11 มิถุนายน 2568

คณะแพทย์ สจล. จับมือ คณะแพทยศาสตร์ Tokai University ญี่ปุ่น

เสริมความร่วมมือด้านการแพทย์ระดับโลก 

เมื่อเร็ว ๆ นี้  คณะแพทยศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับ Tokai University School of Medicine ประเทศญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนนักศึกษา พัฒนาหลักสูตรร่วม และสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ในระดับนานาชาติ 

โดยมี ศ. นพ.อนันต์ ศรีเกียรติขจร คณบดีคณะแพทยศาสตร์  สจล. นพ.อนวัช เสริมสวรรค์ รองคณบดี ดร.ศรัญญา ไผ่แสวง รองคณบดี น.ส.ภิญญนิจ เจษฎาวิริยะวงศ์ และ น.ส.จิตอนุวัณ ชูชมชื่น เป็นตัวแทนจากคณะแพทย์ร่วมในพิธีลงนามดังกล่าว ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงองค์ความรู้ระหว่างประเทศ และจะช่วยปลูกฝังนักศึกษาแพทย์ให้มีมุมมองที่กว้างไกล ทั้งในด้านวิชาการและวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพระดับโลก และความร่วมมือนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาทางวิชาการและบุคลากรแพทย์ ที่จะช่วยผลักดันระบบสุขภาพของทั้งสองประเทศให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน 


ติดตามข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวของ สจล. ได้ทาง https://www.facebook.com/kmitlofficial และเว็บไซต์ https://www.kmitl.ac.th  หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-329-8000

เรนวูด ปาร์ค โครงการมิกซ์ยูสระดับเมกะโปรเจกต์ของไทย

เรนวูด ปาร์ค พัฒนาโมเดลเมืองรับมือวิกฤต พลิกโฉมเมืองไทยด้วยนวัตกรรมการอยู่อาศัยแห่งอนาคตในงาน จากวิกฤต สู่ชีวิตที่มองไกล FROM CRISIS TO VISIONARY LIVING 2025

เรนวูด ปาร์ค โครงการมิกซ์ยูสระดับเมกะโปรเจกต์ของไทย เผยแนวคิดการสร้างเมืองต้นแบบเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน รองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของทุกเจเนอเรชันภายใต้แนวคิด The World Class Community for Multigenerational Living ผ่านการออกแบบเมืองที่มีศักยภาพให้พร้อมรับมือวิกฤต ครอบคลุมทั้งโครงการไม่น้อยกว่า 7 ริกเตอร์ ระบบสาธารณูปโภค และคุณภาพชีวิต พร้อมจับมือพันธมิตร ฤทธา, A49 และ PIA จัดเวทีเสวนา “จากวิกฤต…สู่ชีวิตที่มองไกล FROM CRISIS TO VISIONARY LIVING 2025” สะท้อนวิสัยทัศน์ เรนวูด ปาร์ค สู่การสร้างเมืองต้นแบบที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับวิกฤตโลก พร้อมระบบพลังงานสะอาด การบริหารจัดการน้ำ และชุมชนที่เติบโตอย่างสมดุลทั้งเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม


นางสาววรพนิต รวยรุ่งเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เรนวูด กรุ๊ป เปิดเผยว่า เรนวูด ปาร์ค ถูกนิยามให้เป็นมากกว่าคำว่าบ้าน เพราะจุดประสงค์ในการพัฒนานั้นต้องการส่งมอบ ‘คุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติ และดูแลทุกรายละเอียดให้เหมือนกับบ้านที่เราอยู่เอง’ ด้วยการลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เริ่มจากหัวใจของโครงการคือพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ระบบพลังงานสะอาด บริการหลังการขายแบบ One-Stop Service รวมถึงระบบบริหารจัดการที่เป็นผู้ดูแลเอง 100% เพื่อให้มั่นใจว่าลูกบ้านจะได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในทุกวัน ภายใต้ภารกิจในฐานะผู้ออกแบบวิถีชีวิตที่ตอบโจทย์ผู้คนหลากหลายเจเนอเรชัน หลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม ควบคู่ไปกับการส่งต่อประโยชน์คืนสู่ชุมชนโดยรอบ ผ่านการสร้างงาน การยกระดับมูลค่าของพื้นที่ และการเปิดพื้นที่บางส่วนให้เป็นสาธารณะสำหรับทุกคนได้มีส่วนร่วม เพราะตระหนักดีว่านอกจากโครงสร้างของบ้านแล้ว เราให้ความสำคัญกับคุณภาพของเพื่อนบ้าน สภาพแวดล้อม และการดูแลระยะยาว การคัดเลือกผู้อยู่อาศัยอย่างตั้งใจ เพื่อสร้างชุมชนคุณภาพที่อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน และสามารถเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างเป็นรูปธรรม

“หลังสถานการณ์ COVID-19 เราได้เรียนรู้ว่าผู้คนให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความสงบ และความมั่นคงในชีวิตเพิ่มขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา เรนวูด ปาร์ค จึงถูกออกแบบให้เป็นเมืองที่พร้อมรับมือต่อความเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่โครงสร้างอาคารที่ทนแรงสั่นสะเทือนได้สูงกว่ามาตรฐานกำหนด ไปจนถึงระบบบริการมาตรฐานโรงแรมที่ทำให้ชีวิตประจำวันราบรื่นหมดความกังวล แม้ในวันที่โลกภายนอกจะไม่แน่นอน แต่ที่ เรนวูด ปาร์ค จะยังคงเป็นพื้นที่ที่มอบความรู้สึกอุ่นใจและพร้อมสำหรับอนาคตอยู่เสมอ” นางสาววรพนิต กล่าว

จากบ้านสู่วิถีชีวิตที่คิดมาเพื่ออนาคต เรนวูด ปาร์ค จึงเน้นการวางรากฐานให้แข็งแรง เพื่อรองรับคุณภาพชีวิตในระยะยาว โดยมุ่งเน้นการสร้างคอมมูนิตี้ที่สามารถเป็นศูนย์กลางของทุกคนในครอบครัว รังสรรพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีคุณค่าภายใต้แนวคิด Inclusive Community ชุมชนที่ออกแบบและพัฒนาโดยคำนึงถึงความหลากหลายของผู้คน และขยายขอบข่ายไปถึงชุมชนรอบข้าง ด้านการจ้างงาน หรือการเปิดพื้นที่สาธารณะในอนาคต “บ้านที่ดี ต้องมีเพื่อนบ้านที่ใช่ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีร่วมกัน เรนวูด ปาร์ค จึงให้ความสำคัญกับ “เพื่อนบ้าน” และ “สภาพแวดล้อม” เป็นสำคัญ พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสสำหรับคนทุกกลุ่มได้เข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้น วันนี้พูดได้เลยว่า เรนวูด ปาร์ค พร้อมรับมือกับทุกความท้าทายอย่างมีวิสัยทัศน์ แม้ในวันที่โลกไม่แน่นอน พร้อม After-Sales Service ที่ดูแลแบบ Proactive มีระบบแจ้งเตือนความปลอดภัย และสื่อสารกับผู้อยู่อาศัยอย่างทันเหตุการณ์ พื้นที่แห่งการใช้ชีวิตที่ไม่ต้องไปไกลถึงต่างประเทศ เปรียบโครงการเสมือน First-Class Destination ที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนและมีความสุขในทุก ๆ วัน ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ” นางสาววรพนิต กล่าวเสริม




ด้าน รศ.ดร. โชติชัย เจริญงาม ผู้อำนวยการพัฒนาโครงการ เรนวูด ปาร์ค กล่าวว่า เรนวูด ปาร์ค เริ่มต้นจากการออกแบบระบบชีวิตและโครงสร้างพื้นฐานของเมืองในอนาคต โดยได้ศึกษาปัจจัยด้านภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพดิน น้ำ ลม และไฟ เพื่อประเมินความเสี่ยงทั้งในปัจจุบันและระยะยาว อาทิ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไปจนถึงคุณภาพอากาศ และนำข้อมูลที่ได้เหล่านี้มาออกแบบระบบให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตข้างหน้าในเชิงวิศวกรรม เรนวูด ปาร์ค ใช้มาตรฐานขั้นสูงสุดในการวางระบบสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้เสาเข็มยาวรองรับพื้นที่ที่มีกายภาพของดินที่อ่อน ระบบบำบัดน้ำเสียที่ครอบคลุมทุกจุด ระบบผลิตน้ำสะอาดสำรอง บ่อกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ ไปจนถึงระบบพลังงานแสงอาทิตย์แบบ Floating Solar ขนาดกว่า 2 เมกะวัตต์ที่สามารถจ่ายไฟฟ้าให้โครงการได้อย่างเพียงพอหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน โดยระบบสาธารณูปโภคเหล่านี้สามารถทำให้ เรนวูด ปาร์ค ดำรงอยู่ได้ด้วยตนเองในภาวะฉุกเฉินเสมือนเมืองอิสระที่มีความมั่นคงในตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ

นอกจากนี้ เรนวูด ปาร์ค ยังมองลึกถึงการฟื้นตัวของชุมชนจากสถานการณ์ไม่คาดฝันในระยะยาว โดยได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนต่างๆ ประกอบด้วย โซนอยู่อาศัย โซนบริการ และโซนสาธารณะ เพื่อในอนาคตประชาชนในพื้นที่รอบโครงการสามารถเข้ามามีส่วนร่วม ใช้พื้นที่ และได้รับประโยชน์ร่วมกัน เช่น การเปิดพื้นที่วิ่ง ตลาดชุมชน และการส่งเสริมผู้ผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยในท้องถิ่นให้สามารถประกอบอาชีพภายในพื้นที่ของโครงการได้ โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้ระบบความปลอดภัยที่ควบคุมด้วยเทคโนโลยี อาทิ กล้อง CCTV จำนวนโดยประมาณที่ 650 ตัวทั่วทั้งโครงการ โดรนตรวจการณ์ และระบบวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI “สิ่งที่เราเรียนรู้จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุด เป็นการยืนยันว่าหลักการออกแบบที่เราวางไว้ตั้งแต่ต้นนั้นถูกต้องและแข็งแกร่ง เพราะเราใช้มาตรฐาน SDGs เป็นแนวทางหลักในการสร้างโครงการแห่งนี้ตั้งแต่ต้น ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงทางโครงสร้าง คุณภาพชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ และความสามารถในการฟื้นตัว เราไม่ได้รอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้ แต่เราวางระบบที่สามารถรองรับปัญหาเหล่านั้นไว้ล่วงหน้าแล้ว” รศ.ดร. โชติชัย กล่าวถึงศักยภาพของโครงการในการรับมือต่อความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น


“เรนวูด ปาร์ค ยังให้ความสำคัญกับการเติบโตของชุมชนรอบโครงการ ทั้งในแง่การจ้างงาน การยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่น และการช่วยเหลือชุมชนในยามเกิดภัยพิบัติ เช่น การส่งกำลังคน ระบบสูบน้ำ หรือการใช้ทรัพยากรของโครงการช่วยสนับสนุนภายนอก ที่สำคัญเรายังได้ร่วมมือกับทั้งหน่วยงานภายในประเทศและระดับนานาชาติ ทั้งภาครัฐ เช่น การไฟฟ้า การประปา และกรมโยธา เพื่อยกระดับระบบบริการในพื้นที่ รวมถึงความร่วมมือกับองค์กรระดับโลก ทั้งจากประเทศอังกฤษ จีน และสิงคโปร์ ในด้านสนามกอล์ฟ เทคโนโลยี การบริหารจัดการ และการให้บริการ เช่น Wentworth Golf Club , Four Seasons Hotel London At Tower Bridge , Reignwood Pine Valley Hotel เป็นต้น ที่ถ่ายทอดองค์ความรู้มายังโครงการนี้โดยตรง เพื่อตอกย้ำถึงคุณภาพความพิถีพิถันให้ เรนวูด ปาร์ค เป็นชุมชนที่มีมาตรฐานระดับโลก และยังคงรักษาเสน่ห์ของความอ่อนโยนแบบไทยไว้อย่างครบถ้วน”

ทั้งนี้ “เรนวูด ปาร์ค” ยังได้รับการพัฒนาสู่ต้นแบบเมืองแห่งอนาคตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ชุมชน และคุณภาพชีวิตทุกเจเนอเรชันอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการพัฒนาบนพื้นที่รวมกว่า 2,000 ไร่ ตอกย้ำวิสัยทัศน์การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งอนาคต ด้วยแนวทางการออกแบบที่ผสานแนวคิดด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) อย่างสมดุล ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการสิ่งแวดล้อม ความเป็นอยู่ของผู้อยู่อาศัย ไปจนถึงการสร้างประโยชน์แก่ชุมชนโดยรอบ

ภายในโครงการถูกออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวมากถึง 700 ไร่ หรือคิดเป็น 35% ของพื้นที่ทั้งหมด พร้อมต้นไม้ขนาดใหญ่กว่า 10,000 ต้นที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศ เสริมความร่มรื่น และฟื้นฟูระบบนิเวศให้มีความหลากหลายทางชีวภาพมากยิ่งขึ้น อาทิ การเป็นแหล่งอาศัยของนกนานาชนิด ขณะที่ระบบแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น “Heart Lake” พื้นที่กว่า 57 ไร่ และบึงโดยรอบสนามกอล์ฟอีก 89 ไร่ ได้ถูกวางระบบหมุนเวียนน้ำภายในโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ปล่อยน้ำเสียสู่ภายนอก พร้อมติดตั้งเครื่องเติมอากาศ 28 เครื่อง เพื่อรักษาคุณภาพน้ำให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนมุ่งลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ด้วยการติดตั้งระบบ Solar Floating ในบ่อรูปหัวใจ ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 2 เมกะวัตต์ เสริมด้วย Solar Cell อีก 16 จุดทั่วพื้นที่ ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 400 กิโลวัตต์ รวมถึงสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 2 สถานี (รวม 6 หัวจ่าย) รองรับวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปี 2568 (ช่วงมกราคม–พฤษภาคม) โครงการสามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้กว่า 5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน

ในด้านคุณภาพชีวิต เรนวูด ปาร์ค ได้จัดสรรพื้นที่เพื่อส่งเสริมสุขภาพของผู้อยู่อาศัยอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นลู่วิ่งและลู่จักรยานรอบโครงการระยะทางรวมกว่า 10 กิโลเมตร ห้องฟิตเนส สนามเด็กเล่น และจักรยานให้ยืม โดยออกแบบให้เป็นพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตร่วมกันของทุกวัยอย่างแท้จริง พร้อมติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงด้วย Security Drone 13 ลำ ตลอดจนระบบสลายประจุไฟฟ้าจากฟ้าผ่าและระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าในพื้นที่สนามกอล์ฟ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมั่นใจได้ในทุกสถานการณ์

อีกหนึ่งมิติสำคัญของเรนวูด ปาร์ค คือการคืนคุณค่าให้กับชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยเปิดโอกาสให้พนักงานและผู้พักอาศัยมีส่วนร่วมในการลดขยะผ่านโครงการ “ขวดแลกไข่” ซึ่งสามารถรีไซเคิลขวดพลาสติกและกระป๋องได้กว่า 1 ตันในปีเดียว พร้อมเริ่มโครงการทำปุ๋ยหมักจากใบไม้เพื่อลดการใช้ปุ๋ยเคมี เสริมความมั่นคงทางอาหารด้วยกิจกรรมเกษตรพอเพียง ทั้งการปลูกผักสวนครัวและเลี้ยงไก่ไข่ รวมถึงการสนับสนุนภาครัฐและชุมชนโดยรอบ เช่น การบริจาคที่ดิน 4 ไร่ เพื่อจัดตั้งสถานีไฟฟ้าย่อยขนาด 100 เมกะวัตต์ ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งช่วยเพิ่มเสถียรภาพการจ่ายไฟในพื้นที่ และการสนับสนุนอุปกรณ์บรรเทาน้ำท่วมในฤดูฝน เรนวูด ปาร์ค จึงไม่ใช่เพียงแค่โครงการที่พักอาศัย แต่คือการสร้างระบบนิเวศแห่งการใช้ชีวิตที่สมดุลระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และชุมชน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนในทุกมิติอย่างแท้จริง

หากพิจารณาถึงแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2566-2570 ที่กำหนดทิศทางการเติบโตของจังหวัดให้เป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจและที่อยู่อาศัยคุณภาพ โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการขยายตัวของเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านระบบคมนาคม สาธารณูปโภค พื้นที่สีเขียว และการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมคุณภาพชีวิต ความปลอดภัย และการมีสุขภาวะของประชาชนในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะพื้นที่ลำลูกกา ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของจังหวัดที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาเมืองใหม่ท่ามกลางธรรมชาติและความเจริญ

ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์นี้ จังหวัดปทุมธานีมุ่งสร้างการเติบโตที่สมดุลทั้งเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการให้ท้องถิ่นมีบทบาทในการร่วมวางแผนและบริหารจัดการพื้นที่อย่างมีส่วนร่วม ซึ่งช่วยเปิดโอกาสให้โครงการพัฒนาเมืองคุณภาพอย่าง เรนวูด ปาร์ค สามารถดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาจังหวัด พร้อมเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนในระยะยาวต่อไป 

ASEAN Int’l Optics Fair เตรียมเปิดฉาก ต่อยอดอุตสาหกรรมแว่นตา ครบครันที่สุดในอาเซียน

เตรียมปักหมุดครั้งแรกในประเทศไทย ASEAN Int’l Optics Fair งานแสดงสินค้าและสัมมนาระดับนานาชาติด้านแว่นตาและสายตาที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยรวบรวมแบรนด์ ผู้ประกอบการด้านแว่นตา เลนส์ บรรจุภัณฑ์ และอุปกรณ์ชั้นนำทั่วโลกกว่า 200 ราย เข้าร่วมงานเพื่ออัปเดต เทรนด์และนวัตกรรมต่าง ๆ รวมถึงเวทีเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้อุตสาหกรรมสายตาและแว่นตาในภูมิภาคอาเซียนให้แข็งแกร่งและเติบโตยิ่งขึ้น โดยจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9 – 11 ตุลาคม 2568 ณ ฮอลล์ 5-6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี บนพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร คาดมีผู้เข้าร่วมงานทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศกว่า 5,000 ราย


มร.เว่ย พาน ประธานคณะกรรมการจัดงาน บริษัท ดอนเนอร์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้จัดงานแสดงสินค้ามืออาชีพระดับนานาชาติที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานกว่า 23 ปี ในอุตสาหกรรมแว่นตา โดยในปี 2003 บริษัทได้เปิดตัวงาน Wenzhou Int’l Optics Fair (WOF-Wenzhou) ซึ่งปัจจุบันถือเป็นเวทีสำคัญของอุตสาหกรรมแว่นตาในประเทศจีน และยังเป็นงานแสดงสินค้างานแรกในมณฑลเจ้อเจียงตอนใต้ที่ได้รับการรับรองจากสมาคมอุตสาหกรรมแสดงสินค้าระดับโลก (The Global Association of the Exhibition Industry หรือ UFI) ปัจจุบัน Wenzhou Int’l Optics Fair ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดสามอันดับแรกของโลก



ในปีนี้ เราได้ร่วมมือกับบริษัท บรอด อินเตอร์เนชันแนล จำกัด และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้จัดงาน ASEAN Int’l Optics Fair ครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการเข้าสู่ตลาดแว่นตาในภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบรับกับการเติบโตทางธุรกิจและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นของภูมิภาค งานนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแว่นตาของภูมิภาค พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างรายได้ผ่านการท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และการจ้างงานอีกด้วย

มร.เจี้ยนหมิน อู๋ ประธานสมาคมอุตสาหกรรมแว่นตาแห่งมณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และผู้สนับสนุนหลักของงาน ASEAN Int’l Optics Fair กล่าวถึงภาพรวมของการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนว่า ปี 2025 เป็นปีครบรอบ 50 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ โดยจีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยติดต่อกันถึง 12 ปี ตั้งแต่ปี 2013 ถึง 2024

โดยในปี 2024 เพียงปีเดียว มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศอยู่ที่ 94,919.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.2% และด้วยศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีการจัดงาน ASEAN Int’l Optics Fair ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

ด้าน ดร.ดนัย ตันเกิดมงคล ประธานสภาทัศนมาตรศาสตร์แห่งเอเชีย และทำหน้าที่นายกสมาคมทัศนมาตรแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ASEAN Int’l Optics Fair เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของหน่วยงานทางวิชาชีพ องค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมแว่น และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ดอนเนอร์ เอ็กซิบิชั่น, บรอด อินเตอร์เนชันแนล, สมาคมอุตสาหกรรมแว่นตาแห่งมณฑลเจ้อเจียง, สมาคมทัศนมาตรแห่งประเทศไทย, สมาพันธ์อุตสาหกรรมแว่นตาเกาหลี (KOIC), สถาบันการจัดการสายตาแห่งเอเชีย (AOMA) และ อาย แวลลีย์ (Eye Valley) เพื่อสร้างโอกาสทางการเติบโตทั้งในทางวิชาการและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ครั้งสำคัญให้กับอุตสาหกรรมดังกล่าวในประเทศไทยขยายตลาดสู่อาเซียน ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เติบโตสูงสุดในโลก ตลอดจนมีความต้องการแว่นตา การดูแลสายตา และเทคโนโลยีด้านสายตาอัจฉริยะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดการจัดงานตั้งเป้ามีผู้เข้าร่วมกว่า 5,000 คน จากทั้งในและต่างประเทศ





ความน่าสนใจที่พลาดไม่ได้ภายในงาน คือ การแสดงสินค้าและนวัตกรรมของอุตสาหกรรมแว่นตาที่รวบรวมผู้ประกอบการชั้นนำทั้ง ร้านค้า ผู้ประกอบการดูแลสายตา เจ้าของแบรนด์ทั้งแว่นกันแดด กระจกแว่นสายตา เลนส์ บรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์สำหรับแว่นตา เครื่องมือและอุปกรณ์ด้านสายตาชั้นนำ 200 ราย ตลอดจนผู้จัดซื้อจากภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลกมาไว้ในที่เดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการประชุม Asia-Pacific Eye Health Summit, การอัปเดตข้อมูลเชิงลึกด้านอุตสาหกรรม เรียนรู้แนวโน้มตลาด ผ่านงานสัมมนาและเวิร์คชอปจากสมาคมทัศนมาตรแห่งประเทศไทย โซนพิเศษในการโชว์นวัตกรรมจากประเทศจีน ฮ่องกง เกาหลี ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมถึงเวทีเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ

ASEAN Int’l Optics Fair งานแสดงสินค้าด้านแว่นตาและสายตาที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาคอาเซียน จะจัดระหว่างวันที่ 9 - 11 ตุลาคม 2568 ณ ฮอลล์ 5-6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://asean.opticsfair.com/ และสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีได้ที่ http://donnor.cn/J6F2

กรมอุทยานฯร่วมมือเทศบาลเมืองลพบุรี ดักจับทำหมันลิงต่อเนื่อง

กรมอุทยานฯร่วมมือเทศบาลเมืองลพบุรี ดักจับทำหมันลิงต่อเนื่อง เตรียมย้ายเข้าสถานที่อนุบาลแห่งใหม่ แก้ไขปัญหาลิงแบบเบ็ดเสร็จ

กรมอุทยานฯร่วมมือเทศบาลเมืองลพบุรี ดักจับทำหมันลิงต่อเนื่อง เตรียมย้ายเข้าสถานที่อนุบาลแห่งใหม่ แก้ไขปัญหาลิงแบบเบ็ดเสร็จ ตามนโยบายของดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด ดำเนินการแก้ไขปัญหาสัตว์ป่า ที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่พี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาลิง ในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี

11 มิถุนายน 2568  นายอดิศักดิ์ ภูสิทธิ์วงศานุยุต ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 สาขาสระบุรี เปิดเผยว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ร่วมกับนายจำเริญ สละชีพ นายกเทศบาลเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี นำทีมสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของเทศบาลเมืองลพบุรี ดำเนินการดักจับทำหมันลิง ในบริเวณเขตเทศบาลเมืองลพบุรี เป็นการต่อเนื่อง โดยการปฏิบัติงานในครั้งนี้อยู่ในห้วงเวลา ระหว่างวันที่ 8-17 มิถุนายน 2568 มีการตั้งเป้าดักจับทำหมันลิง ในปีงบประมาณ 2568 ทั้งหมดจำนวน 450 ตัว สำหรับการดักจับทำหมันลิงในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี เป็นการปฏิบัติงานภายใต้ MOU ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติฯ และเทศบาลเมืองลพบุรี เพื่อแก้ไขปัญหาลิงเมืองลพบุรี ที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่พี่น้องประชาชนมาอย่างยาวนาน  จนกระทั่งปัจจุบัน ได้ดำเนินการดักจับทำหมันลิง ในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี ไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 1,980 ตัว สำหรับลิงที่ดักจับทำหมันทั้งหมด ได้นำมาอนุบาลไว้ที่สถานอนุบาลสัตว์โพธิ์เก้าต้น ในความรับผิดชอบของเทศบาลเมืองลพบุรี  ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างกรงอนุบาลลิงถาวรแห่งใหม่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างขวาง มั่นคง แข็งแรง พื้นที่ภายในแยกเป็นโซนต่างๆ เพื่อให้ลิงมีความเป็นอยู่ให้ได้รับสวัสดิภาพ สวัสดิการ ตลอดจนโภชนาการด้านอาหาร เป็นอย่างดี โดยกรงอนุบาลลิงแห่งใหม่นี้ จะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2568 สามารถบรรจุลิงได้มากกว่า 3,000 ตัว

นางสาวภาวิณี แก้วแกม นายสัตวแพทย์ปฏิบัติการ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมสัตวแพทย์ในการดักจับทำหมันลิง เปิดเผยว่าการปฏิบัติงานในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากนายบดินทร์ จันทศรีคำ ประธานชมรมคนรักสัตว์ป่า เป็นผู้ประสานงานและนำอุปกรณ์ ซึ่งเป็นกาวทางการแพทย์ สำหรับปิดบาดแผลลิงบริเวณที่ถูกทำหมัน ทำให้การปิดบาดแผลสามารถทำได้สะดวก  สามารถป้องกันเชื้อโรค และสมานแผลได้รวดเร็วขึ้น อันเป็นผลดีกับลิงที่ถูกจับทำหมัน 

นายอดิศักดิ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ไขปัญหาลิงในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี ถือเป็นโมเดลสำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาลิงในเขตเมืองให้กับพื้นที่อื่นๆ จนกลายเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งปัจจุบัน ยังได้รับความร่วมมือและการช่วยเหลือจากกลุ่มเครือข่ายต่างๆ ในการสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์ในการทำหมันลิงที่ทันสมัย นำมาช่วยให้การปฏิบัติงานสะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น


กรมอุทยานฯร่วมมือเทศบาลเมืองลพบุรี ดักจับทำหมันลิงต่อเนื่อง

เตรียมย้ายเข้าสถานที่อนุบาลแห่งใหม่ แก้ไขปัญหาลิงแบบเบ็ดเสร็จ

ตามนโยบายของดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด ดำเนินการแก้ไขปัญหาสัตว์ป่า ที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่พี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาลิง ในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี




11 มิถุนายน 2568  นายอดิศักดิ์ ภูสิทธิ์วงศานุยุต ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 สาขาสระบุรี เปิดเผยว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ร่วมกับนายจำเริญ สละชีพ นายกเทศบาลเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี นำทีมสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของเทศบาลเมืองลพบุรี ดำเนินการดักจับทำหมันลิง ในบริเวณเขตเทศบาลเมืองลพบุรี เป็นการต่อเนื่อง โดยการปฏิบัติงานในครั้งนี้อยู่ในห้วงเวลา ระหว่างวันที่ 8-17 มิถุนายน 2568 มีการตั้งเป้าดักจับทำหมันลิง ในปีงบประมาณ 2568 ทั้งหมดจำนวน 450 ตัว สำหรับการดักจับทำหมันลิงในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี เป็นการปฏิบัติงานภายใต้ MOU ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติฯ และเทศบาลเมืองลพบุรี เพื่อแก้ไขปัญหาลิงเมืองลพบุรี ที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่พี่น้องประชาชนมาอย่างยาวนาน  จนกระทั่งปัจจุบัน ได้ดำเนินการดักจับทำหมันลิง ในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี ไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 1,980 ตัว สำหรับลิงที่ดักจับทำหมันทั้งหมด ได้นำมาอนุบาลไว้ที่สถานอนุบาลสัตว์โพธิ์เก้าต้น ในความรับผิดชอบของเทศบาลเมืองลพบุรี  ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างกรงอนุบาลลิงถาวรแห่งใหม่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างขวาง มั่นคง แข็งแรง พื้นที่ภายในแยกเป็นโซนต่างๆ เพื่อให้ลิงมีความเป็นอยู่ให้ได้รับสวัสดิภาพ สวัสดิการ ตลอดจนโภชนาการด้านอาหาร เป็นอย่างดี โดยกรงอนุบาลลิงแห่งใหม่นี้ จะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2568 สามารถบรรจุลิงได้มากกว่า 3,000 ตัว


นางสาวภาวิณี แก้วแกม นายสัตวแพทย์ปฏิบัติการ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมสัตวแพทย์ในการดักจับทำหมันลิง เปิดเผยว่าการปฏิบัติงานในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากนายบดินทร์ จันทศรีคำ ประธานชมรมคนรักสัตว์ป่า เป็นผู้ประสานงานและนำอุปกรณ์ ซึ่งเป็นกาวทางการแพทย์ สำหรับปิดบาดแผลลิงบริเวณที่ถูกทำหมัน ทำให้การปิดบาดแผลสามารถทำได้สะดวก  สามารถป้องกันเชื้อโรค และสมานแผลได้รวดเร็วขึ้น อันเป็นผลดีกับลิงที่ถูกจับทำหมัน 

นายอดิศักดิ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ไขปัญหาลิงในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี ถือเป็นโมเดลสำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาลิงในเขตเมืองให้กับพื้นที่อื่นๆ จนกลายเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งปัจจุบัน ยังได้รับความร่วมมือและการช่วยเหลือจากกลุ่มเครือข่ายต่างๆ ในการสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์ในการทำหมันลิงที่ทันสมัย นำมาช่วยให้การปฏิบัติงานสะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น

พม. จัดประชุมวิชาการระดับภูมิภาค ขับเคลื่อนสังคมสูงวัย

พม. จัดประชุมวิชาการระดับภูมิภาค ขับเคลื่อนสังคมสูงวัยแบบมีส่วนร่วม ผ่านแนวทางระหว่างรุ่นในประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสาม

วันที่ 11 มิถุนายน 2568 นางจตุพร โรจนพานิช รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงวิชาการระดับภูมิภาค เรื่อง นโยบายการขับเคลื่อนสังคมสูงวัยแบบมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการบนแนวทางระหว่างรุ่นในประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสาม (The ASEAN+3 Regional Conference on Integration Policy in Fostering an Inclusive Aging Society through an Intergenerational Approach) โดยมี นายธนสุนทร สว่างสาลี อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กล่าวรายงาน ทั้งนี้ รองศาสตราจารย์ ดร. ปัทพร สุคนธมาน รองคณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  และผู้แทนจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสาม และติมอร์ เลสเต เข้าร่วม ณ โรงแรมเดอะเบอร์เคลีย์ โฮเต็ล ประตูน้ำ กรุงเทพมหานคร



นางจตุพร กล่าวว่า ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา โครงสร้างประชากรอาเซียนได้เปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นสังคมสูงวัยอย่างมีนัยสำคัญ สัดส่วนประชากรสูงอายุในกลุ่มประเทศบวกสามต่างเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จากเดิมร้อยละ 8.1 ในปี 2544 เป็น ร้อยละ 15.1 ในปี 2565 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรส่งผลให้ต้องมีการกำหนดนโยบายที่ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อสร้างความครอบคลุมทางสังคม ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยสูงอายุ โดยการสูงวัยไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงความท้าทายที่เผชิญโดยภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง ในขณะที่ขนาดครอบครัวเล็กลง และโครงสร้างทางประชากรซับซ้อนมากขึ้น การมีความตระหนักและเตรียมการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้วยระบบสนับสนุนที่ครอบคลุมนั้น เป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างสังคมที่พร้อมรับการปรับตัวต่อความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้

นางจตุพร กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายเชิงบูรณาการ เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างรุ่น ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ที่นำไปสู่การสร้างสังคมสูงวัยที่ครอบคลุมอย่างแท้จริง นอกจากนี้  การขับเคลื่อนนโยบายเชิงบูรณาการเพื่อสร้างสังคมสำหรับทุกวัยผ่านแนวทางระหว่างรุ่น ยังสำคัญต่อการสร้างโอกาสและเสริมพลังคนทุกรุ่นให้เป็นผู้ที่มีบทบาทเชิงรุกในภาคสังคมและเศรษฐกิจ โดยอาศัยการร่วมคิดออกแบบและขับเคลื่อนนโยบาย ระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ภาควิชาการ ชุมชน และแม้แต่ตัวผู้สูงอายุ ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงแค่เป็นบุคคลที่รับบริการ แต่เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลง ผู้คิดค้นนวัตกรรมและผู้มีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน


นางจตุพร กล่าวต่อไปว่า ภายใต้วิสัยทัศน์ของประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2568 ได้มีการกล่าวถึงประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน จะเป็นสังคมที่มีส่วนร่วมและยังประโยชน์ให้แก่ประชาชน มุ่งสร้างสังคมที่ครอบคลุมที่สนับสนุนการเข้าถึงโอกาสสำหรับคนทุกคนอย่างมีคุณภาพ เท่าเทียมและเป็นธรรม ตลอดจนปกป้องสิทธิมนุษยชนของสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบาง นอกจากนี้ ในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 19 ได้ระบุถึงขอบเขตความร่วมมือที่ครอบคลุมการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านความคุ้มครองทางสังคมและการเสริมพลังผู้สูงอายุ ซึ่งประเทศไทย โดยกระทรวง พม. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและองค์การระหว่างประเทศ ได้ร่วมกันคิดและขับเคลื่อนนโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร มุ่งเน้นการเสริมพลังให้คนทุกรุ่นและสร้างความเข้มแข็งของสัมพันธภาพภายในครอบครัวที่เป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ ดังนั้น การประชุมครั้งนี้ จะได้เห็นการร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ความท้าทาย โอกาสต่าง ๆ ของสังคมสูงวัยทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค




เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของผู้สูงอายุและคนทุกรุ่นท่ามกลางวิกฤตประชากร และเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า โดยให้ประชาคมอาเซียนเป็นประชาคมแห่ง “หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม” (One Vision, One Identity, One Community)

10 มิถุนายน 2568

ปลัด พม. รับรางวัล "กินรีทอง" มหาชน

สาขาผู้ส่งเสริมและสร้างโอกาสแก่สังคมตัวอย่าง พร้อมรับมอบไม้เท้าขาว จำนวน 100 อัน ก่อนส่งต่อให้คนพิการ

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) รับรางวัล "กินรีทอง" มหาชน ครั้งที่ 10 สาขาผู้ส่งเสริมและสร้างโอกาสแก่สังคมตัวอย่าง จากองค์กรส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมรับมอบไม้เท้าขาว จำนวน 100 อัน นำโดยนายกฤต สุวรรณวิไลกุล ประธานองค์กรส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานจัดงานรางวัลกินรีทอง มหาชน และคณะ โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เข้าร่วม ณ บริเวณโถง ชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์



นายอนุกูล กล่าวว่า ในนามของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ตนขอขอบคุณองค์กรส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นำโดยนายกฤต สุวรรณวิไลกุล ประธานองค์กร
ส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานจัดงานรางวัลกินรีทอง มหาชน ที่มอบรางวัลกินรีทอง มหาชน ครั้งที่ 10 สาขา ผู้ส่งเสริมและสร้างโอกาสแก่สังคมตัวอย่าง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่ากระทรวง พม. กำลังขับเคลื่อนงานเพื่อสังคมมาในทิศทางที่องค์กรภาคสังคมได้เห็นความสำคัญในการช่วยเหลือประชาชน โดยหน่วยงานที่ทำงานด้านสังคมมีอยู่จำนวนมาก ซึ่งกระทรวง พม. ไม่สามารถทำงานเพียงหน่วยงานเดียวได้ ต้องทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ อย่างไรก็ตาม รางวัลกินรีทอง มหาชน ที่ได้รับในครั้งนี้ เป็นรางวัลและกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนทั้งในภาคสนามและผู้บริหารกระทรวง พม. ทุกคน




นอกจากนี้ ต้องขอขอบคุณองค์กรส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ที่มอบไม้เท้าขาว จำนวน 100 อัน ให้แก่กระทรวง พม. ซึ่งจะส่งต่อไม้เท้าขาวดังกล่าวให้กับคนพิการทางการเห็น และผู้สูงอายุ กลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. เพื่อให้ได้ใช้ในชีวิตประจำวันและเกิดประโยชน์สูงสุดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป

#ข่าวพม #พม #ศรส #esshelpme #5x5ฝ่าวิกฤติประชากร #พมหนึ่งเดียว
#วราวุธศิลปอาชา #ศบปภ #พันธกิจสำคัญ9ด้าน #กินรีทองมหาชน
#ไม้เท้าขาว #คนพิการทางการเห็น