำว่าเตรี๊ยะ เป็นชื่อพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่ง ภาษาไทยว่าต้นชาด บรรพบุรุษของชาวบ้านเตรี๊ยะ ได้อพยพมาจากบ้านระเภาร์ เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ห่างจากบ้านเตรี๊ยะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ
5 กิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2485 ได้รวมหมู่บ้านเตรี๊ยะกับหมู่บ้านอื่นๆ เป็นตำบลท่าสว่าง และบ้านเตรี๊ยะ ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นบ้านท่าสว่างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลวดลายผ้าไหมสวยเก๋น่าซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึก ทุกมุมของที่นี่ช่างน่าเก็บภาพความประทับใจเอาไว้ทั้งหมด

สวยเริ่ดเชิ่ดได้! เพราะในปี 2553 บ้านท่าสว่าง ได้รับคัดเลือกให้เป็นหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยวเชิงหัตถกรรมผ้าไหม แห่งเดียวของประเทศ โดยกรมการพัฒนาชุมชนกรมพัฒนาชุมชนได้ดำเนินงานโครงการหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยว เพื่อพัฒนาหมู่บ้านที่มีจุดเด่น และมีเอกลักษณ์ ให้มีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยว เป็นการเพิ่มรายได้ให้ประชาชนในหมู่บ้านจากบริการด้านท่องเที่ยว


โลกแห่งความจริง ที่ปราสาทศีขรภูมิ สวยจนแทบหยุดหายใจ ความสวยงามสงบร่มรื่นดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสำรวจและพักผ่อนที่นี่ แม้ว่าการเดินทางอาจจะไกลสักหน่อย ตั้งอยู่ที่ตำบลระแงง ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ 34 กิโลเมตร ตามเส้นทางหมายเลข 226 โดยอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปอีก 1 กิโลเมตร ปราสาทศรีขรภูมิประกอบด้วยปรางค์อิฐ 5 องค์ องค์กลางเป็นปรางค์ประธาน มีปรางค์บริวารล้อมรอบอยู่ที่มุมทั้งสี่บนฐานเดียวกัน ที่ธรรมชาติช่างเสกสรรค์ ก่อด้วยหินทรายและศิลาแลง ปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก อย่างใกล้ชิดธรรมชาติ มีบันไดทางขึ้นและประตูทางเข้าเพียงด้านเดียวคือด้านทิศตะวันออกปรางค์ทั้งห้าองค์มีลักษณะเหมือนกัน คือ องค์ปรางค์ไม่มีมุข มีชิ้นส่วนประดับทำจากหินทรายสลักเป็นลวดลายต่างๆ ทั้งส่วนที่เป็นทับหลังและเสาประดับกรอบประตู เสาติดผนัง และกลีบขนุนปรางค์ ส่วนหน้าบันเป็นอิฐประดับลวดลายปูนปั้น องค์ปรางค์ประธานมีทับหลังสลักเป็นรูปศิวนาฏราช (พระอิศวรกำลังฟ้อนรำ) บนแท่น มีหงส์แบก 3 ตัวอยู่เหนือเศียรเกียรติมุข มีรูปพระคเนศ พระพรหม พระวิษณุ และนางปารพตี (นางอุมา) อยู่ด้านล่าง เสาประตูสลักเป็นลวดลายเทพธิดาลายก้ามปูและรูป


หมู่บ้านช้างเลี้ยงใหญ่ที่สุดในโลก ทวารบาล ศูนย์คชศึกษา หรือ หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมวิถีความเป็นอยู่ ความผูกพันระหว่างคนในชุมชนกับช้าง รวมทั้งประเพณี และวัฒนธรรมที่น่าชื่นชมอย่างใกล้ชิด ชาวบ้านตากลางแต่ละครัวเรือนจะมีช้างที่เลี้ยงไว้อาศัยอยู่รวมกัน จนช้างที่พวกตนเลี้ยงไว้เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของตน ก่อให้เกิดสายใยความผูกพันที่แน่นเฟ้นขึ้น ระหว่างคนกับช้าง ณ บ้านตากลาง จ. สุรินทร์ ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านช้างเลี้ยงใหญ่ที่สุดในโลก


ชาวบ้านตากลาง ดั้งเดิมเป็น ชาวส่วย (กูย) หรือ กวย ที่มีความชำนาญในการคล้องช้างป่า ฝึกหัดช้าง และเลี้ยงช้าง ส่วนมากต้องเดินทางไปคล้องช้างบริเวณชายแดนต่อเขตประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย ปัจจุบันสภาวะการเมืองระหว่างประเทศทำให้ชาวบ้านตากลาง ไม่สามารถไปคล้องช้างเช่นแต่ก่อนได้ ชาวบ้านตากลางยังคงเลี้ยงช้าง และฝึกช้างเพื่อไปร่วมแสดงในงานช้าง (Thailand Elephant show) บรรยากาศป่าเขตร้อนอันเขียวชอุ่มร่มรื่นของจังหวัดทุกปี

ชีวิตเป็นของเรา..ออกไปใช้มันสะ ที่นี่ควรค่าแก่การไปทำความรู้จัก หมู่บ้านช้างเลี้ยงใหญ่ที่สุดในโลก ลักษณะการเลี้ยงช้างของชาวบ้านตากลาง เหมือนการเลี้ยงช้างไว้เป็นเพื่อน นอนร่วมชายคาเดียวกับตน ดังนั้นถ้านักท่องเที่ยวได้ไปที่บ้านตากลาง นอกจากจะได้เห็นสภาพโรงช้างดังกล่าวแล้ว ยังจะได้สัมผัสการดำรงชีวิตของ ชาวส่วย โดยเฉพาะในพื้นที่จะได้พบปะพูดคุยกับหมอช้าง ที่มีประสบการณ์ในการคล้องช้างมาแล้วหลายครั้งได้ตลอดเวลา รวมทั้งยังสามารถเดินทางชมจุดบริเวณที่แม่น้ำชีและแม่น้ำมูลไหลมารวมกัน ซึ่งห่างออกไปเพียง 3 กิโลเมตร มีทัศนียภาพที่งดงามน่าพักผ่อนหย่อนใจ ชวนให้ศึกษาในเชิงของธรรมชาติด้วย


รับทานมื้อเย็น ในระหว่างเดินนทางท่องเที่ยว .... เส้นทางสายกิน อาหารถิ่นในตำนาน (Gastronomy Tourism)ทีกล้า ฟาร์ม มีส่วนร่วมในงาน ตามรอยอาหารถิ่น ของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศ และ ได้มีโอกาศ ทำอาหารถิ่น อาหารที่ให้ ผลผลิตจากฟาร์ม ชวนชิมอาหารอีสานแซ่บๆ ง่ายๆ กับเมนูอาหารพื้นบ้านจังหวัดสุรินทร์

หมก เป็นอาหารอีสานและอาหารลาวประเภทหนึ่ง เป็นการนำเนื้อสัตว์และผักมาเคล้ากับน้ำพริกแกง ปรุงรสด้วยน้ำปลาร้า ห่อด้วยใบตองทรงสูง นำไปนึ่งหรือย่างให้สุก ใส่ต้นหอมและใบแมงลักซึ่งเป็นเครื่องปรุงสำคัญ บางบ้านใส่ผักชีลาวด้วย ตัวอย่างอาหารประเภท หมก ได้แก่ หมกหน่อไม้ หมกไข่ปลา หมกหัวปลี หมกไข่มดแดง หมกปลา หมกเห็ด หมกฮวก เครื่องแกงส่วนใหญ่ประกอบด้วย พริกขี้หนูแห้ง หอมแดง ตะไคร้ซอย ใบมะกรูด เป็นหลัก หรือบางบ้านก็จะใส่กระชายหรือข่าด้วย

สลอตราว หรือแกงเผือก เป็นอาหารที่มีรสจืด นิยมใส่ปลาเป็นส่วนประกอบ อาจใช้รับประทานเปล่า ๆ คล้ายก๋วยเตี๋ยวก็ได้ ชาวเขมรและชาวกูย ที่มีฐานะ นิยมปรุงให้จืดเพื่อรับประทานเปล่า ๆ เผือกเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรทสูง ใช้รับประทานแทนข้าวได้ ปลาเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง  อาจใช้รับประทานเปล่าคล้ายก๋วยเตี๋ยว พร้อมรับประทานขณะร้อนๆ

ซันลอเจก (แกงกล้วย) “ซันลอเจก” เป็นภาษาเขมร หมายถึง “แกงกล้วย” ซันลอ = แกง, เจก = กล้วย เนื่องจากเมื่อก่อน การคมนาคมขนส่งต่าง ๆ ยังไม่สะดวก อาหารการกินต่าง ๆ ล้วนหาได้จากเรือกสวน ไร่นา และรอบ ๆ บริเวณบ้าน เมื่อมีคนตายในหมู่บ้าน เจ้าของงานจะจัดหาอาหารต้อนรับผู้มาร่วมงานศพ ซึ่งมักจะทำแกงกล้วยเป็นอาหารหลัก เพราะบ้านเกือบทุกหลัง นิยมปลูกต้นกล้วย เพราะต้นกล้วยสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง

อันซอมจรุ๊ก “อันซอมจรุ๊ก” ลักษณะเป็นท่อนยาวๆ ข้างในเป็นข้าวเหนียวผสมกับถั่วลิสง เนื้อหมูและมันหมู ปรุงรสให้ออกเค็มๆ หน่อยแล้วห่อด้วยใบตอง ชิมแล้วก็ถือว่ารสชาติไม่เลวเลยได้รสเค็มๆ มันๆ พร้อมกลิ่นหอมจากใบตอง จะว่าไปรสชาติก็ออกจะคล้ายๆ กับ “บ๊ะจ่าง” อยู่หน่อยๆ เพียงแต่ไม่ได้มีเครื่องเคราเหมือนกับบ๊ะจ่างของคนจีน

มอร์นิ่งงงจ้า เรื่องที่พัก อยากได้ที่พักดีๆ อาหารเช้าอร่อยๆ Slive Hotel ที่พักกลางใจเมืองสุรินทร์เมืองช้าง ที่พักแนวใหม่เอาใจลูกค้า Slive Hotel ตั้งอยู่ในเมืองสุรินทร์ ตรงกันข้ามโรงพยาบาลสุรินทร์ การเดินทางสะดวก ใกล้7-11 ใกล้สนามบิน แห่งความหรูหราอลังการ Slive Hotel ลองไปสัมผัสประสบการณ์พิเศษ Slive....สะอาด ทันสมัย มีสไตล์ คุ้มค่าคุ้มราคา บริการ Wifi ฟรี ทั้งพื้นที่โรงแรม  ตื่นจากเตียงนุ่มๆ Slive....สะดวก Slive....สบาย Slive Hotel Surin ณ.โรงแรมน่ารักทั้งสถานที่และราคา คุ้มค่าสุดๆ คิดจะพักคิดถึง #Slivehotel
169 Luck Muang Rd,
Muang Surin, Surin, Thailand
@slivehotel โทร 044 060 322




ชิลล์แค่ไหนต้องลองไปดู หลายคนบอกว่ากระแสการท่องเที่ยวโลกที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและเชื่อมโยงกันมากขึ้น ส่งผลให้ทุกภาคส่วน ต้องใช้ศักยภาพ ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และการขับเคลื่อนกลยุทธ์ความเป็นเลิศทางการตลาด การประชาสัมพันธ์ และการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จึงจำเป็นต้องกำหนดทิศทาง และสร้างความชัดเจนในกระบวนการส่งเสริม ผลักดัน ปรับเปลี่ยน และสร้างสินค้า บริการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว ความสุขอยางหนึ่งเมื่อได้มาเที่ยวเมืองไทย นั่นคงไม่พ้นการได้เรียนรู้ เปิดรับประสบการณใหม่ๆ กับเรื่องราวการกิน หนึ่งในซิกเนเจอร์ของเมืองไทย ที่ใครก็พลาดไม่ได้ ไม่เพียงแค่เปิดตาให้เห็นถึงความ มหัศจรรย์แห่งอาหารไทยที่ทำให้สัมผัสได้ถึงวิถีชีวิต เรื่องราวความน่าสนใจในศาสตร์และศิลป์แห่งศิลปะ วัฒนธรรม วิถีการดำรงชีวิตในแง่มุมต่างๆ แล้ว ยังสนุกเพลิดเพลิน อิ่มเอมไปกับอรรถรสของรสชาติอาหารที่ แตกต่างกัน


ในแต่ละพื้นถิ่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสัญลักษณ์ ความโดดเด่นของอาหารในแต่ละภูมิภาคได้อยางชัดเจน ด้วยเหตุนี้ เมืองไทยจึงไม่ได้มีดีเพียงแค่อาหารริมทาง เราเริ่มจากรู้จักสไตลสตรีทฟู้ด อาหารไทยที่ชวนสร้าง ความอะเมซซิ่ง ยังมีอาหารถิ่นจานอร่อย สไตล์วิถีไทยดั้งเดิมแบบพื้นบ้าน และอาหารไทยต้นตำรับที่เน้นความ วิจิตรบรรจง ในการปรุงแต่ง และจัดจานสไตล์ชาววัง ชวนให้ตื่นตาตื่นใจไปกับรูปแบบการนำเสนอ เช่นเดียวกับการยกระดับการพัฒนา เมนูสตรีทฟู้ดพื้นถิ่นแบบโลคัล สู่การเป็นอาหารไทยเชิงสร้างสรรค์ ผ่านการ ประยุกต์เพื่อเพิ่มคุณค่าและมูลค่าก็ยิ่งทำให้ อาหารไทยครบรส ทั้งอาหารตา อาหารใจ และอาหารที่คุณสัมผัส และรับรู้ถึงรสชาติความอร่อยได้ในแบบที่บางครั้งอาจคาดไม่ถึง สนุกสนานกันได้ทั้งครอบครัว


ชม Review ครั้งนี้แล้ว เชื่อว่าหลายคนน่าจะแพลนทริปในใจกันแล้ว ใครแพลนไปเที่ยวอยู่แล้ว
ลองหาเวลาสักวันสองวันไปชมกัน