เที่ยวทั่วไทย อร่อยทั่วโลก อัพเดทข่าวรายวัน Lifestyle บันเทิง ทันทุกกระแสข่าว!

30 สิงหาคม 2567

เรื่อง กล้วย กล้วย ใจกลาง เมือง บันนังสตา


“เรื่อง กล้วย กล้วย ใจกลาง เมือง บันนังสตา”กับงานมหกรรมกล้วยหิน และของดีอำเภอบันนังสตา 67

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 67 ณ ที่ว่าการอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา นายเชาวลิต สิทธิฤทธิ์ นายอำเภอบันนังสตา ขอเชิญร่วมงานกล้วยหิน และของดีบันนังสตา ประจำปี 2567 ซึ่งทางอำเภอบันนังสตาร่วมกับหน่วยงานราชการและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นของดีในพื้นที่ให้รู้จักแพร่หลาย เป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไป อีกทั้งเป็นการขยายฐานตลาดของเกษตรกรผู้ผลิตให้มีความหลากหลายอันนำไปสู่สภาพเศรษฐกิจที่ดีมีคุณภาพ ทั้งนี้ ยังเป็นการสร้างความ ปรองดองสมานฉันท์ ในพื้นที่สังคมพหุวัฒนธรรม ซึ่งปีนี้กำหนดจัดขึ้น ในวันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน 2567 ระหว่าง เวลา 8.30-16.30 ณ บริเวณลานกิจกรรมหน้าที่ว่าการอำเภอบันนังสตา


นายเชาวลิต กล่าวว่า กล้วยหิน เป็นกล้วยป่า พบในธรรมชาติครั้งแรกเป็นจำนวนมากในสภาพอากาศร้อนชื่น บริเวณป่าสองฝั่งแม่น้ำปัตตานี ในพื้นที่ตำบลบาเจาะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เนื่องจากทำเลทองแห่งนี้มีผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ มีความชื่นทั้งในดินและในอากาศสูงตลอดทั้งปี กล้วยหิน 1 เครือ จะมีประมาณ 7-10 หวี เฉลี่ยหวีละ 10-15 ผล กล้วยหินเดิมโตได้ในดินแทบทุกประเภท ทนแล้งได้ดี ลำต้นมีขนาดใหญ่ แข็งแรง แตกกอ ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวนทนทานต่อโรครากเน่า (ตายพราย) มีเปลือกหนาทนทานต่อการขนส่ง และผลแก่เก็บไว้ได้นานนับสัปดาห์ ส่วนต้นอ่อนนำมาปรุงอาหารรสชาติดีกว่ากล้วยน้ำว้า ทั้งนี้ กล้วยหินบันนังสตา ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในวงกว้าง สำนักงานเกษตรจังหวัดยะลา จึงส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน นำกล้วยหินมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าปัจจุบัน กล้วยหินบันนังสตา ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI : GeographicalIndication) ลักษณะผลส่วนใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่ผลด้านข้างสุดของหวีทั้งสองด้านมักจะเป็นรูปสามเหลี่ยม เปลือกหนา ผลดิบเปลือกสีเขียวเข้ม เมื่อสุกเปลือกสีเหลือง เนื้อแน่น ผลดิบเนื้อแข็งสีขาว ผลสุกเนื้อสีขาวอมเหลืองถึงเหลือง ไม่ติดเปลือก กล้วยหิน ยิ่งสุกงอมจะมีรสชาติออกเปรี้ยว ชาวบ้านนิยมนำกล้วยดิบมาแปรรูป เช่น ทำกล้วยฉาบ ส่วนกล้วยสุก หากต้องการบริโภคให้อร่อยต้องทำให้สุกหรือผ่านความร้อนด้วยการต้ม นึ่ง ปิ้ง ย่าง เช่น กล้วยต้ม กล้วยแขก กล้วยบวชชี ข้าวต้มมัด ฯลฯ


นายเชาวลิต กล่าวต่อว่า กิจกรรมภายในงานปีนี้ ประกอบด้วย การประกวดขบวนพาเหรดของตำบล (อปท. 7 แห่ง) การจัดนิทรรศการบริการให้ความรู้ของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน การประกวดกล้วยหิน การประกวดทุเรียนพันธุ์หมอนทอง สะตอดาน การแข่งขันประกวดอาหารแปรรูปจากกล้วยหิน ประเภทอาหารคาวหวานการแสดงศิลปวัฒนธรรมของนักเรียนโรงเรียนบันนังสตาวิทยา (ชุดบูรงปูเตอรี) การออกร้านจำหน่วยผลิตภัณฑ์ OTOP นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการแสดงบนเวทีกลางตลอดทั้งงาน อาทิเช่น ขุดการแสดงดีเกฮูลู (ชุดลาแยปูเต๊ะ) ชุดการแสดงจากนักร้องท้องถิ่น โดย นางสาวซากียะห์ แก้วแสงสิม (เดะนี ดูซงญอ) เป็นต้น

“เรื่อง กล้วย กล้วย ใจกลาง เมือง บันนังสตา” กับงานมหกรรมกล้วยหิน และของดีอำเภอบันนังสตา ที่จะพาทุกท่านไปสัมผัส และรู้จักเรื่องราวของกล้วย และของดีเมืองบันนังสตา ผ่านนิทรรศการ ทั้งเต็มอิ่มไปกับ กิจกรรมมากมาย พร้อม ชม ชิม ซ้อป ร้านค้าต่าง ๆ ที่คัดสรรมาให้ในงานนี้โดยเฉพาะ ณ บริเวณลานกิจกรรมหน้าที่ว่าการอำเภอบันนังสตา ในวันพฤหัสบดี ที่ 5 กันยายน 2567 นี้ วันเดียวเท่านั้น อย่าลืมมาเจอกัน นายเชาวลิต กล่าวในตอนท้าย

"อมารี วังเวียง" มอบประสบการณ์แห่งการพักผ่อน ท่ามกลางความงามของเมืองแห่งภูเขาและสายน้ำ ณ วังเวียง ประเทศลาว

จะดีแค่ไหนถ้าได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติในรูปแบบที่น่าประทับใจกว่าที่เคย โรงแรมอมารี วังเวียง (Amari Vang Vieng) ภายใต้การบริหารของ ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (ONYX Hospitality Group) พร้อมให้บริการแล้วในวังเวียง เมืองท่องเที่ยวทรงเสน่ห์ท่ามกลางหุบเขาและสายน้ำของประเทศลาว พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ให้คุณรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติแต่ยังคงความสะดวกสบายไว้อย่างที่คุ้นเคย ด้วยห้องพักมาตรฐานกว่า 160 ห้อง ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะมอบวันพักผ่อนอันน่าจดจำที่สุดให้กับทุกคน

“วังเวียง” เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากของประเทศลาว มีสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ด้วยความโดดเด่นของตัวเมืองซึ่งอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขา มีแม่น้ำซองสายใหญ่ไหลผ่าน อีกทั้งยังมากมายด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันสวยงามและอุดมสมบูรณ์ จึงเป็นเมืองเล็กที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล และด้วยความที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงอย่างเวียงจันทน์ไปเพียง 160 กิโลเมตร เดินทางง่ายด้วยรถยนต์และรถไฟความเร็วสูง จึงทำให้วังเวียงเป็นหมุดหมายปลายทางในฝันที่สามารถไปถึงได้ไม่ยาก อีกทั้งการเปิดตัวของแบรนด์โรงแรมระดับ 5 ดาวอย่าง โรงแรมอมารี วังเวียง บนทำเลสวยริมฝั่งแม่น้ำซอง ก็ยิ่งทำให้เมืองในหุบเขาแห่งนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น

โรงแรมอมารี วังเวียง เปิดให้บริการห้องพักหลากหลายรูปแบบกว่า 160 ห้อง ทั้งห้องซูพีเรียร์ ห้องดีลักซ์ และห้องสวีท แต่ละห้องล้วนออกแบบตกแต่งให้รู้สึกร่วมสมัยด้วยการผสมผสานงานช่างฝีมือลาวเข้ากับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของแบรนด์อมารี มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง โปร่งโล่งด้วยหน้าต่างบานสูงให้คุณสัมผัสกับธรรมชาติและดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์อันงดงามได้อย่างเต็มที่ พร้อมด้วยอินเทอร์เน็ตไวไฟความเร็วสูงและทีวีอินเตอร์แอคทีฟขนาด 40 นิ้ว

อมารี วังเวียง รายล้อมด้วยทิวทัศน์อันงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บนทำเลที่ตั้งริมแม่น้ำซองอันเงียบสงบ แต่ไม่ไกลจากเมืองและแหล่งท่องเที่ยว ให้ผู้มาเยือนได้ผ่อนคลายไปกับการชื่นชมความงามของธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็สามารถออกไปเติมความสนุกกับกิจกรรมที่หลากหลายได้สะดวก นับเป็นการพักผ่อนที่รวมเอาความสะดวกสบายและความมีสไตล์ไว้ท่ามกลางธรรมชาติได้อย่างลงตัว

อีกหนึ่งความพิเศษคือที่ตั้งของโรงแรมอมารี วังเวียง ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่มีกิจกรรมท้าทายความสนุกรออยู่มากมาย อย่าง “บลูลากูน” สระมรกตสีฟ้าใสซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สามารถกระโดดลงเล่นน้ำได้อย่างเพลิดเพลิน และยังมีชิงช้า ซิปไลน์ รวมถึงเครื่องเล่นทางน้ำให้ได้สนุกกันอย่างจุใจ หรือถ้าใครอยากเที่ยวถ้ำสำรวจธรรมชาติ ใกล้ ๆ กันยังมี “ถ้ำปูคำ” ให้ชมหินงอกหินย้อยและตามหาปูคำ หรือปูสีทองที่เชื่อว่าถ้าได้เห็นแล้วจะโชคดี นอกจากนี้ยังไม่ไกลจาก “ถ้ำจัง” จุดเช็กอินยอดฮิตอีกแห่งของวังเวียง หรือจะล่องห่วงยางลอด “ถ้ำน้ำ” ชมหินงอกหินย้อยแบบไม่เหมือนที่ไหน ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจทีเดียว



ส่วนกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนโรงแรมอมารี วังเวียง คือการล่องเรือแม่น้ำซอง ชมวิถีชีวิตของผู้คนสองฝั่งน้ำ หรือหากอยากแอดเวนเจอร์มากขึ้น การพายคายัคก็ท้าทายไม่น้อย นอกจากนี้ยังมีไฮไลต์ที่หลายคนชื่นชอบคือการขึ้นบอลลูนชมวิววังเวียงในมุมสูง แต่ถ้าอยากพักผ่อนอย่างแท้จริง ภายในโรงแรมก็มีกิจกรรมให้ทุกคนได้ใช้เวลาอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เวลาผ่อนคลายในสระว่ายน้ำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของวังเวียงพร้อมดื่มด่ำกับวิวริมน้ำที่เขียวชอุ่มสบายตา สำหรับผู้ชื่นชอบลิ้มลองความอร่อย เรามีห้องอาหาร Essence ที่พร้อมให้บริการทั้งอาหารลาว อาหารไทย และอาหารนานาชาติตลอดทั้งวัน ยังมีห้องอาหารสไตล์คาเฟ่ Cascade ให้นั่งจิบเครื่องดื่มแก้วโปรด อร่อยกับเบเกอรีที่หลากหลาย ฟังเพลงเพราะๆ ในบรรยากาศผ่อนคลายเย็นสบายของล็อบบี้เลานจ์โรงแรม และนอกจากนี้ยังมีห้องออกกำลังกาย Kids' Club รวมถึงมุมอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ไว้ให้บริการด้วย

สำหรับการเดินทางจากประเทศไทยไปยังโรงแรมอมารี วังเวียง มีวิธีเดินทางหลายรูปแบบ โดยสามารถนั่งเครื่องบินหรือรถยนต์จากกรุงเทพฯ ไปยังเวียงจันทน์ แล้วต่อด้วยรถยนต์หรือรถไฟความเร็วสูงจากเวียงจันทน์ไปยังวังเวียงได้เลย และล่าสุดการรถไฟแห่งประเทศไทยยังได้เปิดให้บริการขบวนรถโดยสารจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ไปยังสถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ประเทศลาว 4 ขบวนต่อวัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศลาวและประเทศไทยด้วย การไปเยือนวังเวียงจึงไม่ใช่เรื่องยาก

หากอยากเปิดประสบการณ์ใหม่กับการค้นพบความสุขท่ามกลางธรรมชาติและความสะดวกสบายอย่างแท้จริง โรงแรมอมารี วังเวียง พร้อมแล้วที่จะมอบความประทับใจให้กับทุกคน เยี่ยมชมห้องพักและบริการของเราได้ที่ www.amari.com/vang-vieng

ดีป้า จัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพเข้มข้น ครู - นักเรียน 100 ทีม

ติวเข้มทักษะโค้ดดิ้ง ฝึกนำเสนอผลงาน ต่อยอดสู่เวทีนานาชาติ

ดีป้า จัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพเข้มข้น ครู - นักเรียน จำนวน 100 ทีม ที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้น        จากทั่วประเทศ เข้าคอร์สติวเข้มทักษะโค้ดดิ้ง จากผู้เชี่ยวชาญ ฝึกนำเสนอผลงานและรับข้อเสนอแนะ ก่อนร่วมประชันไอเดียเพื่อชิงความเป็นหนึ่งบนเวที Coding War เวทีแข่งขันทักษะโค้ดดิ้งที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ภายใต้โครงการ Coding for Better Life

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า โครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย ดำเนินกิจกรรม Coding Bootcamp & Coding Roadshow และ Coding War ใน 8 ภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อเฟ้นหา 100 สุดยอดทีมจากโรงเรียนทั่วประเทศ ที่มีทักษะโค้ดดิ้งเป็นที่ประจักษ์ เข้าสู่กิจกรรมยกระดับศักยภาพด้านโค้ดดิ้งเข้มข้น  ผ่านการสร้างความรู้ความเข้าใจเชิงลึกโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะพัฒนาไปสู่ความรู้ด้านดิจิทัลในระดับที่สูงขึ้น


ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้เรียนรู้ทักษะการนำเสนอโครงการ (Pitching) และการบอกเล่าเรื่องราว (Storytelling) ให้น่าสนใจ พร้อมรับข้อเสนอแนะจากทีมวิทยากรระดับแนวหน้าของไทยที่จะมาเป็นที่ปรึกษา (Mentor) ใน 4 หัวข้อหลัก ประกอบด้วย โค้ดดิ้งในชีวิตประจำวัน  โค้ดดิ้งเพื่อการเกษตร โค้ดดิ้งวิถีชุมชน และโค้ดดิ้งสำหรับอนาคต พร้อมนำตัวอย่างการนำเสนอโครงการโค้ดดิ้ง และ AI ที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแนวทางการเรียนรู้ให้ได้ฝึกฝน ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ นอกจากนี้จะได้เรียนรู้เรื่องการประเมินขนาดของตลาด โมเดลธุรกิจเบื้องต้น และการออกแบบโมเดลธุรกิจ

“กิจกรรมทั้งหมดถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับทุกทีม ก่อนร่วมประชันไอเดียเพื่อชิงความเป็นหนึ่งบนเวที Coding War เวทีแข่งขันทักษะโค้ดดิ้งที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 13 - 15 กันยายนนี้ ณ MCC Hall เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ เพื่อชิงชัยสู่การเป็น 10 สุดยอดผลงานนวัตกรรมดิจิทัล ที่จะได้รับรางวัลเป็นอุปกรณ์ดิจิทัลและทุนการศึกษา มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจะได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันโค้ดดิ้งบนเวทีระดับนานาชาติ อย่าง Seoul International Invention Fair 2024 (SIIF 2024) ณ สาธารณรัฐเกาหลี” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ด้าน นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า หลักสูตรในกิจกรรมบ่มเพาะ เป็นหลักสูตรที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อพัฒนาทักษะรอบด้าน ช่วยฝึกฝนและเสริมทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคน โดยเฉพาะการนำเสนอผลงานให้น่าสนใจ มีประสิทธิภาพ รวมถึงการให้มุมมองทางธุรกิจที่จะต่อยอดไปสู่ Startup ที่เป็นประโยชน์ต่อครูและนักเรียนเพื่อเห็นภาพกว้าง และมีเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น โครงการ Coding for Better Life ถือเป็นต้นแบบของการยกระดับการศึกษาที่ครอบคลุมทุกมิติ ไม่เพียงแต่สนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ แต่ยังมีการพัฒนาบุคลากร สร้างเครือข่าย และการวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นโครงการต้นแบบให้นำไปต่อยอดพัฒนาการศึกษาด้านอื่น ๆ ได้ในอนาคต 

พร้อมกันนี้ โครงการ Coding for Better Life ยังได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัด โดย บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ที่ร่วมสนับสนุนโครงการอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การมอบ Micro:bit ให้โรงเรียนภายใต้กิจกรรมอัปเกรดห้องเรียนโค้ดดิ้ง มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท และสนับสนุนกิจกรรม AI Roadshow สร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับ AI ในสาขาอาชีพต่าง ๆ ให้กับเยาวชน ครู ผู้ปกครอง และบุคคลทั่วไป รวม 8 จังหวัด และในกิจกรรม Coding War ได้สนับสนุนเงินรางวัล และผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัดฟรีตลอด 1 ปีสำหรับทีมผู้ชนะในระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา พร้อมรางวัลพิเศษสำหรับระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาจำนวน 2 รางวัล รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 600,000 บาท บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนหลักสูตร HUAWEI CLOUD DEVELOPER บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สนับสนุนคูปองการเรียนรู้ผ่าน TRUE DIGITAL ACADEMY เอไอเอ ประเทศไทย สนับสนุนงบประมาณให้แก่โรงเรียนในโครงการฯ และ เทโร เพอร์ฟอร์แมนซ์ คอร์ส ที่มีเป้าประสงค์เดียวกัน คือ การปลูกฝังความรู้ด้านโค้ดดิ้งแก่ประชาชนไทยตั้งแต่ระดับเยาวชน ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยให้เด็กไทยเติบโตไปเป็นกําลังคนดิจิทัลที่มีคุณภาพ และเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป



ร่วมพลิกโฉมการเรียนรู้ Coding ไปพร้อมกันกับโครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร และรายละเอียดโครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย ได้ที่ www.depa.or.th, CodingforBetterLife.com และเพจเฟซบุ๊ก depa Thailand และ Coding Thailand by depa

29 สิงหาคม 2567

พลาดไม่ได้สำหรับนักชิม! งาน “มหัศจรรย์สีสันอาหารกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2”

ชิมของอร่อย ช้อปของดีของเด่นแห่งภาคตะวันออก


นักชิมห้ามพลาดงานนี้ “มหัศจรรย์สีสันอาหารกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2” โดยจังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด จังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสระแก้ว อิ่มอร่อยกับอาหารชวนชิม ทั้งเมนูท้องถิ่น Street Food อาหารดั้งเดิมของหลากชนชาติ พบกับสินค้าของดีและผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 พร้อมเวทีการแสดงที่นำเสนอการแสดงทางวัฒนธรรมท้องถิ่นที่งดงามและอุดมไปด้วยเอกลักษณ์ ระหว่างวันที่ 29 – 31 สิงหาคม 2567 ณ บริเวณลานสแควร์ ซี (ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร


นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี กล่าวในพิธีเปิดงานว่า กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในด้านการท่องเที่ยว เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งทางบกและทางทะเล มีสภาพภูมิอากาศและทำเลที่ตั้งเหมาะสม และมีหมู่เกาะน้อยใหญ่ที่ยังคงความสวยงามตามธรรมชาติ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่โดดเด่น รวมถึงการท่องเที่ยวชุมชน  นอกจากนั้นยังมีความโดดเด่นในด้านรสชาติอาหารที่มีความเป็นเอกลักษณ์  

นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี กล่าวในพิธีเปิดงานว่า กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในด้านการท่องเที่ยว เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งทางบกและทางทะเล มีสภาพภูมิอากาศและทำเลที่ตั้งเหมาะสม และมีหมู่เกาะน้อยใหญ่ที่ยังคงความสวยงามตามธรรมชาติ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่โดดเด่น รวมถึงการท่องเที่ยวชุมชน  นอกจากนั้นยังมีความโดดเด่นในด้านรสชาติอาหารที่มีความเป็นเอกลักษณ์  

ด้วยนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร หรือ Gastronomy Tourism เป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่สามารถสร้างประสบการณ์ทางการท่องเที่ยว และมีความสอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของตลาดนักท่องเที่ยวในอนาคต โดยเป็นสินค้าและบริการที่มีโอกาสและศักยภาพสูง อันนำมาสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศผ่านการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ ที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมและวิถีอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศ โดยการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหารร่วมกับการพัฒนากรรมวิธีการผลิตของภาคเกษตร มุ่งเน้นประสบการณ์สัมผัสบรรยากาศและวัฒนธรรมท้องถิ่น และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและอาหารเพื่อสุขภาพ


 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 นับว่ามีความสมบูรณ์ทั้งทางกายภาพ วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความหลากหลายของเชื้อชาติ เมนูพื้นถิ่นที่ส่งต่อรุ่นต่อรุ่น วัฒนธรรมชุมชนที่น่าสนใจ สิ่งเหล่านี้จึงถือเป็นต้นทุนที่ยอดเยี่ยม และสามารถสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงอาหารได้ โดยเฉพาะทางด้านอาหารที่มีทั้งความหลากหลายของวัตถุดิบ รสชาติที่สะท้อนบุคลิกของผู้คน  เชื้อชาติ วัฒนธรรมประเพณี และการอนุรักษ์ภูมิปัญญาด้านอาหาร  มีความต่างในความเหมือน มีความจัดจ้านแต่กลมกล่อม มีการเติมความใส่ใจจังหวัดจันทบุรี จึงกำหนดจัดงาน “มหัศจรรย์สีสันอาหารกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2” ภายใต้โครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 ซึ่งมีวัตถุประสงค์การจัดงานเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย สนับสนุนธุรกิจด้านการท่องเที่ยว รวมถึงประชาสัมพันธ์สินค้าของดีของจังหวัดและเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลทำให้เพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ให้กับผู้ผลิต และผู้ประกอบการ ร้านค้า ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก

ภายในงานแบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ ให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสและค้นหา ประกอบด้วยคูหาจำหน่ายอาหาร ของดี ของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 ที่มีความหลากหลาย เช่น ทุเรียนทอด มังคุดกวน แกงหมูหน่อกระวาน แกงหมูชะมวง ไอศกรีมมะม่วง ไอศกรีมทุเรียน จากจ.จันทบุรี บ๊ะจ่างนางงาม เมนูจากท้องทะเลตราด เมนูฤดูกาลอาหารทะเลจากเกาะช้าง กะปิพื้นบ้านเกาะช้าง ไอศกรีมกระทิมะพร้าวน้ำหอม จากจ.ตราด กุ้งจ่อม ปลาจ่อมหอยดอง ข้าวแต๋นน้ำมะยงชิด กุยช่าย จ๊อปูลูกยักษ์ น้ำพริกต่าง ๆ จากจ.นครนายก หมูสามชั้นทอดน้ำปลา ทอดมันปลากราย-ปลาหมึก กล้วยม้วน กล้วยตาก หมี่คลุกไก่ฉีก ไส้กรอกสมุนไพรเพื่อสุขภาพ จากจ.ปราจีนบุรี ข้าวเกรียบทอดรสเห็ดหอม ข้าวตังหน้าตั้ง-เมี่ยงลาว ขนมตาล หม้อแกง ฝอยทอง กล้วยตาก ขนมไข่ ข้าวหลามกระบอกยาว ขนมต้มใบเตย จากจ.สระแก้ว คูหาจำหน่ายสินค้าท่องเที่ยวชุมชนของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 ที่นำเสนอให้เห็นถึงเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่โดดเด่น และเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดให้ผู้เข้าชมงานต้องการเดินทางไปเยี่ยมเยือนสัมผัสกับแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น น้ำมันนวดไพรจันท์ สมุนไพรน้ำมันต้นก่อหลวง สมุนไพรน้ำมันขุนเทพโอสถ เป็นต้น

ส่วนเวทีการแสดงที่นำเสนอการแสดงทางวัฒนธรรมท้องถิ่นที่งดงามและอุดมไปด้วยเอกลักษณ์ โดยจัดการแสดงเป็นรอบสลับสับเปลี่ยนกับการแสดงดนตรี และกิจกรรมส่งเสริมการขาย ตลอดทั้งวัน ทุก
วันที่มีการจัดงาน งาน “มหัศจรรย์สีสันอาหารกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 – 31 สิงหาคม 2567

ณ บริเวณลานสแควร์ ซี (ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร

ททท. จัดใหญ่ ดึง “กลัฟ คณาวุฒิ” พร้อมเปิดแคมเปญ “ลดโลกเลอะกับกลัฟ เที่ยวทัชใจ ดีต่อใจ ดีต่อโลก”

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำโดย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. พร้อมด้วย คุณมนาเทศ อันนวัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด คุณจิตตินันท์ เรืองวีรยุทธ ผู้อํานวยการกองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักนโยบายและแผน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหาร ททท. และแฟนคลับร่วมเปิดแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ Responsible Tourism ลดโลกเลอะกับกลัฟ “เที่ยวทัชใจ ดีต่อใจ ดีต่อโลก” พบกับ “กลัฟ คณาวุฒิ” ตัวแทนวัยรุ่นยุคใหม่ ที่หลงรักการท่องเที่ยวไทยและพร้อมจะชวนทุกคนออกมาท่องเที่ยวและรักษ์โลกในคราวเดียวกัน

ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ททท. มีนโยบายมุ่งเน้นการท่องเที่ยวแบบรักษ์โลกและการท่องเที่ยวแบบรับผิดชอบมาโดยตลอด แคมเปญนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวหันมาสนใจและเดินทางท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมในระหว่างการเดินทาง



ภายในงานพบกับเวทีเสวนา RESPONSIBLE TALKS พูดคุยแลกเปลี่ยนเคล็ดลับในการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ และร่วมกัน #ลดโลกเลอะ สร้างการท่องเที่ยวยั่งยืน ให้กลายเป็นวัฒนธรรมท่องเที่ยวสุดคูล และอัปเดตเทรนด์การท่องเที่ยวของคนยุคใหม่ พร้อมแบ่งปันเคล็ดลับการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ และประชาสัมพันธ์กิจกรรมจิตอาสาร่วมกันลดโลกเลอะอย่างยั่งยืน



#ททท #TourismAuthorityofthailand #Responsible #tourism #ลดโลกเลอะ #ลดโลกเลอะกับกลัฟ #กลัฟคณาวุฒิ

กรมการท่องเที่ยว ครบรอบ 22 ปี ลุยต่อนโยบาย “ก้าวย่างอย่างยั่งยืน” ชู Tranform DOT สู่เทรนด์การท่องเที่ยวโลก

วันนี้ (28 สิงหาคม 2567) กรมการท่องเที่ยวจัดงานเนื่องในโอกาสวันสถาปนากรมการท่องเที่ยวครบรอบ 22 ปี เดินหน้าภารกิจ “ก้าวย่างอย่างยั่งยืน” สอดรับกับนโยบาย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และเป้าหมายของรัฐบาลที่มุ่งผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Tourism Hub รวมถึงเทรนด์การท่องเที่ยวยั่งยืนของโลก

นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า “ท่องเที่ยวถือเป็นภารกิจที่สำคัญในการสร้างรายได้และมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ กรมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว พัฒนาบุคลากร และยกระดับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพได้มาตรฐานการท่องเที่ยวไทย เพื่อมุ่งผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Tourism Hub รวมถึงเทรนด์การท่องเที่ยวยั่งยืนของโลก เน้นการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาระบบการทำงานเพื่อให้บริการประชาชน ควบคู่ไปกับการเดินหน้าพัฒนาการท่องเที่ยวไทยไปสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น” 






ในโอกาสครบรอบ 22 ปี กรมการท่องเที่ยวในวันนี้ จึงยังคงยึดมั่นการดำเนินงานตามแนวทาง “ก้าวย่างอย่างยั่งยืน” ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ภายใต้แนวคิด “Tranform DOT” พลิกโฉมการทำงานใน 2 เรื่องสำคัญ เรื่องแรก เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานเต็มรูปแบบ จาก Analog สู่ระบบ Digital ด้วยการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 3E+1T ได้แก่ e-Service e-Exam e-Learning และ Thailand Smart Tour (TST) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการประชาชน อำนวยความสะดวกให้บริษัทนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ในการจัดการนำเที่ยว และเรื่องที่ 2 คือ การส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวไทยให้มีคุณภาพและยั่งยืน ด้วยมาตรฐานการท่องเที่ยวไทยทั้ง 56 มาตรฐาน ซึ่งเป็นเครื่องมือในการยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล และสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว อันจะนำไปสู่การท่องเที่ยวยั่งยืนที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของกรมการท่องเที่ยวที่ว่า “เป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมพัฒนาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูงและยั่งยืน เป็นที่ยอมรับในระดับสากล”

28 สิงหาคม 2567

สมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย แนะ 7 ไอเดีย เที่ยวเปลี่ยนโลก ส่งต่อคุณค่าสังคมอินทรีย์


“จะรู้ได้อย่างไรว่าสวนนี้เป็นลำยอินทรีย์” “อินทรีย์กับ Organic ต่างกันอย่างไร” ขอกลับมาอีกได้ไหม เห็นนาเขียวๆ รู้สึกสบายจัง” “อยากซื้อวัตถุดิบอินทรีย์ตรงกับเกษตกร อยากกลับไปทำฟาร์มอินทรีย์ที่บ้านบ้าง” เหล่านี้คือบางส่วนของคำถามและความเห็นของผู้บริโภค และนักท่องเที่ยว ที่สะท้อนให้เห็นถึงเสน่ห์ คุณค่า เรื่องราวและโอกาสในการพัฒนาและส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยววิถีอินทรีย์ (Organic Tourism) ซึ่งมุ่งเน้นให้เกิดการเชื่อมโยงและความร่วมมือของคนทั้งห่วงโซ่ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับระบบอาหาร สังคม และสิ่งแวดล้อม 

 



นายอรุษ นวราช นายกสมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย (TOCA) กล่าวว่า ภายใต้โครงการ “Amazing Organic Tourism for Sustainable Living TOCA ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีการทำงานเชิงรุก เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรสังคมอินทรีย์ทั้งต้นน้ำกลางน้ำ และปลายน้ำ ในการส่งเสริมและขับเคลื่อนกิจกรรมท่องเที่ยววิถีอินทรีย์ (Organic Tourism) ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งหวังจุดประกาย และสร้างแรงกระเพื่อมให้กับผู้บริโภคหรือนักท่องเที่ยว โดยทาง TOCA ได้สรุปไอเดีย เที่ยวเปลี่ยนโลก ส่งต่อคุณค่าสังคมอินทรีย์ ให้ทุกๆ การเที่ยวของทุกคนช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกนี้ได้ ดังนี้  

1. Eat Organic จุดเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดและทำได้ทันที คือ เปลี่ยนมากินอาหารอินทรีย์ ซึ่งไม่มีสารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ที่นอกจากจะมีผลดีต่อสุขภาพ ยังจะเป็นประตูสู่การเรียนรู้คุณค่า ประโยชน์ของการผลิตในระบบกษตรอินทรีย์ที่คำนึงถึงระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการกินอาหารอินทรีย์ ผู้บริโภคจะได้รับรู้ถึงความแตกต่างของรสชาติ รู้จักผักพื้นบ้าน พืชผักตามฤดูกาล และหันมาสนับสนุนเกษตรกรอินทรีย์ ช่วยหนุนเสริมความมั่นคงทางอาหารมากขึ้น 
2. Buy Organic    หันมาซื้อวัตถุดิบหรือสินค้าอินทรีย์ ตรงจากเกษตรกรอินทรีย์ บนฐานการค้าที่เป็นธรรม เป็นโอกาสที่ผู้บริโภคจะได้เรียนรู้จากเกษตรกร และเข้าใจการสร้างความสมดุลของสิ่งแวดล้อมด้วยเกษตรอินทรีย์ ตลอดจนต่อยอดเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวอื่นๆ โดยผู้บริโภคสามารถเจอเกษตรกรอินทรีย์ได้ด้วยการเดินทางไปที่ฟาร์ม หรือไปที่ตลาดนัดอินทรีย์ต่างๆ เช่น ตลาดสุขใจจ.นครปฐม ตลาดจริงใจ จ.เชียงใหม่ ตลาดนัดคนดี จ.ภูเก็ต นอกจากนี้ยังสามารถซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ เช่น บน TOCA Platform  
3. Organic Farm Tour หรือ “Farm Visit” การเที่ยวฟาร์มอินทรีย์ นับเป็นเสน่ห์การท่องเที่ยววิถีอินทรีย์ ที่จุดประกายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมากมาย ด้วยบริบทพื้นที่ ผลผลิต อาหาร ที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ที่ไปท่องเที่ยวจะได้รับประสบการณ์และแรงบันดาลใจใหม่ๆ แบบครบรส 3 อิ่ม คือ อิ่มกาย อิ่มใจ และอิ่มสุข จากเรื่องราวความสำเร็จ วิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อ ความหลากหลายทางชีวภาพทั้งพืชพันธุ์และสิ่งมีชีวิต กิจกรรม “Farm Visit” ยังจุดประกายให้ผู้ประกอบการ องค์กรต่างๆ เกิดไอเดียต่อยอดนำลูกค้ามาท่องเที่ยว หรือนำบุคลากรมาเรียนรู้ เพื่อเป็นทักษะในการรับมือกับวิกฤติต่างๆ ดังเช่นในช่วงสถานการณ์โควิด ที่ความรู้จากการเกษตรอินทรีย ทำให้หลายคสามารถผลิตอาหารอินทรีย์ทานเองได้
4. Organic Chef Table   ช่วยสร้างสรรค์อรรถรสในการกินได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับพื้นที่และสถานที่ ทั้งแบบชิลล์ๆ รื่นรมย์ กลางธรรมชาติของสวนผัก แปลงนา หรือในบรรยากาศสุดหรูของห้องอาหารในโรงแรม พร้อมเชฟบอกเล่าเรื่องราวเส้นทางอาหาร และประสบการณ์การเรียนรู้ ลงพื้นที่ และทำความเข้าใจ ในมิติต่างๆ ร่วมกับเกษตรกรอินทรีย์ จนกว่าจะเป็นมือเที่ยงจากวัตถุดิบ Organicสุดหรรษา หรือมื้อค่ำสุดพิเศษนี้ ทั้งยังเป็น Soft Power ส่งต่อคุณค่าที่มีต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และเป็นจุดขายสร้างเศรษฐกิจได้อย่างมากมาย ในหลายโรงแรมที่ทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง นอกจากได้ผลผลิตอินทรีย์แล้ว ขยะอาหารจากโรงแรม ร้านอาหาร สามารถส่งกลับไปให้เกษตรกร เพื่อทำปุ๋ยหมัก หรือเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ทำให้เกิดการหมุนเวียนตลอดห่วงโซ่การผลิต ได้อาหารที่เป็นอินทรีย์แท้ๆ
5. Organic Workshop & DIY   เป็นกิจกรรมที่ใช้เวลาไม่นาน โดยเกษตกรอินทรีย์เป็นวิทยากร สอนทำ และพาทำ เพื่อสร้างทักษะให้ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวสามารถนำความรู้จากฟาร์ม กลับไปทำที่บ้านได้ เช่นการเพาะผักในเปลือกไข่ การเพาะต้นอ่อนผักบุ้ง การทำปุ๋ยหมักใช้เองในแปลง รวมถึงการแปรรูปผลผลิต เช่น ทำชาสมุนไพร เพื่อเพิ่มมูลค่า และการทำซอสมะเขือเทศ เพื่อลดความสูญเสียจากผลผลิตที่ออกมามากไปและเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค
6. Organic Knowledge & Seminar องค์ความรู้ในการทำเกษตรอินทรีย์ซ่อนอยู่ในแปลงมีมากมาย ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจ จะได้ความรู้เชิงลึก และได้แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ต่างๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ มีการจัดอบรมและเสวนาให้ความรู้อยู่เสมอ เช่น ความสำคัญของดิน เทคนิคการปรุงดิน เทคนิคการทำปัจจัยการผลิตต่างๆ ตลอดจนการแปรูป
7. Organic Food Festival & Event   ในหลายๆ จังหวัดที่มีการรวกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์อย่างเข้มแข็ง จะมีการจัดงานรวมพลังเครือข่ายสังคมอินทรีย์ เกษตรอินทรีย ทำให้ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวจะได้ไปชิม ช้อป อาหาร รวมถึงได้แรงบันดาลใจ ได้เจอเครือข่าย ที่พร้อมแบ่งปันความรู้ เพื่อการพัฒนา ดังเช่น ทุกปีจะมีการจัดงานสังคมสุขใจ ที่สวนสามพราน จ.นครปฐม หรืองาน Amazing Green Fest 2024 โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ The Cloud หรือล่าสุดที่จังหวัดเชียใหม่ จัดเทศกาลหวานดี (Longan-Givity Festival) โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่สวนผักฮักร้องขุ้ม อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เพื่อส่งเสริมให้มีการปลูกและรู้จักลำไยอินทรีย์มากขึ้น ได้รับความร่วมมือจากทีมเชฟของโรงแรมร้านอาหาร ชื่อดังของจังหวัดเชียงใหม่ มาร่วมกันสร้างสรรค์เมนูอาหารอินทรีย์คาวหวานจากลำไยอินทรีย์ มีการพาทัวร์สวนลำไยอินทรีย์ เพื่อให้เห็นระบบนิเวศที่สมดุลและเกื้อกูลกัน

 

นายอรุษ นวราช กล่าวอีกว่า  ด้วยบริบทของแต่ละพื้นที่ และความสนใจที่แตกต่างกันไป นอกจาก 7 ไอเดียเที่ยวเปลี่ยนโลกแล้ว ผู้บริโภค และนักท่องเที่ยว


สามารถออกแบบผสผสานกิจกรรมต่างๆ เข้าด้วยกัน ตามความสนใจได้ เช่น คนที่สนใจเรื่องการใช้ประโยชน์จากป่า สามารถไปที่ชุมชนแม่ทา อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีกิจกรรมพาเดินป่า เรียนรู้การอยู่ร่วมกันของคนกับป่า และมีกิจกรรมสนุกสนานเก็บผักพื้นบ้านมาทำแกงแค เก็บไข่ในฟาร์มมาทำไข่ป่าม การแช่เท้าด้วยสมุนไพร หรือคนที่อยากได้ความรู้เชิงลึก ที่สวนผักฮกร้องขุ้ม อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่มีการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และระบบนิเวศ เข้ามาออกแบบแปลง จัดการดิน จัดการผลผลิต และมีกิจกรรมให้มีส่วนร่วม เช่น ดำนา เกี่ยวข้าว เป็นต้น

 


สำหรับผู้สนใจการเที่ยววิถีอินทรีย์ สามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.tocaplatform.org พร้อมสมัครเป็นสมาชิก TOCA (ไม่มีค่าใช้จ่าย)หรือติดตามข่าวสารความรู้ ได้ที่เพจ TOCA Platform ได้อีกช่องทาง ซึ่งใน TOCA Platform ยังมีกิจกรรม Earth  Points ที่ทุกคนสามารถเริ่มต้นสะสมได้ทันทีจากการซื้อ โดยทุก 25 บาท ได้รับ คะแนน หมายถึง คุณได้เริ่มต้นมีส่วนร่วมลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้กับโลกได้มากขึ้น “เพื่อโลกยั่งยืน เริ่มต้นได้ง่ายๆ แบบนี้ ชวนกันมา  ททท. คือ เที่ยวทันที กันเลย !!!!”