เที่ยวทั่วไทย อร่อยทั่วโลก อัพเดทข่าวรายวัน Lifestyle บันเทิง ทันทุกกระแสข่าว!

29 กุมภาพันธ์ 2563

THE SiB CLINIC ฉลอง 9 ปี ชู 9 นวัตกรรมล้ำ ตอกย้ำเทรนด์ศัลยกรรมยอดนิยม

พร้อมจัดโปรหนัก สวยปลอดภัย สมวัยอย่างน่าอัศจรรย์

เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา แพทย์หญิง ดารินทร์ ม่วงไทย ประธานกรรมการ THE SiB CLINIC จัดงานฉลองครบรอบ 9 ปี ภายใต้ชื่องาน The SIBS Clinic Beauty Phenomenal สวยปลอดภัยสมวัยอย่างน่าอัศจรรย์ พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมที่ถือเป็นที่สุดทางด้านศัลยกรรมและหัตถการที่ลูกค้าเรียกร้องมากที่สุด โดยมี เมย์-เมทินี จันทร์สร้อย, บอม ธีรธัม จันทร์อ่ำ, ปิงปอง-สะแกวัลย์ ยงใจยุทธ, เปียเชอร์ คริสเต็นเซ่น ร่วมงาน 

ภายในงานมีการเวิร์คชอปสอนการแต่งหน้า แนะนำการเสริมความงามด้วยเทคโนโลยีล้ำยุค เช่น การผ่าตัดเสริมหน้าอกผ่านกล้อง, ปั้นหน้าให้สวยโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ, เสริมจมูกสุดปัง ณ เดอะซิบส์ คลินิก สาขาทองหล่อ สุขุมวิท 55


แพทย์หญิง ดารินทร์ ม่วงไทย ประธานกรรมการ THE SiB CLINIC เปิดเผยว่า “การจัดงานในวันนี้เป็นการฉลองครบรอบ 9 ปี ของการให้บริการ ตลอดเวลาที่ผ่านมาจะเห็นว่า ผู้หญิงทุกคนมีความใฝ่ฝันที่จะมีรูปร่าง หน้าตา สวยและหล่อ เพื่อเสริมบุคลิกภาพให้ดูดีเป็นที่จับจ้องของทุกสายตา ไม่ว่าจะสาวน้อย สาวใหญ่ หรือจะหนุ่มน้อยหรือหนุ่มใหญ่ ล้วนให้ความสำคัญกับหน้าตาเป็นอย่างมาก รวมถึงอิทธิพลจากศัลยกรรมจากแดนกิมจิก็กระตุ้นและเป็นสิ่งเร้าให้เกิดการอยากทำตัวเองให้ดูดีตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ไม่เว้นแม้กระทั่งสาวประเภทสอง ซึ่งทำให้เดอะซิบส์ คลินิก เติบโตขึ้นตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา

ปัจจุบันเดอะซิบส์ คลนิก มีบริการตั้งแต่ศัลยกรรมตกแต่ง ผิวหนังไปจนถึงเรื่องของการดูแลผม ดูแลหุ่น แอนไทร์เอจจิ้ง โดยการก้าวขึ้นสู่ปีที่สิบต้องบอกว่า เราพร้อมในการพัฒนาทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านธุรกิจ เทคโนโลยี โดยเพิ่มทีมแพทย์ที่มีอยู่ให้มากขึ้น แพทย์ที่นี่ไม่ใช่แพทย์จบใหม่ แต่มีประสบการณ์เกือบสิบปีในการดูแลคนไข้ในการทำศัลยกรรมตกแต่ง เพราะฉะนั้นสามารถมั่นใจในฝีมือและความเชี่ยวชาญได้”



ผู้บริหาร เดอะซิบส์ คลินิก กล่าวต่อว่า “คุณหมอแต่ละท่านก็จะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา เราอาจไม่ใช่ต้นแบบในการนำเทคโนโลยีนั้นมาใช้ แต่เราสามารถนำทุกอย่างมาประยุกต์ให้เหมาะกับคนไทย โดยการผ่าตัดแบบไหนจะเหมาะกับคนไทยหรือไม่ ซึ่งคุณหมอได้ปรับให้เข้ากับคนไทย

สิ่งที่อยากฝากกับผู้ที่จะทำศัลยกรรมคือว่า ควรจะใช้นวัตกรรมประเมินภาพกับผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งตรงนี้คนไข้จะต้องหาข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจไปผ่าตัด เทรนด์การผ่าตัดที่เกาหลีต้องยอมรับว่ามาแรง แต่หมอเองก็ยังเน้นย้ำว่าคน ไทย หมอไทย มีศักยภาพในการผ่าตัดดีมาก มีคนเกาหลีเข้ามาผ่าตัดในไทยด้วยซ้ำ หมอยังเน้นย้ำเสมอในเรื่องการหาข้อมูลก่อนการตัดสินใจทำศัลยกรรม”


ในส่วนของการฉลองครบรอบ 9 ปี เดอะซิบส์ คลินิก แพทย์หญิงดารินทร์ กล่าวถึงนวัตกรรมยอดนิยมที่พร้อมรองรับผู้เข้ารับบริการว่า “ นวัตกรรมที่โดดเด่นและได้รับความนิยมมาก มี 9 รายการ เริ่มจาก หนึ่ง เสริมหน้าอก+เติมไขมัน Hybridge Breast เป็น เทคนิคการเสริมหน้าอกโดยการเสริมซิลิโคนร่วมกับการเติมไขมันตนเอง โดยแพทย์ผู้ทำจะทำการดูดไขมันจากบริเวณหน้าท้องหรือต้นแขนหรือต้นขา นำมาคัดแยกเซลล์ไขมัน จากนั้นแพทย์จะทำการฉีดไขมันกลับไปยังบริเวณรอบ ๆ ตำแหน่งที่ต้องการ ซึ่งทุกขั้นตอน มีความสำคัญมาก ๆ

รายการที่สอง เสริมหน้าอก Barbie Breast เทคนิคการเสริมหน้าอกเทคนิคเฉพาะของเดอะซิบส์ เสริมหน้าอกทั้งทีต้องเลือกให้เหมาะสม การเสริมหน้าอกทรงบาร์บี้ หลายท่านเข้าใจว่าก็เหมือนการเสริมหน้าอกธรรมดา แต่ขั้นตอนการออกแบบให้เหมาะสมกับสรีระต้องผ่านความชำนาญจากตัวคุณหมอโดยตรง”



นอกจากนี้ ยังมีการผ่าตัดเสริมหน้าอกผ่านกล้อง ผู้บริหาร เดอะ ซิบส์ คลินิก กล่าวต่อว่า “ การผ่าตัดเสริมหน้าอกผ่านกล้องถือเป็นไฮไลท์  เป็นเทคนิคที่มีความพิเศษ เหมาะสำหรับลูกค้าที่กังวลเรื่องการผ่าตัด เพราะผลการรักษาแผลเล็ก มีความแม่นยำสูง พักฟื้นเร็วขึ้น 

รายการที่สี่ Time Machine mini facelift  เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่นิยมมากในกลุ่มสาวๆ ที่เริ่มดูภูมิฐานขึ้น
การดึงหน้า Facelift แก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า แก้ผิวหนังหย่อนคล้อย ให้สวยย้อนวัย เห็นผลจริงหลังทำ ด้วยเทคนิคพิเศษเฉพาะของทางเดอะซิบส์ คลินิก หรือที่เรียกกันว่า “Time Machine”



รายการที่ได้รับความนิยมลำดับที่ห้า คือ Endotine การผ่าตัดดึงหน้าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้าที่เคยร้อยไหมขั้นสุด และอยากมีใบหน้าที่ตึงกระชับแบบถาวร ซึ่งพื้นที่ที่เหมาะสมกับการทำ endotine ได้แก่ บริเวณแรก คือ หน้าผาก - ช่วงคิ้ว(Brow lift) บริเวณที่สอง คือ การดึงหน้าส่วนกลาง (Midface lift)หรือช่วงแก้ม บริเวณที่ 3 ช่วงกรอบหน้า ไปจนถึงลำคอ ตำแหน่งการเปิดแผลมี 2 ตำแหน่ง ถ้าเป็นบริเวณกรอบหน้าจะเปิดแผลบริเวณไรผม แต่ถ้าเป็นลำคอจะเปิดแผลบริเวณหลังหู”

และนวัตกรรมที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งทาง เดอะซิบส์ คลินิกพร้อมให้บริการ คือ การเสริมบุคลิกภาพด้วยการทำ Sexy Line และ  Six Pack ทำได้ทั้งชายและหญิง แพทย์หญิงดารินทร์ กล่าวว่า “การทำ Sexy Line เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ช่วยเสริมบุคลิกภาพของผู้หญิงที่อยากมีกล้ามบริเวณหน้าท้องเพิ่มความเฟิร์มที่เพอร์เฟค จะเน้นสร้างมิติให้หน้าท้องมีความเซ็กซี่ ส่วน six pack  เหมาะสำหรับคุณผู้ชายที่อยากมีมัดกล้ามเนื้อให้ดูเห็นถึงความ Healty ยิ่งคนที่ออกกำลังกายประจำยิ่งง่าย
นวัตกรรมที่เจ็ดที่เป็นที่นิยม คือ การดูดไขมัน เนื่องจากสภาวการณ์ปัจจุบันด้านอาหารการกิน การใช้ชีวิตที่เร่งด่วน ทางคลินิกจึงได้พัฒนาด้านการดูแลรูปร่างให้ดูเหมาะสมดูกระชับดูดีตลอดเวลา นวัตกรรมการดูดไขมันจึงเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง


นวัตกรรมที่แปด โปรแกรมร้อยไหม Sib Signature ไหมพิเศษ ลับเฉพาะของเดอะ ซิบส์  เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่เอาใจคนที่ชอบมีรูปหน้าเป๊ะ กรอบหน้าชัด มองมุมไหนก็สวยเรียว  ยกกระชับใบหน้าและลำคอให้เต่งตึง  ปรับโครงหน้าให้เป็น V-Shape ช่วยให้กรอบหน้าดูคมชัดขึ้น  ยกหางตา ยกคิ้วที่ตก และโหนกแก้ม แลดูอ่อนเยาว์  ยกปลายจมูก ปรับทรงให้สวยตามต้องการ  ทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 

และ นวัตกรรมที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับเก้า คือ Ulthera ในยุคนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก Ulthera ซึ่งเป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้ที่หลงใหลด้านการดูแลผิวขั้นสุด และผู้ที่ยังไม่พร้อมสำหรับการทำศัลยกรรม ซึ่งการทำ Ulthera เป็นการทำยกกระชับถึงชั้นในสุดที่เรียกว่า “ชั้น Smash” เหมาะสำหรับผู้ที่มีใบหน้าหย่อนคล้อย ขาดคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ร่องลึก ริ้วรอยลึก”


ปัจจุบัน เดอะ ซิบส์ คลินิก ภายใต้การบริหารงานของแพทย์หญิงดารินทร์ ม่วงไทย มีทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ ซอย สุขุมวิท 55 ถนนสุขุมวิท  สาขาเซ็นทรัลพระราม 9 สาขา เซ็นทรัล พระราม 2 และ เซ็นทรัล บางนา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02 – 714 -9885 หรือ www.thesibclinic.com

28 กุมภาพันธ์ 2563

สพฐ. ชี้


ยุค 4.0ต้องเป็น “All for Education” ทุกคนมีส่วนร่วมพัฒนาผู้เรียนเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระบุแนวทางการสื่อสารกับผู้ปกครองให้เข้าใจทิศทางการจัดการศึกษา เพื่อพัฒนาผู้เรียน ต้องเน้นย้ำและสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ว่าการศึกษาในวันนี้ต้องเป็นแบบ “Allfor Education” คือคนทุกคนต้องมีส่วนร่วม หวังพึ่งโรงเรียนอย่างเดียวคงไม่พอหนึ่งสัปดาห์เด็กอยู่ที่โรงเรียน 5 วัน ที่เหลือคืออยู่กับครอบครัว สังคม ชุมชน ดังนั้นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันขับเคลื่อนสังคมเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพดร.อำนาจ วิชยานุวัติเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า ในการเรียนรู้นั้น คุณครูผู้ปกครอง หรือชุมชน สังคม ต้องช่วยกันสร้างเกราะป้องกันให้กับเด็กให้เขาได้มีความพร้อมในการที่จะอยู่กับโลกใบนี้อย่างมีความสุขผมต้องเชิญชวนทุกท่าน ทั้งผู้ปกครอง หน่วยงานทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคประชาชนต้องช่วยกันลงมาดูแลเด็กๆของเรา ถ้าเด็กมีความเข้มแข็งทั้งด้านวิชาการ ด้านทักษะชีวิต ด้านอาชีพที่ดีแล้วประเทศไทยเราจะเจริญรุดหน้าไปได้ไกลขึ้น กระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การกำกับของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ได้กำชับคือการสร้างความเข้มแข็ง ทั้งภายในและภายนอกให้เกิดขึ้นกับตัวเด็กภายในหมายถึงองค์ความรู้ที่เกิดขึ้น ทักษะที่เกิดขึ้น แล้วแต่ทัศนะคติของเด็กเอง เขาต้องแข็งแรงทั้งด้านทักษะวิชาการทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต ส่วนภายนอกคือสังคมรอบนอก เราต้องช่วยกันหล่อหลอมช่วยกันดูแลใส่ใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเด็กทำให้เด็กมองเห็นว่าสิ่งที่มีอยู่รอบข้างนั้นมีหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์และหลายเรื่องที่เป็นโทษ ให้เขาได้เรียนรู้ หัดคิดหาเหตุและผลให้พื้นที่เขาได้แสดงความคิดเห็นด้วย เพราะเด็กทุกคนมีความหมายและมีความสำคัญไม่ต่างกัน”หลังการจัดงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนระดับชาติครั้งที่ 69 ประจำปี 2562 ใน 4 ภูมิภาค ที่เพิ่งผ่านพ้นไปแล้วนั้น เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงกันระหว่าง Thailand 4.0 และงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนอีกครั้งว่า 107ปีที่ผ่านมาว่า“นัยยะของคำว่าศิลปหัตถกรรมนั้นเป็นสิ่งที่นำความเป็นไทยมาหล่อหลอม มาผสมผสาน มาเติมเต็มซึ่งกันและกันกับความเป็นโลกยุคใหม่จะเห็นว่ามีการแข่งขัน Robot ด้วยการแข่งขัน Codding การแข่งขันคอมพิวเตอร์แข่งขันภาษาต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการจัดการแข่งขันที่บ่งชี้ถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทยของเราอาทิ การแกะสลัก การแสดงดนตรีไทย การฟ้อนรำ รวมทั้งด้านอื่นๆสะท้อนให้เห็นความงดงามทางศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเกียรติภูมิที่บรรพชนของเราได้อนุรักษ์หวงแหนถ่ายทอดมาสู่คนรุ่นหลัง และได้รับการอนุรักษ์และถ่ายทอดไปสู่อนุชนรุ่นหลังพร้อมๆ กับการก้าวไปสู่ยุคอนาคตต่อไปการพัฒนาผู้เรียนของเราจึงต้องได้รับการอบรมบ่มเพาะ หล่อหลอม สอดคล้องทันสมัยทันยุคและคงความเป็นไทยของเราไว้ให้ได้” นี่คือบทสรุปที่แน่วแน่ในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนที่ชัดเจนยิ่งของดร.อำนาจ กล่าว





เช่นเดียวกันกับความเห็นของ นายพยอม วงษ์พูล ผู้อำนวยการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัยเขต 1 ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนระดับชาติ ครั้งที่ 69 ปีการศึกษา 2562 ภาคเหนือ จังหวัดสุโขทัยที่เห็นว่าการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เรียนรู้-ต่อยอดการศึกษา สู่อาชีพที่มั่นคงสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง นั้น เด็กๆ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้จากเวทีการประกวดต่างๆบริบทต่างๆ เสริมควบคู่ไปจากการเรียนรู้ภายในห้องเรียน คำขวัญการจัดงานของภาคเหนือคือวิชาการก้าวนำ หัตถกรรมก้าวหน้า เด็กเหนือพัฒนา ภูมิปัญญาสู่สากล ภูมิปัญญาในที่นี่เป็นการนำเอาความรู้ด้านวิชาการที่มีมากมายหลายแขนง ทั้งศาสตร์และศิลป์ซึ่งมีการพัฒนาและนำสมัยอยู่ตลอดเวลามารวมกัน หัตถกรรมหรือฝีมือต่างๆ ก็ต้องได้รับการพัฒนาไม่ด้อยไปกว่าทางด้านวิชาการ โดยให้เด็กหรือนักเรียนเป็นผู้คิดค้นประดิษฐ์ในเชิงสร้างสรรค์และถ่ายทอดซึ่งกระบวนการคิดวิเคราะห์ผ่านการนำเสนอในรูปแบบต่างๆจนเกิดซึ่งภูมิปัญญาหรือผลงานเชิงสร้างสรรค์ ที่สะท้อนความรู้กระบวนการและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ออกมาเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้ที่ได้พบเห็นทั้งในและต่างประเทศอันจะเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพของผู้เรียนได้เป็นอย่างดีและที่สำคัญต้องสามารถนำภูมิปัญญานั้นไปสร้างอาชีพสร้างรายได้และเป็นบุคคลที่มีส่วนในการพัฒนาชาติต่อไป

อย่างไรก็ตาม นายพยอม ยังกล่าวเสริมอีกว่าการแข่งขันงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนฯมีการลงพื้นที่จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตพื้นที่ เพื่อติดตาม สังเกตการณ์การแข่งขันกิจกรรมทุกสนามแข่งขัน เพื่อเก็บข้อมูลอันจะนำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพการจัดการศึกษาในด้านต่างๆอาทิ นักเรียนที่เข้าแข่งขันมีทักษะทั้งทางด้านวิชาการมีความรู้ความสามารถเป็นไปตามความต้องการของหลักสูตร มีทักษะวิชาชีพซึ่งสามารถพัฒนาต่อยอดและนำไปสู่การเป็นอาชีพ นักเรียนแสดงออกอย่างมีความคิดสร้างสรรค์การใช้เทคโนโลยีต่อยอดทางการศึกษาเรียนรู้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน เช่น การแข่งขันหุ่นยนต์ และนักบินน้อย สพฐ. เป็นต้น ซึ่งต้องยอมรับว่าการแข่งขันศิลปหัตถกรรมที่ผ่านมาจากอดีตถึงปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสังคมโดยมุ่งเน้นให้เด็กค้นหาและพัฒนาศักยภาพของตนเอง เพื่อพัฒนาเป็นอาชีพได้อย่างสร้างสรรค์ “อยากให้นักเรียนที่เข้าร่วมการแข่งขันได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ความรู้ความสามารถที่ได้รับจากการแข่งขันในครั้งนี้ ไปพัฒนาผลงานของตนเองหรือนำไปต่อยอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อปูทางไปสู่การศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นไปและที่สำคัญได้นำไปสร้างอาชีพที่มั่นคง สร้างรายได้เลี้ยงตัวและครอบครัวรวมทั้งสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนของตนเองต่อไป”
ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 กล่าว สรุป

Art Exhibition~The 51

The 51 Tasty Moments

ประพันธ์ หมื่นเผือ - ศิลปินผู้สร้างสรรภาพวาดตามสั่งเพื่อตกแต่งบ้านและสำนักงาน - เป็นสมาชิก "ศิลปิน ๒ รัชสมัย" ได้นำภาพวาด 6 ภาพที่ประกอบด้วยพุทธปรัชญา มาแสดงที่
ห้องอาหาร  
"The 51 Tasty Moments"  สุขุมวิท ซอย 51 




ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ศกนี้เป็นต้นไป

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ดร.จินดารัตน์ 

โทร. 092 446 5155

27 กุมภาพันธ์ 2563

24 หน่วยงานร่วมสนับสนุนแผน อพท. ท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน

24 หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา พร้อมสนับสนุน “แผนปฏิบัติการการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน พ.ศ.2563 – 2565” มั่นใจตอบโจทย์นโยบายรัฐบาลพัฒนาชุมชนฐานรากของประเทศ ช่วยสร้างโอกาสการมีงานทำ สร้างรายได้และกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม



​กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. หน่วยงานหลักในการประสาน ส่งเสริม สนับสนุน การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนของประเทศไทย นำโดย นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการ อพท. ได้จัดกิจกรรม การส่งมอบแผนปฏิบัติการการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2563 – 2565 ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชน เพื่อส่งมอบแผนปฏิบัติการฯ ให้กับผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ในคณะอนุกรรมการการท่องเที่ยวโดยชุมชนนำไปบูรณาการการทำงานร่วมกัน ตามวิสัยทัศน์ที่ว่า “การท่องเที่ยวโดยชุมชนของไทยพัฒนาสู่สากลอย่างมีเอกภาพ ยกระดับมาตรฐานบนฐานการรักษาและจัดการทรัพยากรชุมชนอย่างสร้างสรรค์สู่ชุมชนแห่งความสุขและยั่งยืน”

​นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการ อพท. กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นผลมาจากการดำเนินการทบทวนแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2559 - 2563 (CBT Thailand) ซึ่งเป็นแผนที่เกิดจากการรวบรวมองค์ความรู้จากผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในการพัฒนาต้นแบบการท่องเที่ยวโดยชุมชน จำนวน 14 ชุมชนในพื้นที่พิเศษ

“แผน CBT Thailand เกิดจาก อพท. ได้ดำเนินการพัฒนาศักยภาพชุมชนต้นแบบร่วมกับคณะกรรมการรับรองแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนที่มีการบริหารจัดการโดยคนในชุมชน และผลลัพท์ที่ได้ตามมาคือการท่องเที่ยวโดยชุมชนสามารถทำให้เกิดการสร้างรายได้และกระจายรายได้ลงสู่ชุมชนอย่างแท้จริง”

จากความสำเร็จครั้งนั้น รัฐบาลได้เห็นความสำคัญและมอบนโยบายในการขยายผลการพัฒนาและการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวโดยชุมชน ขยายผลมุ่งเป้าหมายสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
ผู้อำนวยการ อพท. กล่าวว่า หลักการการทบทวนแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2563 - 2565 แผนนี้ จัดทำขึ้นภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เกณฑ์การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก (GSTC) แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยการสัมภาษณ์และจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น รวมถึงเวทีผู้ทรงคุณวุฒิด้านการท่องเที่ยว จากผลการประชุมคณะ ที่ประชุมได้ปรับเปลี่ยนชื่อแผนเป็น “แผนปฏิบัติการการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน” เป็นแผนระดับ 3

โดยเพิ่มเติมความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนทุกระดับ เพื่อผลสัมฤทธิ์ตอบเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึงบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นเอกภาพในทิศทางเดียวกันของ 24 หน่วยงานภายใต้คณะอนุกรรมการการท่องเที่ยวโดยชุมชน ซึ่งประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษาและองค์กรชุมชน จากต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยมอบหมายให้มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาเป็นผู้ดำเนินการทบทวนแผนฯ

สำหรับแผนปฏิบัติการการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2563 - 2565 มีแนวคิดหลักในการพัฒนาตามองค์ประกอบ 4 ประการ ได้แก่
1. แหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนของประเทศไทยมีมาตรฐาน และมีคุณภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวได้ รวมทั้งเป็นต้นแบบในการเรียนรู้ ด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชนทั้งในและต่างประเทศ
2. ยกระดับการท่องเที่ยวโดยชุมชน โดยการเพิ่มคุณค่า และมูลค่า
3. เพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม และการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนในทุกระดับ
4. ส่งเสริมให้เกิดการกระจายรายได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม บนฐานเศรษฐกิจพอเพียงนำไปสู่ชุมชนแห่งความสุขอย่างยั่งยืน


นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานในพิธี กล่าวว่า “แผนปฏิบัติการการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยังยืน ปี พ.ศ.2563 - 2565 เป็นเป้าหมายที่หน่วยงานในคณะอนุกรรมการการท่องเที่ยวโดยชุมชนร่วมกันกำหนดและวางกรอบการทำงาน เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนของประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี”

การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนถือเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยบูรณาการภาคีทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อน เชื่อมโยงการทำงานร่วมกันทั้งห่วงโซ่คุณค่าการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและได้รับผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวโดยตรง ตอบโจทย์นโยบายรัฐบาล พัฒนาชุมชนฐานรากของประเทศให้มีศักยภาพในการจัดการและดูแลทรัพยากรท้องถิ่นของชุมชนบนฐานการพึ่งพาตนเอง ความพอเพียงและยั่งยืน นำไปสู่เป้าหมายการอนุรักษ์อัตลักษณ์วิถีวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติ สร้างโอกาสการมีงานทำ สร้างรายได้และกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม พัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจฐานราก ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และนำไปสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในที่สุด



26 กุมภาพันธ์ 2563

“โบทูลินั่มท็อกซิน เอ” หรือ “นิวโรน็อกซ์” (Neuronox) ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดโบทูลินั่มท็อกซิน ประเทศไทย

พาเรือธง “นิวโรน็อกซ์” ชิงส่วนแบ่งตลาดมากสุดในไทย
พร้อมตั้งเป้าปี 2020 โต20 %หรือกว่า 800ล้านบาท


บริษัท เมดิเซเลส จำกัดจัดค่ำคืนฉลองความสำเร็จขอบคุณคลินิกคู่ค้าอย่างยิ่งใหญ่ ในงาน “Sharing Your Happiness”ตอกย้ำความน่าเชื่อถือของเรือธงหลักอย่าง “โบทูลินั่มท็อกซิน เอ” หรือ “นิวโรน็อกซ์” (Neuronox) ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในตลาดโบทูลินั่มท็อกซิน ประเทศไทย และได้รับความไว้วางใจในระดับโลก ทั้งยังมีคุณสมบัติลดเลือนริ้วรอย ปรับสภาพผิว ยกกระชับ ปรับรูปหน้า และที่สำคัญคือมีความปลอดภัยสูง จนได้รับความเชื่อมั่นจากบรรดาคลินิกและสถาบันเสริมความงามมากมายพร้อมจัดพิธีมอบโล่เกียรติยศประจำปี ให้กับผู้ประกอบการคลินิกทั่วประเทศ ตั้งเป้าคงคุณภาพผลิตภัณฑ์ และพัฒนานวัตกรรมความงามใหม่ตอบโจทย์ผู้บริโภค พาบริษัทโต 20 %หรือกว่า800ล้านบาท



นายสุรวุฒิ วูวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดิเซเลส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท เมดิเซเลส จำกัดก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ.2560เป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท เซเลส(ประเทศไทย) จำกัดและ บริษัทเมดิท็อกซ์ อินคอร์เปอเรชั่นประเทศเกาหลีใต้เพื่อนำเข้าและจัดจำหน่ายยาจากเมดิท็อกซ์ อินคอร์เปอเรชั่น ประเทศเกาหลีใต้แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยโดยเป้าหมายหลักของเมดิเซเลส คือการส่งต่อนวัตกรรมความงามที่มีคุณภาพให้ถึงมือคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทอย่าง “โบทูลินั่มท็อกซิน เอ” หรือชื่อการค้าคือ “นิวโรน็อกซ์” (Neuronox)โบคุณภาพเกาหลีสายพันธุ์แท้ จากต้นกำเนิดในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นทะเบียนยาในประเทศไทยเพื่อจำหน่ายมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2551 และปัจจุบันมีใช้ทั้งในทางการแพทย์และในวงการความงาม โดยมีสถานพยาบาลประเภทคลินิกเป็นตลาดสำคัญ ซึ่งนวัตกรรมความงามนี้ถือเป็นการนำเสนอที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ในประเทศไทยอย่างดีเยี่ยม ทั้งยังได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพและการยอมรับจากสถาบันเสริมความงามชั้นนำในประเทศมายาวนานกว่าสิบปี
   
สุรวุฒิ วูวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดิเซเลส จำกัด
เมดิเซเลส นับได้ว่าได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาตลอดระยะเวลา 2 ปีหลังจากก่อตั้งบริษัท เนื่องจากเป็นการร่วมทุนกันของสองบริษัทความงาม ที่มีความน่าเชื่อถือในระดับประเทศ นอกจากนี้ นวัตกรรม“นิวโรน็อกซ์” คือผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการผลิตจากโรงงานในประเทศเกาหลีใต้ ที่มีมาตรฐานสูง และได้รับความไว้วางใจในระดับโลก ทั้งยังมีคุณสมบัติลดเลือนริ้วรอย ปรับสภาพผิว ยกกระชับ ปรับรูปหน้าและที่สำคัญคือมีความปลอดภัยสูง จนได้รับความเชื่อมั่นจากบรรดาคลินิกและสถาบันเสริมความงามมากมาย ทั่วประเทศ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนับว่าตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งานในประเทศไทย ที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียมมากขึ้น และทำให้ นิวโรน็อกซ์ กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในตลาดโบทูลินั่มท็อกซิน มูลค่ากว่าพันล้านบาทในประเทศไทย
       
 
“การเติบโตที่รวดเร็วของ เมดิเซเลสและผลิตภัณฑ์ นิวโรน็อกซ์ เกิดจากการมุ่งมั่นของบุคลากรที่พยายามผลักดันให้บริษัทก้าวไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ทั้งยังเกิดจากความเชื่อมั่นและแรงสนับสนุนของคลินิกคู่ค้า ที่ไว้วางใจและส่งมอบผลิตภัณฑ์นิวโรน็อกซ์ไปสู่คนไข้หรือผู้ที่มารับบริการเสมอมา และเพื่อเป็นส่งคำขอบคุณถึงการทำงานดังกล่าว บริษัทจึงได้จัดงาน‘Sharing Your Happiness’ขึ้นเพื่อฉลองให้กับความสำเร็จตลอดเวลาที่ผ่านมา รวมถึงการจัดพิธีมอบโล่เกียรติยศประจำปี ให้กับแขกผู้มีเกียรติซึ่งเป็นผู้ประกอบการคลินิกจากทั่วประเทศทั้งยังมีบรรยากาศความสนุกสนานและความบันเทิง ท่ามกลางกลิ่นอายแห่งความสุขตลอดงาน เพื่อให้สมกับสโลแกน Sharing Your Happinessอีกด้วย”นายสุรวุฒิ กล่าว

           
ทั้งนี้ ในปี 2020บริษัท เมดิเซเลส จำกัด ยังมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมความงาม ที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อาทิ นิวรามิส(Neuramis)ผลิตภัณฑ์ไฮยาลูรอนิค แอซิด ส่วนเติมเต็มใต้ผิวหนังความบริสุทธิ์สูงถูกออกแบบไว้หลายรุ่นเพื่อตอบสนองการใช้งานที่แตกต่างกันมีจุดเด่นเรื่องการเติมเต็มได้หลากหลายบริเวณเช่นร่องแก้ม แก้ม หน้าผาก ซึ่งผลิตภัณฑ์จะคงสภาพอยู่ยาวนานและค่อยๆสลายหมดได้เองตามระยะเวลาไปจนถึง 9 เดือน รวมทั้งผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด อย่าง อินโนท็อกซ์ (Innotox)โบทูลินั่มท็อกซิน เอ ในรูปแบบยาที่ผสมสารละลายสูตรน้ำตัวแรกของโลกที่ปราศจากส่วนประกอบจากสัตว์และโปรตีนในเลือดจากมนุษย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพด้านอื่นๆ อาทิ ผลิตภัณฑ์แก้อาการแฮงค์หลังจากการดื่มสุราซึ่งเป็นโปรตีนแบคทีเรียที่ดีมีฤทธิ์ลดอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลียและเมาค้างในตอนเช้า เป็นต้น

         
“ตลาดเสริมความงามในประเทศไทย คือตลาดที่มีการเติบโตพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นจากทัศนคติต่อการเสริมความงามในยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป โดยทั้งชายและหญิงจะมองว่าการใช้โบทูลินั่มท็อกซิน เพื่อเสริมบุคลิกภาพกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเมดิเซเลส มั่นใจว่าด้วยคุณภาพและความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ นิวโรน็อกซ์รวมถึงการรุกตลาดด้วยนวัตกรรมความงามใหม่ๆ จะทำให้บริษัทมีมูลค่าการเติบโตราว 20 %หรือราว800ล้านบาท”นายสุรวุฒิ วูวงศ์กล่าวทิ้งท้าย



         
สำหรับผู้ที่สนใจในผลิตภัณฑ์ และรายละเอียดของ
 “โบทูลินั่มท็อกซิน เอ” หรือชื่อการค้าคือ “นิวโรน็อกซ์” (Neuronox) โบคุณภาพเกาหลีสายพันธุ์แท้
จากต้นกำเนิดในประเทศสหรัฐอเมริกา

สามารถติดตามได้ที่ www.medyceles.co.th

25 กุมภาพันธ์ 2563

GIT โชว์ผลงานการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ หลังผ่านโครงการ Gems Treasure ตอบโจทย์สากล

พร้อมประกาศเดินหน้าโปรเจค Thailand: Land of Jewel


สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT จัดแสดงผลงานความสำเร็จ ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลก ผ่านผลงานเครื่องประดับสุดล้ำค่าที่สะท้อนภูมิปัญญาและอัตลักษณ์ท้องถิ่น ณ  คูหา GEMS TREASURE ในงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 65 

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้ดำเนินงานตามโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาค เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลก










ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี โดยตั้งเป้าหมายในการลงพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเบื้องต้นได้ลงพื้นที่ไปแล้ว 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดน่าน จังหวัดสุโขทัย จังหวัดสตูล จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดแพร่ จังหวัดตราด จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดภูเก็ต จังหวัดตาก จังหวัดพังงา จังหวัดสตูล จังหวัดกาญจนบุรี และ จังหวัดนครราชสีมา

โดยปี 2563 นี้เตรียมลงพื้นที่เพิ่มเติมในกลุ่มจังหวัดอีสานใต้ ได้แก่ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ซึ่งมีเอกลักษณ์ของที่สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างชัดเจนมาเป็นจุดขาย พร้อมบูรณาการร่วมกับธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเพื่อสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่โดยใช้เครื่องประดับท้องถิ่นเป็นสิ่งดึงดูดผู้บริโภคและนักท่องเที่ยว






เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา สถาบันได้ลงพื้นที่ครบทั้ง 15 จังหวัด และได้นำทีมงานผู้เชี่ยวชาญของ GIT และนักออกแบบอัญมณีและเครื่องประดับลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการ พร้อมหารือหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ 15 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งทีมผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการท้องถิ่นได้ร่วมกันรังสรรค์เครื่องประดับที่มีอัตลักษณ์อันโดดเด่นของแต่ละจังหวัด ให้มีความสวยงาม ร่วมสมัย สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน และพัฒนาต่อยอดให้เกิดรายได้ที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก สร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยตั้งแต่ระดับฐานราก และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ สถาบันได้นำผลงานการออกแบบเครื่องประดับในโครงการที่โดดเด่น มาจัดแสดงในงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 65  พร้อมโชว์ความสำเร็จของการผลักดันให้จังหวัดจันทบุรีก้าวสู่การเป็น “นครอัญมณีโลก”  เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนด้านอัญมณีและเครื่องประดับจังหวัดจันทบุรี จากการจัดงานเทศกาล “พลอยและเครื่องประดับนานาชาติ 2019”  หรือ International Chanthaburi Gems and Jewelry Festival 2019”  ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 – 8 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา และ ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการชาวไทย และ ชาวต่างชาติที่เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก ณ บริเวณ คูหา GEMS TREASURE ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 25 – 29 กุมภาพันธ์ 2563


อย่างไรก็ตาม จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และส่งผลไปยังภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน ทำให้ผู้ประกอบการเกิดความกังวล โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ

ดังนั้นสถาบันจึงได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการด้านอัญมณีและเครื่องประดับรายใหญ่เข้าช่วยเหลือ และสนับสนุนในการพัฒนาด้านต่างๆ ผู้ประกอบการในท้องถิ่นอีกด้วย เพื่อสร้างจุดแข็งให้กับสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ รวมทั้งมุ่งหวังให้คนไทยร่วมกันสนับสนุนสินค้าจากฝีมือผู้ประกอบการไทยเพิ่มขึ้น โดยสถาบันได้ผลักดันผู้ประกอบการค้าอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาคต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ให้เข้ามามีส่วนร่วมและแสดงผลงาน ณ บริเวณ คูหา New Faces จำนวน 14 ราย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการขยายตลาดสินค้าไทยจากชุมชนสู่สากล อีกด้วย


ซึ่งจากโครงการต่างๆ ข้างต้นที่สถาบันได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนและทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในฐานะการเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับโลก โดยมีแผนโปรโมทภาพลักษณ์ของประเทศไทย (Country Image) เพื่อสร้างการยอมรับในฐานะที่ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งอัญมณี หรือ Thailand: Land of Jewel สถาบันยังคงเดินหน้าสานต่อ และสร้างสรรค์ โครงการต่างๆ เพื่อพัฒนา และต่อยอดอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมผลงานอัญมณีและเครื่องประดับจากฝีมือและภูมิปัญญาอันเป็น
อัตลักษณ์ของชาติไทย ได้ ณ คูหา GEMS TREASURE ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 25 – 29 กุมภาพันธ์ 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 18.00 น. 

สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 02 634 4999 ต่อ 635 – 642 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.git.or.th

23 กุมภาพันธ์ 2563

รพ.พญาไทศรีราชา ฉลองครบ 16 ปี จัดงาน “Beloved Fertility "Family Reunion"


เมื่อวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา  โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา จังหวัดชลบุรี  จัดงาน “Beloved Fertility "Family Reunion" เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ  16 ปี   ณ ห้องบางแสน 1-2 โรงแรมบางแสนเฮอริเทจ จังหวัดชลบุรี โดยในงานนี้ได้รับเกียรติจาก พญ. สุชาดา มงคลชัยภักดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากและเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านเทคโนโลยีการรักษาภาวะมีบุตรยาก


ซึ่งในงานนี้ทางโรงพยาบาลได้เชิญครอบครัว ผู้ซึ่งเข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยากโดยผู้ปกครองมาร่วมงานพร้อมกับเด็กๆ เสมือนได้กลับพบกับแพทย์ ผู้ที่เป็นผู้ก่อให้เกิดชีวิตของเด็กๆ อีกครั้งหนึ่ง  โดยศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ได้เปิดดำเนินการมาครบรอบ 16 ปีแล้วนั้น แต่ได้รักษาครอบครัวที่มีบุตรยากสำเร็จไปแล้วกว่าหมื่นครอบครัว โดยภายในงานได้เนรมิตให้เปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น ความปิติยินดี ที่ได้เห็นการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กน้อยเหล่านี้

ซึ่งเป็นเด็กที่คุณพ่อและคุณแม่ตั้งใจที่จะให้กำเนิดและเลี้ยงดูพวกเขาเหล่านี้ด้วยความเอาใจใส่ อบรมสั่งสอน เลือกสรรแต่สิ่งที่ดี เพื่อที่เติบใหญ่ไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อสังคมต่อไป โดยงานในวันนี้สะท้อนให้เห็นถึง ความสำเร็จของศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ของโรงพยาบาลพญาไทศรีราชา ที่ถือเป็นโรงพยาบาลอันดับต้นๆของเมืองไทยที่มีอัตราความประสบความสำเร็จในการรักษาผู้มีบุตรยากอย่างสูง และยังถือเป็นโรงพยาบาลทางเลือกแรก ๆ ที่หลายๆครอบครัวเข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยากอีกด้วย

โดยในปัจจุบันศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา มีห้องแลปปฏิบัติการผสมและเลี้ยงตัวอ่อนที่ทันสมัย ได้มาตรฐานระดับโลก ควบคุมปัจจัย สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ให้เสมือนทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา จึงส่งผลให้มีอัตราประสบความสำเร็จ โดยอัตราเฉลี่ยอายุมารดาในช่วงทุกอายุ สูงมากถึง 75% และยังมีขีดความสามารถในการรักษาภาวะมีบุตรยากในครอบครัวที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น คัดกรอง โรคกล้ามเนื้อลีบ ถุงน้ำในไต โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียออกและยังช่วยให้ได้ลูกปกติ ไม่มียีนถ่ายทอดความผิดปกติมา จึงเป็นที่นิยมสำหรับครอบครัวที่ต้องการมีลูก ทั้งจากประเทศไทยและต่างประเทศ ทั้งโซนเอเซียและยุโรป 

นอกจากนี้ ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ยังได้รับเกียรติให้เป็นสถานที่ศึกษาดูงานจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ อีกด้วย





โดยทางศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา จังหวัดชลบุรี ได้มอบของขวัญพิเศษแด่ท่านที่อยากมีบุตรรวม 29 รายการ  ในช่วงระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถึง 31 มีนาคม 2563 นี้เท่านั้น  โดยมีส่วนลดจากราคาปกติ เหลือเพียง 199,900 บาทเท่านั้น ติดต่อสอบถาม โทร 081-000-7500  หรือ Line  : https://lin.ee/vULfB4j หรือ Facebook: รักษามีบุตรยาก Beloved Fertility Center by Dr. Suchada Mongkolchaipak